"เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี ทำสถิติขาดทุนย่อยยับที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ถึง 92.6 ล้านปอนด์ (ประมาณ 5,100 ล้านบาท) แม้ยังไม่ได้นับรวมการช็อปกระหน่ำอีกกว่า 100 ล้านปอนด์ (ประมาณ 5,500 ล้านบาท) เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา
สโมสรเงินถุงเงินถังแถบอีสแลนด์ ประกาศผลประกอบการสิ้นสุดเดือนพฤษภาคมปี 2009 ปรากฎว่าแม้เงินหมุนเวียนเพิ่มขึ้น 6 เปอร์เซนต์ คิดเป็น 87 ล้านปอนด์ (ประมาณ 4,785 ล้านบาท) มาจากยอดเฉลี่ยคนดูที่เพิ่มขึ้น 42,890 คนต่อเกม จาก 42,081 คนเมื่อฤดูกาลที่แล้ว, รายได้จากการขายตั๋วลงเตะ ยูฟา คัพ และลิขสิทธิ์ถ่ายทอดอีก 48.3 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,656 ล้านบาท)
เกรแฮม วัลเลซ ประธานฝ่ายการเงินของ แมนฯซิตี เปิดเผยว่า "ผลประกอบการด้านการเงินของสโมสรได้สะท้อนได้เห็นช่วงเวลาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็เป็นผลมาจากการวางแผนในระยะยาวและการลงทุนเพื่อพาทีมก้าวหน้าของบอร์ดบริหาร และสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนในอนาคตต่อไป แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้จะต้องใช้เวลาอีกหลายปี"
แต่ทว่า ชีค มันซูร์ อภิมหาเศรษฐีจาก สหรัฐ อาหรับ เอมิเรตส์ ที่เทคโอเวอร์ แมนฯซิตี ต่อจาก ทักษิณ ชินวัตร เมื่อช่วงเดือนกันยายนปี 2008 ก็ขาดทุนถึง 92.6 ล้านปอนด์ รวมการซื้อ โรบินโญ ด้วยค่าตัว 32.5 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,787 ล้านบาท) และยังมี โช, เชย์ กิฟเวน และ เคร็ก เบลลามี เมื่อช่วงมกราคมปี 2009
เชื่อว่าผลประกอบการครั้งต่อไปของ แมนฯซิตี จะขาดทุนย่อยยับมากกว่านี้ เพราะจ่าย 100 ล้านปอนด์ จากการซื้อนักเตะอย่าง คาร์ลอส เตเบซ, เอ็มมานูเอล อเดบายอร์, โรเก ซานตา ครูซ, แกเร็ธ แบร์รี, โคโล ตูเร และ โจลีออน เลสค็อตต์ ซึ่ง โรแบร์โต มันชินี กุนซือคนใหม่ ก็จ้องจะช็อปเพิ่มในช่วงเดือนมกราคมนี้อีก
