ปัญหาวุ่นวายของสมาคมยิงปืนฯ ยังคงมีภาคต่อให้ติดตาม เมื่อ จักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม นักแม่นปืนทีมชาติไทยยืนกระต่ายขาเดียวขอลงแข่งใน เวียงจันทน์เกมส์ ทั้ง 5 รายการที่ชนะในการคัดตัว เว้นแต่ว่าพิสูจน์ได้ว่าผลงานด้อยกว่าใครก็จะยอมรับลดเหลือ 3 รายการตามเกณฑ์แต่โดยดี ด้าน พล.ต.จารึก อารีราชการัณย์ แนะนำเปิดโอกาสให้สายเลือดใหม่เติบโตบ้าง
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา กนกพันธ์ จุลเกษม ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) พร้อมด้วย พล.ต.จารึก อารีราชการัณย์ รองประธานและเลขาธิการคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคัดเลือกนักกีฬาไทยเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 25 ที่ประเทศลาว ระหว่างวันที่ 9-18 ธันวาคม 2552 ร่วมเป็นประธานการประชุมเพื่อหาทางยุติความขัดแย้งระหว่างสมาคมยิงปืนแห่งประเทศไทย กับ จักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม และโอภาส เรืองปัญญาวุฒิ 2 นักแม่นปืนทีมชาติ ที่ห้องประชุม 1 อาคารสำนักผู้ว่าการ กกท.
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมไม่เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนที่มารอทำข่าวเข้าไปฟังในระหว่างการเจรจา โดยให้เพียงสังเกตุการณ์อยู่ด้านนอกจนกว่าจะเสร็จสิ้นการประชุม ซึ่งหลังจากเวลาล่วงเลยไปนานถึง 2 ชั่วโมงเศษจึงเริ่มการแถลงข่าว ทว่ามีเพียง “เอ็กซ์” จักรกฤษณ์, “โอ” โอภาส และ “บิ๊กหนุ่ม” กนกพันธ์ เท่านั้นที่อยู่ตอบข้อซักถาม ส่วน “บิ๊กจา” พล.ต.จารึก รีบรุดออกจากห้องและขอตัวกลับก่อน ขณะที่ ปองพล อดิเรกสาร นายกสมาคมยิงปืนไม่ได้มาร่วมการประชุมครั้งนี้แต่อย่างใด มีเพียงเลขาฯและอุปนายกสมาคมเท่านั้น
ทั้งนี้ในระหว่างการถกเครียด “เอ็กซ์” ได้ออกมาจากห้องประชุมช่วงสั้นๆ ก่อนแสดงเอกสารหลักฐานที่ตนถูกเบี้ยวค่าอุปกรณ์และอะไหล่ปืนซึ่งต้องควักกระเป๋าตัวเองจ่ายไปก่อนเป็นจำนวนหลักแสนบาท จากนั้นได้เปิดฉากโวยสมาคมยิงปืนฯ รวมถึงคณะกรรมการโอลิมปิกว่า “ตัวผมติดอยู่ในอันดับ 9 ของโลก แต่ผู้ฝึกสอนที่สมาคมจ้างมากลับอยู่ที่อันดับ 63 ของโลก แล้วจะให้ผมยอมรับได้อย่างไร ผมคิดว่าแผนพัฒนาโอลิมปิกเพื่อของบ 800 ล้านบาทจากรัฐบาลเป็นแค่เรื่องเพ้อฝันมากกว่า”
ภายหลังจากการถกเครียดอันยาวนาน ผู้ว่ากกท.ก็ออกมาสรุปมติในที่ประชุมว่า “แม้เราจะถกเถียงกันแต่ก็เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ เรื่องที่ยังไม่สรุปคือจำนวนรายการที่ จักรกฤษณ์ จะได้ลงแข่งในซีเกมส์ ซึ่งทางสมาคมกำหนดให้ลงคนละไม่เกิน 3 รายการ ขณะที่ตัวนักกีฬาทำคะแนนได้ 5 รายการ แต่ในเบื้องต้นพบว่าถ้าเป็นการออกกฎโดยสมาคมแล้ว นักกีฬาก็ต้องยอมรับตามนั้น เพียงแต่ว่าต้องมีการชี้แจงให้นักกีฬาทราบล่วงหน้าก่อน ทั้งนี้ทั้งนั้น การกำหนดจำนวนรายการก็เพื่อให้นักกีฬาที่ลงแข่งมีความสมบูรณ์พร้อม หากลงเล่นหลายรายการอาจเป็นผลเสียมากกว่าผลดี แต่ทาง กกท.จะไม่เข้าไปก้าวก่ายการบริหารภายในสมาคม เพราะแต่ละสมาคมมีหน้าที่รับผิดชอบผลงานในแต่ละชนิดกีฬาที่ตนดูแล”
สำหรับบทสรุปที่ว่า จักรกฤษณ์ จะได้ลงเล่นทั้ง 5 รายการที่ชนะการคัดตัว คือ ปืนสั้นชนวนกลาง, ปืนสั้นมาตรฐาน, ปืนสั้นอัดลมชาย, ปืนสั้นยิงช้า และปืนสั้นยิงเร็ว หรือมีสิทธิ์ลงแข่งเพียง 3 ประเภทแรกใน 5รายการดังกล่าวหรือไม่ นายกนกพันธ์ ตอบว่า “วันที่ 21 พฤศจิกายนนี้จะมีการประชุมครั้งสุดท้ายเพื่อตัดตัวนักกีฬาไปแข่งซีเกมส์ ส่วนวันที่ 22 พฤศจิกายนจะทำการทดสอบนักกีฬาครั้งสุดท้าย ซึ่งผมก็พยายามประนีประนอมทั้งสองฝ่ายให้คำนึงถึงการทำหน้าที่นักกีฬาเพื่อประเทศชาติก่อน แต่ถ้าสมาคมยึดตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวและสามารถทำให้ตัวนักกีฬายอมรับได้ก็ต้องว่าไปตามนั้น ผมได้แต่ฝากให้ทุกฝ่ายนึกถึงส่วนรวมเป็นที่ตั้ง อย่ายึดเอาแต่ทิฐิของตัวเอง”
ด้าน “เอ็กซ์” ออกมาแถลงต่อด้วยความดุเดือดว่า “ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าการตัดสินถูกต้องโปร่งใส และมีความเป็นธรรม โดยเฉพาะการคำนึงถึงผลการแข่งขันเป็นหลัก ถ้าสมาคมเลือกนักกีฬาจากผลคะแนนตามความสามารถของแต่ละคนหรือบอกกติกาไว้ก่อนการคัดเลือก ผมคงไม่ออกมาเรียกร้อง แต่นี่สมาคมประกาศหลังจากจบการคัดเลือกไปแล้วจึงถือว่าไม่มีความยุติธรรมสำหรับผมซึ่งไม่ได้ผิดกฎกติกาแม้แต่น้อย ถ้าผมทำผิดจริงแล้วจะตัดสิทธิ์ทุกรายการผมก็ไม่ว่า สิ่งที่ผมทำมีเพียงก้มหน้าก้มตาพัฒนาฝีมือยิงปืนให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป ซึ่งตอนนี้ถึงจุดที่ว่านักกีฬาคนอื่นไล่ตามไม่ทัน แต่อยู่ๆ จะมาตัดสิทธิ์ 2 รายการเลยคงยอมไม่ได้ นอกจากนี้ 2 รายการที่ถูกตัด (ปืนสั้นยิงช้า, ปืนสั้นยิงเร็ว) มีผลต่อการคว้าโควตาไปโอลิมปิก 2012 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ด้วย เดิมผมมีลุ้นไปแข่งในโอลิมปิก 3 รายการ แต่พอถูกตัดไป 2 รายการก็ เท่ากับว่าทำลายความฝันของผมที่จะไปคว้าเหรียญโอลิมปิกแล้วจะให้ผมยอมรับได้อย่างไร”
“ผมอาจจะดูเหมือนเป็นคนโลภมากซึ่งก็ยอมรับส่วนหนึ่ง แต่ผมรักในการยิงปืนและทุ่มเทกับกีฬาชนิดนี้มา 20 ปี ที่ผ่านมาผมไม่เคยบอกว่าตัวเองเก่ง แต่ผมก็เคยสร้างมิติใหม่ให้กับวงการยิงปืนบ้านเรามาตลอด เหรียญไหนที่ไทยไม่เคยได้ผมก็ทำได้ รายการไหนที่ไทยไม่เคยได้ไปผมก็ทำได้ ทำให้คนต่างชาติรู้ว่าเราก็ไม่แพ้ชาติใดเหมือนกัน แต่การตัดสิทธิ์อย่างนี้ถือว่าคนไทยมาขัดขวางโอกาสก้าวหน้าของคนไทยด้วยกันเอง ขณะที่คนที่แข่งกับผมนับตั้งแต่เดือนเมษายนจนถึงครั้งล่าสุดก็ยังไม่มีใครชนะผมได้ ถ้าจะให้ผมยอมรับได้จริงๆ ก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าผมแพ้ใครบ้าง”
“ถ้าผลออกมาว่าผมแพ้ผมก็ยอมรับและจะกลับไปฝึกซ้อมเตรียมตัว เพื่อกลับมาแข่งขันคัดเลือกอีกครั้ง เพราะฉะนั้นคนที่จะขึ้นมาใหม่ต้องแสดงศักยภาพของตัวเองให้เป็นที่ประจักษ์ ถ้าคนไทยด้วยกันยังชนะไม่ได้ก็อย่าไปคิดว่าจะชนะคนต่างชาติเลย สุดท้ายถ้าผมต้องลงแข่ง 3 รายการจริงๆ ก็คงอธิบายความรู้สึกยาก แต่คงจะเศร้าและปวดร้าวมาก หากมีกฎแต่กลับยกเว้นสำหรับใครบางคนคงไม่สามารถยึดถือปฏิบัติตามได้ เพราะมันขาดความศักดิ์สิทธิ์ นักกีฬาทีมชาติไทยทุกคนก็จะไม่สง่างามอีกต่อไป เนื่องจากไม่ใช่คนที่มีฝีมือดีที่สุดในประเทศไทย แต่เป็นคนที่สมาคมพอใจมากที่สุด”
ส่วน “โอ” โอภาส ได้กล่าวสรุปถึงการร้องเรียนของตนในตอนท้ายว่า “ผมยิงปืนในนามของสมาคมมา 30 กว่าปี ได้เหรียญทองในกีฬาซีเกมส์ทั้งหมด 23 เหรียญ มากที่สุดในประเทศไทย แต่สมาคมกลับตอบแทนผมด้วยการกล่าวหาว่าผมค้ายาเสพย์ติดและถูกศาลพิพากษาแล้ว โดยกำลังอยู่ในระหว่างอุทธรณ์จึงไม่รับเป็นสมาชิกของสมาคมที่ผมได้สมัครไป ท่านผู้ว่ากับ พล.ต.จารึก ก็งง ผมก็ชี้แจงไปว่าเรื่องมันมาจากบันทึกการประชุมซึ่งไม่มีผมอยู่ในรายชื่อสมาชิก มันรู้สึกเจ็บปวดมากครับหลังจากรับใช้ประเทศชาติอย่างดีมาเป็นเวลานาน” ซึ่งหลังจากนั้นก็จบการแถลงโดยยังไม่ได้บทสรุปที่แน่ชัด ต้องรอติดตามหาคำตอบต่อไปในวันที่ 22 พฤศจิกายนนี้
ในส่วนของกรณี “เอ็กซ์” จักรกฤษณ์ ผู้สื่อข่าว MGR Sport ได้สอบถาม “บิ๊กจา” ก่อนที่จะเดินทางกลับไปซึ่งได้ชี้แจงว่า “ผมไม่ได้มาไกล่เกลี่ยปัญหา เพียงแต่ว่าเข้ามารับฟังในฐานะประธานคัดเลือกนักกีฬาไทยเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 25 ที่ประเทศลาว แม้เขาจะยิงชนะทั้ง 5 รายการแต่ผู้ว่า กนกพันธ์ ก็มอบหมายให้สมาคมบริหารแล้ว ซึ่งคงต้องกระจายโควตากันไป อีกอย่างถ้าจะยิงคนเดียว 5 รายการเลยก็คงไม่ไหว เนื่องจากเด็กรุ่นใหม่ที่กำลังขึ้นมาก็จะไม่มีประสบการณ์ในระดับนานาชาติ ซึ่งเราจำเป็นต้องสร้างอนาคตด้วยเช่นกัน”