ปตท. มอบงบสนับสนุนสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย 25 ล้านบาทในการพัฒนานักเตะและบุคลากรลูกหนังทุกระดับ ขณะที่ วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลฯ เผยวางแผนสำหรับการจัดฟุตซอลชิงแชมป์โลก 2012 ที่เพิ่งได้รับความไว้วางใจให้เป็นเจ้าภาพแล้ว
เมื่อวันจันทร์ที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา ที่ห้องปาริชาต โรงแรมเรดิสัน พระรามเก้า มีงานแถลงข่าวพิธีลงนามสัญญาสนับสนุนสมาคมฟุตบอลฯ ภายใต้โครงการ 1 สมาคมกีฬา 1 รัฐวิสาหกิจ โดยบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งมอบเงินสนับสนุนต่อเนื่องอีกปี คือสำหรับปี 2553 จำนวน 25 ล้านบาท เพื่อสร้างความพร้อมและความแข็งแกร่งให้กับนักเตะไทยทุกระดับตั้งแต่เยาวชนจนถึงระดับอาชีพ ตลอดพัฒนาจนบุคลากรที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผู้ตัดสิน และผู้ฝึกสอน ให้มีศักยภาพ ได้รับการยอมรับในระดับสากลมากขึ้น
ทั้งนี้ การสนับสนุนดังกล่าวครอบคุลมการเตรียมทีมทีมชาติไทยทุกชุด แบ่งเป็นทีมฟุตบอลชายทุกรุ่น 7 ทีม, ทีมฟุตบอลหญิงทุกรุ่น 3 ทีม, ทีมฟุตซอล 2 ทีม, ทีมฟุตซอลเยาวชน 1 ทีม และทีมฟุตบอลชายหาด 1 ทีม เพื่อลงแข่งขันในรายการสำคัญๆ เช่น เอเชียนเกมส์, ฟุตบอลหญิงชิงแชมป์เอเชีย, ฟุตบอลเยาวชนในรุ่นต่างๆ เป็นต้น และยังรวมถึงการสนับสนุนการแข่งขันฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกด้วย
ขณะเดียวกัน วรวีร์ มะกูดี นายกลูกหนังไทยยังกล่าวถึงแผนการจัดฟุตซอลชิงแชมป์โลก ปี 2012 ซึ่ง สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) เพิ่งประกาศให้ ไทย ได้เป็นเจ้าภาพในระหว่างการประชุมที่ซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 18-19 มีนาคมที่ผ่านมาว่า “เบื้องต้นได้เชิญ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมฟุตบอลฯ เป็นประธานจัดการแข่งขันแล้ว ซึ่งคาดว่าจะมีการเรียกประชุมหารือกันเร็วๆ นี้”
บังยี กล่าวต่อว่า “ส่วนแผนงานที่วางไว้คร่าวๆ นั้น เดิมทีเราอยากจัดเฉพาะในกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตามอาจมีการหารือให้กระจายการจัดรายการที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ไปยังภูมิภาคซึ่งต้องพิจารณาดูความเหมาะสมกันอีกที สำหรับเป้าหมายของทีมก็หวังว่าจะผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย หลังจากผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายมาแล้ว 3 ครั้ง และในช่วง 1-2 ปีหลังมานี้ถือว่าเรามีการพัฒนาอย่างมาก สามารถสู้กับทีมชั้นนำของโลกได้อย่างสูสีขึ้น และผมได้คุยกับ อดิศักดิ์ เบญจศิรวรรณ ผู้จัดการทีมแล้วว่าจะจับ โฆเซ มาเรีย เมนเดส “ปูลปิส” เซ็นสัญญายาวจนถึงปึ 2012 เพื่อดูแลการวางแผนเตรียมทีม ซึ่งจะเริ่มต้นหลังจบรายการชิงแชมป์เอเชียที่อุซเบกิสถานในเดือนพฤษภาคม”
“สำหรับงบประมาณจัดการแข่งขัน ปกติ ฟีฟ่า จะเข้ามาดูแลเรื่องนี้ในรายการที่อยู่ในความดูแลของเขาร่วมกับในส่วนของเราที่ต้องประสานทางรัฐบาลและเมืองที่จัดการแข่งขันในการหางบประชาสัมพันธ์ การได้รับความไว้วางใจครั้งนี้นับว่าเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ที่เราต้องแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการจัดรายการระดับโลกอย่างฟุตซอลชิงแชมป์โลกได้เหมือนกัน”
นอกจากนี้ นายกบอลไทยยังพูดถึงโอกาสในการจัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ “ฟีฟ่า คองเกรส” ในอีก 2 ปีข้างหน้าว่า “การตัดสินจะมีขึ้นหลังจบฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ ในเดือนกรกฎาคมไปแล้ว แต่ความจริงก็มีการตั้งคณะทำงานแล้วโดยมี สุวัจน์ เป็นประธาน ซึ่งได้ทำรายละเอียดเกี่ยวกับความมีเสน่ห์ของเมืองไทยส่งไปให้ฟีฟ่าพิจารณาแล้ว เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่จะได้จัดพร้อมกับฟุตซอลชิงแชมป์โลก”
อนึ่ง “บิ๊กป๋อม” อดิศักดิ์ เบญจศิริวรรณ ผู้จัดการฟุตซอลทีมชาติไทยถึงแผนเตรียมทีมก่อนทัวร์นาเมนต์สำคัญว่า “ตอนนี้เราวางแผนเตรียมตัวในระยะยาวแล้ว ซึ่งหลังจบศึกชิงแชมป์เอเชีย เดือนพฤษภาคมนี้ เราจะมีเวลาเตรียมทีม 2 ปี ในช่วงดังกล่าวเราจะต้องหาโปรแกรมอุ่นเครื่องกับทีมชั้นนำให้มากๆ และอาจจะส่งนักเตะไปเล่นในต่างแดนประมาณ 5-6 คน เพื่อเสริมสร้างกระดูกเก็บเกี่ยวประสบการณ์”