อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนี้ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ยอดนักเทนนิสมือ 1 ของโลก เตรียมชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมเป็นครั้งที่ 23 ในชีวิตเหนือพื้นสนาม ออสเตรเลียน โอเพน พบกับ แอนดี เมอร์เรย์ ดาวรุ่งพุ่งแรงจาก ดันเบลน สกอตแลนด์ ซึ่งประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่าพร้อมเขย่าบัลลังก์เทนนิสโลก เพื่อเปิดยุคสมัยความยิ่งใหญ่ให้ตนเอง รวมถึงยุติการรอคอยถ้วยเมเจอร์ซึ่งเพื่อนร่วมชาติเฝ้าสัมผัสมาร่วม 8 ทศวรรษ โดยผู้ชนะในแมตช์นี้ นอกจากได้รับเงินรางวัลมหาศาลร่วม 60 ล้านบาท รวมถึงเป็นการเปิดฉากฤดูกาล 2010 ได้อย่างงดงามแล้ว ยังเป็นการสะท้อนว่าสักหลาดโลกหลังหมดยุค "นาดาล VS เฟดเอ็กซ์" จะเป็นเช่นไร
หลังจาก ราฟาเอล นาดาล บาดเจ็บหัวเข่าจนต้องถอนตัวจาก วิมเบิลดัน 2009 ก่อให้เกิดคำถามตามมาทันทีว่า ใครจะขึ้นมาต่อกร กับ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ แทนที่กระทิงดุจากสเปน ซึ่งต้องรักษาอาการบาดเจ็บชนิดเดือนเว้นเดือน ซึ่งเริ่มแรกนั้น แอนดี ร็อดดิก อดีตมือ 1 โลก เหมือนจะเป็นคนที่ใช่ เมื่อดวลกับ "เฟดเอ็กซ์" ได้อย่างสูสีในรอบชิงชนะเลิศเหนือสนามหญ้า ออล อิงแลนด์ ก่อนพ่ายไป 2-3 เซต กระทั่งใน ยูเอส โอเพน ฮวน มาร์ติน เดล ปอโตร พลิกจากตามหลังกลับมาคว้าแชมป์สแลมแรก พร้อมปลดคำว่า "ไร้เทียมทาน" ออกจากบันทึกชีวิตแร็กเกตเทพเป็นการชั่วคราว ก่อนที่ในเวลา 15.30 น. วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคมนี้ เจ้าของแชมป์แกรนด์สแลม 15 สมัย ต้องพบกับความท้าทายครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง เมื่อต้องปะทะ แอนดี เมอร์เรย์ หวดหนุ่มพรสวรรค์ ผู้ใช้มันสมองระดับอัจฉริยะขับเคลื่อนเกมสักหลาด ในรอบชิงชนะเชิศสแลมแดนจิงโจ้
สำหรับ เฟเดอเรอร์ ในวัย 28 ปี มีสไตล์การเล่นเทนนิสแตกต่างกับ นาดาล คู่แค้นฟ้าลิขิตของเขาในทางตรงกันข้าม เมื่อหวดดังจาก มายอร์กา เน้นไปที่พาวเวอร์เกม อาศัยพละกำลังในการเล่นเกมรับและโจมตีจากท้ายคอร์ต ส่วนตัว "เฟดเอ็กซ์" เล่นเทนนิสได้ครบเครื่องไม่ว่าจะเป็น เสิร์ฟ วินเนอร์ หรือวอลเลย์ ทว่าในการขับเคี่ยวกับ เมอร์เรย์ นั้น มุมมองของมือ 1 โลกในการต่อสู้ต้องแตกต่างออกไป เมื่อหนุ่มสกอตเน้นการคุมจังหวะและพื้นที่ ก่อนอาศัยจังหวะขึ้นโจมตีได้เมื่อโอกาสเปิด แม้ "มาซซา" จะเคยเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในรอบชิงชนะเลิศ ยูเอส โอเพน 2008 แต่ 2 ปีที่ผ่านมาฝีไม้ลายมือรุดหน้าเป็นที่ยอมรับ
จุดอ่อนหนึ่งของ เฟเดอเรอร์ ซึ่ง เมอร์เรย์ อาจใช้โจมตีคือการยิงจี้ไปที่แบ็คแฮนด์มือเดียวของเขา ซึ่งมักออกอาการแกว่งเมื่อถูกลูกท็อปสปินดีดสูง เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในแมตช์กับ นาดาล โดย เมอร์เรย์ นั้นตีแบ็คแฮนด์สองมือได้เฉียบคม ความรุนแรงอาจไม่เท่าการยิงโฟร์แฮนด์ด้วยซ้ายของ "เอล มาทาดอร์" แต่ความแน่นอนนั้นมีมากกว่า อย่างไรก็ตามหนุ่มเซอร์วัย 22 ปีจาก สกอตแลนด์ยังมีจุดอ่อนในลูกเสิร์ฟที่ 2 ซึ่งบางครั้งตกสั้นเปิดช่องโจมตี ซึ่ง เฟดเอ็กซ์ อาจอาศัยจังหวะนี้เข้าฟันแบ็คแฮนด์สไลซ์ก่อนจี้ไปวอลเลย์ที่หน้าเนตเพื่อเก็บแต้ม
ปัจจัยตัดสินแพ้ชนะในแมตช์นี้ น่าจะอยู่ที่การเล่น โฟร์แฮนด์ ซึ่ง เฟเดอเรอร์ เฝ้าฝึกซ้อมมาตลอดซัมเมอร์ เพื่อได้ลูกยิงที่คมและลดเปอร์เซนต์ความผิดพลาดให้ลดน้อยลงกว่าปลายปี 2009 ซึ่งอยู่ที่สมาธิของ เมอร์เรย์ ว่าจะตั้งสติตอบโต้อย่างไรได้บ้าง ท่ามกลางความกดดันจากความคาดหวังของเพื่อนร่วมชาติ ที่อยากเห็นเขาคว้าสแลมรายการแรกในรอบ 74 ให้กับชาวสหราชอาณาจักร
หากชัยชนะในแมตช์นี้ตกเป็นของ เฟเดอเรอร์ จะเป็นแชมป์สแลมที่ 16 การันตีความเป็น G.O.A.T (Greatest of All Time) หรือยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของตนเอง ขณะที่ เมอร์เรย์ ในวัยเพียง 22 ปีเล่นแกรนด์สแลมมาแล้วถึง 17 ครั้งและเข้าชิงชนะเลิศได้เป็นครั้งที่ 2 เตรียมรับการยกย่องให้เป็น "ว่าที่ตำนาน" ได้เลย หากเริ่มต้นนับหนึ่งได้ด้วยแชมป์ ออสเตรเลียน โอเพน 2010 ด้วยการเอาชนะนักเทนนิสที่เก่งที่สุดในโลก พร้อมจารึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับประเทศ