คอลัมน์ Final Quarter โดย ลุงแซม
นับตั้งแต่เปลี่ยนเข้าสู่ทศวรรษที่ 2000 มีเพียง 2 ฤดูกาลเท่านั้นที่ นิวเจอร์ซีย์ เน็ตส์ ไม่ได้ย่างกายเข้าสู่เพลย์ออฟศึกบาสเกตบอล เอ็นบีเอ (NBA) แต่สองครั้งดังกล่าวดันเกิดขึ้นใน 2 ปีล่าสุด ดูเหมือนสัญญาณอันตรายเริ่มดังขึ้นทันทีที่ช็อตคล็อกในเกมที่ 6 ของรอบรองชนะเลิศฝั่งตะวันออกซีซัน 2006/07 ซึ่งปราชัยให้แก่ คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส หมดลง
ถ้าพูดถึง นิวเจอร์ซีย์ เน็ตส์ คอบาสฯ คงคุ้นกับชื่อของ คีธ แวน ฮอร์น, "เค-มาร์ต" เคนยอน มาร์ติน หรือว่ายุคสมัยของ "บิ๊กทรี" ครั้งมี เจสัน คิดด์, "แอร์ แคนาดา" วินซ์ คาร์เตอร์ หรือว่า ริชาร์ด เจฟเฟอร์สัน คอยประสานงานกระซวกห่วงคู่แข่งเป็นว่าเล่น โดยยุครุ่งเรืองสุดขีดของทีมเกิดขึ้นในช่วงต้นสหัสวรรษใหม่ เมื่อได้เข้าชิง NBA 2 ปีซ้อน แต่สุดท้ายก็พ่ายความแกร่งของ แอลเอ เลเกอร์ส (ปี 2001) แบบเกมศูนย์ ก่อนเสียที ซานอันโตนิโอ สเปอร์ส 2-4 เกมในปีถัดมา
เมื่อไม่ถึงฝั่งฝัน ร็อด ธอร์น ผู้จัดการทั่วไปของ เน็ตส์ สมัยนั้น จึงผุดไอเดียคว้าตัว วินซ์ คาร์เตอร์ ฟอร์เวิร์ดซูเปอร์สตาร์มาจาก โตรอนโต แร็พเตอร์ส เพื่อเติมเต็มงานของ คิดด์-เจฟเฟอร์สัน แต่ด้วยปัญหาบาดเจ็บของตัวผู้เล่น ทำให้ทีมไปไกลแค่รอบตัดเชือกฝั่งตะวันออก จากนั้น "ความเสื่อมสลาย" ก็คืบคลานมาเยือนเฟรนไชส์ทีละน้อย ภายใต้ "กฎเพดานเงินเดือน" การบ้านในการบริหารบุคลากร (ตัวผู้เล่น) ของ ธอร์น หนักขึ้นเรื่อยๆ การบีบรัดด้วยค่าจ้างมหาศาลของเหล่าดาราประจำทีมที่นับวันแพงยิ่งขึ้นเป็นลำดับ ทำให้ เน็ตส์ ต้องแยกทางกับ คิดด์ ด้วยการเทรดไปยัง ดัลลัส แมฟเวอร์ริกส์ แลกมาซึ่ง เดวิน แฮร์ริส การ์ดแห่งอนาคต
การขาดหายไปของการ์ดมือทองแห่ง NBA ทำให้ เน็ตส์ สาละวันเตี้ยลง จนกระทั่งทีมต้องถ่ายเลือดครั้งใหญ่ส่ง เจฟเฟอร์สัน ให้ มิลวอล์คกี บัคส์ แลกกับ อี้ เจี้ยนเหลียน และ บ็อบบี ซิมมอนส์ ก่อนที่ช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา ทีมก็เพิ่งเทรด คาร์เตอร์ ให้แก่ ออร์แลนโด แมจิก คู่แข่งสำคัญแลกกับ ราเฟอร์ อัลสตัน การ์ดจอมเก๋า หรือว่า คอร์ทนีย์ ลี ซึ่งการถ่ายเทในลักษณะดังกล่าว แฟนๆ เน็ตส์ เตรียมใจแล้วว่านี่คือการเคลียร์แคปให้เปิดโล่ง จึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่ผลงานงามหน้าของทีมที่พ่ายเรียบในการออกสตาร์ท 17 เกมแรก
นี่ถ้าวันนี้ (พฤหัสบดีที่ 3 ธ.ค.) กิกี แวน เดอร์เวเก ผู้จัดการทั่วไปคนใหม่ ควบรวมตำแหน่งหัวหน้าโค้ช (ชั่วคราว) ไม่กระตุ้นให้ลูกทีมมีฮึดมากขึ้นในเกมเปิดบ้านชนของแข็งอย่าง ดัลลัส แมฟเวอร์ริกส์ คงไม่แคล้ว "นิวเจอร์ซีย์ เน็ตส์" จะจารึกชื่อตัวเองเป็นทีมสุดห่วยออกตัวพ่ายรวด 18 เกม ทำลายสถิติเดิมที่ ไมอามี ฮีท ทำไว้เมื่อฤดูกาล 1988-89 และ แอลเอ คลิปเปอร์ส (ปี 1999)
แม้หลายคนพูดว่า "ฟ้าหลังฝน มักมีรุ้งทอแสงขึ้นมาเสมอ" แต่ใครที่เป็นแฟนเน็ตส์ คงต้องลุ้นหนักว่านอกจากแผนการสร้างสนามใหม่ การย้ายไปยังเมืองบรูกลินจะได้บทสรุปเมื่อไหร่ อีกทั้งช่วงซัมเมอร์นี้ในเมื่อเคลียร์เพดานเงินเดือนจนโล่งโจ้งแล้ว "เสี่ยหมี 2" มิคาอิล โพรโครอฟ เจ้าของทีมอภิมหาเศรษฐีรัสเซียน พร้อมทุ่มงบประมาณเสริมทัพมากหน่อยแค่ไหน ในเมื่อซูเปอร์สตาร์มีให้เลือกอยู่เพียบในตลาดฟรีเอเยนต์ไม่ว่าจะเป็น เลอบรอน เจมส์, ดีเวย์น เหว็ด, คริส บอช, โจ จอห์นสัน, อมาเร สเตาดาไมร์ หรือแม้แต่ สตีฟ แนช
นับตั้งแต่เปลี่ยนเข้าสู่ทศวรรษที่ 2000 มีเพียง 2 ฤดูกาลเท่านั้นที่ นิวเจอร์ซีย์ เน็ตส์ ไม่ได้ย่างกายเข้าสู่เพลย์ออฟศึกบาสเกตบอล เอ็นบีเอ (NBA) แต่สองครั้งดังกล่าวดันเกิดขึ้นใน 2 ปีล่าสุด ดูเหมือนสัญญาณอันตรายเริ่มดังขึ้นทันทีที่ช็อตคล็อกในเกมที่ 6 ของรอบรองชนะเลิศฝั่งตะวันออกซีซัน 2006/07 ซึ่งปราชัยให้แก่ คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส หมดลง
ถ้าพูดถึง นิวเจอร์ซีย์ เน็ตส์ คอบาสฯ คงคุ้นกับชื่อของ คีธ แวน ฮอร์น, "เค-มาร์ต" เคนยอน มาร์ติน หรือว่ายุคสมัยของ "บิ๊กทรี" ครั้งมี เจสัน คิดด์, "แอร์ แคนาดา" วินซ์ คาร์เตอร์ หรือว่า ริชาร์ด เจฟเฟอร์สัน คอยประสานงานกระซวกห่วงคู่แข่งเป็นว่าเล่น โดยยุครุ่งเรืองสุดขีดของทีมเกิดขึ้นในช่วงต้นสหัสวรรษใหม่ เมื่อได้เข้าชิง NBA 2 ปีซ้อน แต่สุดท้ายก็พ่ายความแกร่งของ แอลเอ เลเกอร์ส (ปี 2001) แบบเกมศูนย์ ก่อนเสียที ซานอันโตนิโอ สเปอร์ส 2-4 เกมในปีถัดมา
เมื่อไม่ถึงฝั่งฝัน ร็อด ธอร์น ผู้จัดการทั่วไปของ เน็ตส์ สมัยนั้น จึงผุดไอเดียคว้าตัว วินซ์ คาร์เตอร์ ฟอร์เวิร์ดซูเปอร์สตาร์มาจาก โตรอนโต แร็พเตอร์ส เพื่อเติมเต็มงานของ คิดด์-เจฟเฟอร์สัน แต่ด้วยปัญหาบาดเจ็บของตัวผู้เล่น ทำให้ทีมไปไกลแค่รอบตัดเชือกฝั่งตะวันออก จากนั้น "ความเสื่อมสลาย" ก็คืบคลานมาเยือนเฟรนไชส์ทีละน้อย ภายใต้ "กฎเพดานเงินเดือน" การบ้านในการบริหารบุคลากร (ตัวผู้เล่น) ของ ธอร์น หนักขึ้นเรื่อยๆ การบีบรัดด้วยค่าจ้างมหาศาลของเหล่าดาราประจำทีมที่นับวันแพงยิ่งขึ้นเป็นลำดับ ทำให้ เน็ตส์ ต้องแยกทางกับ คิดด์ ด้วยการเทรดไปยัง ดัลลัส แมฟเวอร์ริกส์ แลกมาซึ่ง เดวิน แฮร์ริส การ์ดแห่งอนาคต
การขาดหายไปของการ์ดมือทองแห่ง NBA ทำให้ เน็ตส์ สาละวันเตี้ยลง จนกระทั่งทีมต้องถ่ายเลือดครั้งใหญ่ส่ง เจฟเฟอร์สัน ให้ มิลวอล์คกี บัคส์ แลกกับ อี้ เจี้ยนเหลียน และ บ็อบบี ซิมมอนส์ ก่อนที่ช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา ทีมก็เพิ่งเทรด คาร์เตอร์ ให้แก่ ออร์แลนโด แมจิก คู่แข่งสำคัญแลกกับ ราเฟอร์ อัลสตัน การ์ดจอมเก๋า หรือว่า คอร์ทนีย์ ลี ซึ่งการถ่ายเทในลักษณะดังกล่าว แฟนๆ เน็ตส์ เตรียมใจแล้วว่านี่คือการเคลียร์แคปให้เปิดโล่ง จึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่ผลงานงามหน้าของทีมที่พ่ายเรียบในการออกสตาร์ท 17 เกมแรก
นี่ถ้าวันนี้ (พฤหัสบดีที่ 3 ธ.ค.) กิกี แวน เดอร์เวเก ผู้จัดการทั่วไปคนใหม่ ควบรวมตำแหน่งหัวหน้าโค้ช (ชั่วคราว) ไม่กระตุ้นให้ลูกทีมมีฮึดมากขึ้นในเกมเปิดบ้านชนของแข็งอย่าง ดัลลัส แมฟเวอร์ริกส์ คงไม่แคล้ว "นิวเจอร์ซีย์ เน็ตส์" จะจารึกชื่อตัวเองเป็นทีมสุดห่วยออกตัวพ่ายรวด 18 เกม ทำลายสถิติเดิมที่ ไมอามี ฮีท ทำไว้เมื่อฤดูกาล 1988-89 และ แอลเอ คลิปเปอร์ส (ปี 1999)
แม้หลายคนพูดว่า "ฟ้าหลังฝน มักมีรุ้งทอแสงขึ้นมาเสมอ" แต่ใครที่เป็นแฟนเน็ตส์ คงต้องลุ้นหนักว่านอกจากแผนการสร้างสนามใหม่ การย้ายไปยังเมืองบรูกลินจะได้บทสรุปเมื่อไหร่ อีกทั้งช่วงซัมเมอร์นี้ในเมื่อเคลียร์เพดานเงินเดือนจนโล่งโจ้งแล้ว "เสี่ยหมี 2" มิคาอิล โพรโครอฟ เจ้าของทีมอภิมหาเศรษฐีรัสเซียน พร้อมทุ่มงบประมาณเสริมทัพมากหน่อยแค่ไหน ในเมื่อซูเปอร์สตาร์มีให้เลือกอยู่เพียบในตลาดฟรีเอเยนต์ไม่ว่าจะเป็น เลอบรอน เจมส์, ดีเวย์น เหว็ด, คริส บอช, โจ จอห์นสัน, อมาเร สเตาดาไมร์ หรือแม้แต่ สตีฟ แนช