ASTV ผู้จัดการรายวัน-นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เตือนคอบอลชาวไทยอย่าซ้ำรอยอันธพาลของยุโรปที่เมื่อครั้งอดีตเคยตกต่ำสุดขีด หลังความวุ่นวายในศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ก. แฟนบอลการท่าเรือไทยยกพวกตะลุมบอนกับแฟนบอลเมืองทองฯ ยูไนเต็ด จนมีผู้บาดเจ็บนับ 10 ราย ด้านความคืบหน้าเกี่ยวกับคดี ตำรวจเตรียมขอเทปบันทึกการแข่งเป็นหลักฐาน เน้นหัวโจก ขอหมายจับข้อหาทำร้ายร่างกายตามภาพที่พบ
ศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ก เมื่อวันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ณ สนามศุภชลาศัย จบลงอย่างอัปยศเมื่อต้องยกเลิกการแข่งขันขณะที่สกอร์ เมืองทองฯ ยูไนเต็ด นำอยู่ 2-0 เมื่อแฟนบอลการท่าเรือ ไม่พอใจการตัดสินใจของกรรมการ เริ่มจุดพลุไฟโยนลงมาในสนาม รวมถึงข้างปาสิ่งของลงมา จากนั้นสถานการณ์เริ่มบานปลายเมื่อกองเชียร์กลุ่ม "สิงห์เจ้าท่า" เหิมเกริมหนักพังรั้วบนอัฒจันทร์ที่กั้นระหว่างกลุ่มกองเชียร์เข้าไปทะเลาะวิวาทกับแฟนบอลฝ่ายตรงข้ามจนต้องยุติการแข่งขันและมอบแชมป์ให้ "กิเลนผยอง"
โดยภายหลังเหตุการณ์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีแสดงความคิดเห็นถึงเหตุการณ์ดังกล่าวหลังจากจบรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์" ว่า "ความจริงวงการฟุตบอลไทยกำลังไปในทางที่ดี เนื่องจากมีแฟนๆมาดูบอลในประเทศมากขึ้น เพราะฉะนั้นอย่าทำให้เกิดปัญหากระทบกระบวนการนี้เหมือนฟุตบอลยุโรปมีช่วงหนึ่งที่ตกต่ำไปมาก เพราะปัญหาจากอันธพาลตีกันและในที่สุดกว่าจะฟื้นขึ้นมาได้ต้องใช้เวลา ดังนั้นอย่าไปซ้ำรอยนั้น และขอให้สโมสรต่างๆ ได้มีมาตรการที่เข้มงวดกวดขันมากขึ้นเกี่ยวกับแฟนๆของตัวเอง"
มุมมองของนายกรัฐมนตรีเน้นไปแฟนบอลมากกว่าฝ่ายจัดการแข่งขัน ซึ่งอีกมุมหนึ่งต้องยอมรับว่าผู้จัดยังควบคุมเกมได้ไม่ใกล้เคียงกับลีกลูกหนังอาชีพในต่างประเทศ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานประเภท ก. เมื่อวันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานั้น แม้ว่าส่วนหนึ่งของความรุนแรงจะเกิดขึ้นจากการใช้อารมณ์ของแฟนบอล "สิงห์เจ้าท่า" ที่ไม่พอใจกับการตัดสินของกรรมการ แต่ชนวนของเรื่องนั้นถูกจุดขึ้นจากการตัดสินที่ไม่ได้มาตรฐานของกรรมการในสนาม ดังเช่นการตัดสินให้ลูกฟรีคิกแก่อีกทีมหนึ่งก่อนจะกลับคำตัดสินให้กับทีมตรงข้าม ซึ่งการตัดสินดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความไม่ได้มาตรฐาน และเป็นจุดเริ่มต้นของความไม่น่าเชื่อถือ
นอกจากนี้ภาพการแข่งขันในไทยพรีเมียร์ลีกเมื่อฤดูกาลที่แล้วในเกมสำคัญระหว่างเมืองทองฯ พบกับ ชลบุรีซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ากรรมการในนัดดังกล่าวตัดสินเข้าข้างทีมใหญ่ที่มีประธานสโมสรเป็นถึงสื่อกีฬาระดับประเทศ ส่งผลให้ต้นทุนความน่าเชื่อถือของกรรมการลดน้อยลง และเมื่อทำการตัดสินผิดพลาดก็เปรียบเสมือนการจุดชนวนอารมณ์ให้กับแฟนบอล ขณะที่มาตรการการรักษาความปลอดภัยภายในสนามเรียกได้ว่าหละหลวม เพราะเกมใหญ่ระดับประเทศที่แม้จะมีการตรวจอาวุธหน้าสนามแต่เจ้าหน้าที่ปล่อยให้แฟนบอลทั้งสองทีมนำเอาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พลุ หรือแม้แต่อุปกรณ์ที่สามารถดัดแปลงเป็นอาวุธเข้าไปภายในสนามได้โดยง่าย
และในระหว่างเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจรวมไปถึงสารวัตรทหารไม่สามารถควบคุมเหตุการณ์ได้ ดังคำให้สัมภาษณ์ของแฟนเมืองทองฯ รายหนึ่งที่เปิดเผยกับทีมข่าวกีฬา ASTVผู้จัดการรายวันว่า "ในระหว่างเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่เห็นแฟนบอลถูกกระทืบต่อหน้าต่อตา แต่ไม่ระงับเหตุ ขณะที่เรื่องของการรักษาความปลอดภัย ก็น่าแปลกใจมากว่าทำไมฝั่งท่าเรือถึงมีพลุ ,ขวดน้ำ แม้กระทั่งขวดเบียร์ เพราะก่อนเข้าสนามฝั่งหลังประตูเมืองทองมีการตรวจอย่างเข้มงวด แต่กลับมีพลุมากมายถูกจุดโดยแฟนท่าเรือ"
ทางด้านความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีความหลัง แฟนบอล เมืองทองฯยูไนเต็ด และ การท่าเรือ เข้าแจ้งความหลังเหตุตะลุมบอน โดย พ.ต.อ.ไพศาล ลือสมบูรณ์ ผกก.สน.ปทุมวัน เปิดเผยว่า "หลังเกิดเหตุได้มีผู้เสียหายจำนวน 5 คน ประกอบด้วยแฟนบอลทีมเมืองทอง-หนองจอก จำนวน 4 คน และ แฟนบอลทีมการท่าเรือ จำนวน 1 คน เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนซึ่งเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ทำการสอบปากคำ และส่งไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลตำรวจและราชวิถี ส่วนผู้เสียหายมีบาดแผลเจ็บฟกช้ำจากการถูกชกต่อยบริเวณใบหน้าและร่างกายเพียงเล็กน้อย"
พร้อมกันนี้เจ้าหน้าที่เตรียมประสานขอภาพจากสื่อมวลชน ช่อง 3 และ ช่อง NBT แล้ว เพื่อนำมาประกอบรวมรวบพยานหลักฐาน โดยจะเน้นตัวบุคคลที่เป็นแกนนำในการก่อเหตุ คนที่เริ่มต้นชกต่อยทำร่างกายผู้อื่นก่อน เพื่อขอศาลออกหมายจับตามภาพถ่าย ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ผู้ใดทำร้ายผู้อื่น จนได้รับอันตรายแก่ร่างกาย หรือจิตใจ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการอย่างรวดเร็วที่สุด"จากเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ส่วนผลกระทบทางด้านคดีไม่มากเท่าไหร่ แต่มีผลกระทบทางด้านจิตใจ เนื่องจากเป็นการแข่งฟุตบอลวัฒนธรรมประเพณีชิงถ้วยพระราชทาน ซึ่งแฟนบอลต้องมีน้ำใจเป็นนักกีฬาซึ่งกันและกัน" พ.ต.อ.ไพศาล กล่าว
สำหรับบทลงโทษต่อทีมท่าเรือเอฟซี นั้นถึงเวลานี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาจากฝ่ายจัดการแข่งขันไทยลีก และสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ซึ่งเบื้องต้นอาจมีการแบนแฟนบอลของท่าเรือเอฟซีและตัดแต้ม ส่วนมาตรการการรักษาความปลอดภัยและมาตรฐานของกรรมการผู้ตัดสิน อันเป็นชนวนเหตุแห่งเหตุการณ์ทางยังไม่มีฝ่ายบริหารที่เกี่ยวข้องกล่าวถึงแต่อย่างใด