มหาวิทยาลัย ลิเวอร์พูล เปิดเผยผลวิจัยพบว่าปรากฏการณ์ "แอนดี เมอร์เรย์ ฟีเวอร์" จากผลงานของ แอนดี เมอร์เรย์ ยอดหวดมือ 4 ของโลกส่งผลให้มีผู้หันมาเล่นเทนนิสมากขึ้นถึง 200,000 คนและสร้างมูลค่าทางธุรกิจเพิ่มขึ้นถึง 145 ล้านปอนด์ (ราว 8 พันล้านบาท)
ฤดูกาล 2009 เมอร์เรย์ เด็กหนุ่มวัย 22 ปีจากเมือง ดันเบลน ในสกอตแลนด์ ก้าวขึ้นมาคว้าแชมป์ เอทีพี ทัวร์ 6 รายการรวมถึงเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ วิมเบิลดัน และได้ผ่านเข้ามาเล่นรายการรวม 8 ยอดหวดส่งท้ายปี "เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอลส์" ระหว่างวันที่ 22-29 พ.ย.นี้ที่ โอทู อารีนา กรุง ลอนดอน ทำให้เกิดกระแส "เมอร์เรย์ ฟีเวอร์" ทั่ว สหราชอาณาจักร
ซึ่งล่าสุดเมื่อวันพุธที่ 25 พ.ย. ที่ผ่านมา ศาสตราจารย์ ทอม แคนนอน จาก มหาวิทยาลัย ลิเวอร์พูล ออกมาเปิดเผยถึงผลกระทบที่เกิดจาก เมอร์เรย์ ผ่านสำนักข่าว "เดอะ มิร์เรอร์" ว่า "เราทำการวิจัยและประมาณได้ว่ามีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของ สหราชอาณาจักร มากขึ้น 400 ล้านปอนด์ (2 หมื่นล้านบาท) จากปรากฏการณ์ เมอร์เรย์ รวมถึงความนิยมในทัวร์นาเมนต์สคำคัญอย่าง วิมเบิลดัน และ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอลส์ ที่มาจัดที่ ลอนดอน และการดวลเดือดของ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ กับ ราฟาเอล นาดาล"
"โดยในส่วนของ เมอร์เรย์ ช่วยกระตุ้นเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 145 ล้านปอนด์ (8 พันล้านบาท) ทั้งที่ในปีนี้มีภาวะเศรษฐกิจถดถอยเกิดขึ้นทั่วโลก แต่ เมอร์เรย์ ทำให้ผู้คนหันมาเล่นเทนนิสมากขึ้นใน สหราชอาณาจักร ราว 200,000 คน" ศาสตราจารย์ แคนนอน เผย
สำหรับการหมุนเวียนของเงินที่มีมากขึ้นในเศรษฐกิจเมืองผู้ดีนั้นเกิดจากการซื้อเสื้อผ้าและอุปกรณ์เทนนิส รวมถึงการสมัครสมาชิกสโมสรและจ่ายค่าคอร์ต นอกจากนี้ยังมีเงินอุดหนุนจากสปอนเซอร์เพิ่มมากขึ้น จนทำให้ปี 2009 เทนนิสเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 3 ร่วมกับ กอล์ฟ โดยเป็นรองเพียง ฟุตบอล ที่ครองอันดับ 1 และ มอเตอร์สปอร์ตที่มาเป็นอันดับ 2 เท่านั้น
