องอาจ ก่อสินค้า เลขาธิการสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เผยสโมสรในศึกไทยพรีเมียร์ลีก 2010 อาจได้รับงบสนับสนุนทีมละสูงสุดถึง 2 ล้านบาท ด้านที่ประชุมในงานสัมมนาเสนอให้มีเงินรางวัลในแต่ละแมตช์แข่งขัน
เมื่อช่วงครึ่งวันเช้าของวันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีการเสนอผลการประชุมกลุ่มย่อยของงานสัมมนาเรื่องสรุปผลการดำเนินงานและแนวทางในการพัฒนาการแข่งขันฟุตบอลลีกอาชีพของประเทศไทย ประจำปี 2552 ณ โรงแรมพาวิเลียน ริมแคว รีสอร์ท ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ต่อเนื่องจากเมื่อวานนี้
ซึ่งในกลุ่มที่ 1 ที่มี เจ้าหน้าที่ของการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.), อนุกรรมการประเมินผล, ผู้แทนสมาคมฟุตบอลฯ และผู้แทนไทยพรีเมียร์ลีก หารือเรื่องการประเมินผลการแข่งขันตามตัวชี้วัดของ กกท. โดยมีข้อสรุปมานำเสนอดังนี้คือ กำหนดให้แต่ละทีมขึ้นทะเบียนผู้เล่นที่จะลงแข่งขันในปีหน้าได้ 35 คนเท่าเดิม และมีนักเตะต่างชาติในทีมได้ 5 ราย แต่จะสามารถส่งแข้งอิมพอร์ตลงสนามได้สูงสุด 5 คน หรือใช้โควตา 3+1 (นักเตะต่างชาตินอกทวีปเอเชีย 3 คน นักเตะเอเชีย 1 คน) ต้องรอให้ ดร.วิชิต แย้มบุญเรือง ประธานไทยพรีเมียร์ลีกรับฟังบทสรุปจากการเข้าร่วมประชุมกับ สหพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (เอเอฟซี) ในเร็วๆ นี้ก่อน
เรื่องการซื้อขายย้ายตัวผู้เล่นสามารถทำได้ในระหว่างพักเลกแต่ละเลก ส่วนตลาดนักเตะจะปิดทำการในวันที่ 30 นับจากวันเปิดเลกสอง ส่วนกรณีการย้ายทีมตามกฎบอสแมนที่เปิดช่องให้ผู้เล่นคุยกับสโมสรที่ติดต่อเข้ามาโดยตรงได้โดยไม่ต้องผ่านต้นสังกัดนั้นมีการเสนอว่าให้เป็นเรื่องของแต่ละทีมที่จะกำหนดเงื่อนไขกับตัวพ่อค้าแข้งว่าอนุญาตให้ดำเนินการตามกฎบอสแมนได้หรือไม่
การจัดอันดับบนตารางคะแนนระหว่างฤดูกาลตั้งแต่นัดแรกถึงนัดที่ 29 ให้คิดจากคะแนนสะสมเป็นลำดับแรกแล้วจึงพิจารณาจากผลต่างประตูได้-เสีย จากนั้นจึงค่อยมาดูจำนวนประตูที่ทำได้ และขั้นสุดท้ายที่แต่เดิมใช้การจับสลากก็แนะให้พิจารณาจากคะแนนแฟร์เพลย์ แต่กรณีของทีมจ่าฝูงที่มีผลงานเท่ากันก็ให้นับเป็นอันดับ 1 ร่วมกันก่อน ทว่าการตัดสินตำแหน่งแชมป์และทีมตกชั้นในนัดสุดท้ายให้ยึดกฎเฮด-ทู-เฮด (ผลงานที่พบกันทั้ง 2 นัด) เหมือนเดิม
จากนั้นได้มีการเสนอให้ลงโทษสโมสรที่มีแฟนบอลด่าทอผู้ตัดสินในระหว่างการแข่งขันซึ่งรบกวนสมาธิในระหว่างทำหน้าที่ โดยกำหนดมาตรการขั้นแรกคือตักเตือนก่อน จากนั้นจึงค่อยปรับเงิน 10,000 บาทหากทำผิดในครั้งต่อๆ ไป พร้อมทั้งเสนอให้เพิ่มเงินรางวัลของทีมแชมป์ดิวิชัน 1 เป็น 5 ล้านบาท หลังจากที่ฤดูกาล 2009 สโมสรเพื่อนตำรวจได้รับเพียง 700,000 บาทเท่านั้น ตลอดจนเพิ่มเงินรางวัลให้กับอันดับอื่นๆ ด้วย
ขณะที่กลุ่มที่ 2 ซึ่งเป็น กรรมการสมาคมฯ, ประธานจัดการแข่งขัน และผู้แทนสโมสรต่างๆ ทั้งไทยพรีเมียร์ลีกและดิวิชัน 1 หารือกันเรื่องกฎระเบียบกติกาการแข่งขันต่างๆ สำหรับปี 2553 ซึ่งตัวแทนจาก ชลบุรี เอฟซี เสนอให้มีการร่างระเบียบข้อบังคับในการให้นักเตะทดสอบความฟิตภายใต้การดูแลของ กกท. พร้อมทั้งให้มีการมอบเงินรางวัลสำหรับทีมชนะและเสมอลดหลั่นกันไปแบบนัดต่อนัด โดย “ฉลามชล” นำไอเดียนี้มาจากการไปร่วมศึกเอเอฟซี คัพ เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ซึ่ง องอาจ ก่อสินค้า เลขาธิการสมาคมฟุตบอลฯน้อมรับแนวความคิดหลังด้วยความยินดีและจะยื่นเรื่องเสนอที่ประชุมของฝ่ายจัดการแข่งขันต่อไป
ขณะเดียวกัน “บิ๊กเปี้ยก” ยังกล่าวเสริมอีกว่าดูกาล 2010 คาดว่าจะมีการเพิ่มงบสนับสนุนให้แต่ละสโมสรจากเดิม 600,000 บาทเป็น 1-2 ล้านบาท กระนั้นยังคงติดในเรื่องการเจรจากับสปอนเซอร์ที่จะเข้ามาซัพพอร์ตลีกอาชีพซึ่งมีหลายเจ้า ต้องรอให้คุยกันลงตัวเสียก่อนแล้วจึงจะประกาศให้ทราบในภายหลัง
ด้าน ดร.วิชิต แย้มบุญเรือง ประธานบริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด เสนอให้มีการร่างกฎระเบียบในการวางมาตรการตรวจหาสารกระตุ้นของนักกีฬา ก่อนชี้แจงรายละเอียดการมอบเงินรางวัลหลังจบฤดูกาลให้กับทีมในไทยพรีเมียร์ลีกและดิวิชัน 1 รวมถึงรางวัลยอดเยี่ยมตำแหน่งต่างๆ 8 รางวัล เช่น ผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปี, ผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยมแห่งปี, กองเชียร์ยอดเยี่ยมแห่งปี เป็นต้น ซึ่งมีเงินให้รางวัลละ 50,000 บาท คาดว่าจะจัดงานขึ้นในวันที่ 28 พฤศจิกายน โดยจะเชิญ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี, พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลรับผิดชอบด้านกีฬา และเป็นประธานคณะกรรมการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ รวมทั้ง ชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มาร่วมพิธีมอบรางวัลด้วย
พร้อมกันนี้ “ดร.ลูกหนัง” ยังกล่าวเสริมว่าการรวมฝ่ายจัดการแข่งขันฟุตบอลลีกอาชีพทั้ง ไทยพรีเมียร์ลีก, ดิวิชัน 1 และลีกภูมิภาค ดิวิชัน 2 ให้เป็นหนึ่งเดียวกันสามารถทำได้และยินดีควบรวมองค์กรควบคุมลีกอาชีพเข้าด้วยกัน แต่ที่ผ่านมาสมาคมฟุตบอลฯ ดึงแยกฝ่ายจัดลีกภูมิภาคดิวิชัน 2 ออกไปเป็นเอกเทศเอง อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้สามารถหารือกันและมีความเป็นไปได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม แนวทางทั้งหมดที่เสนอในการสัมมนาคราวนี้ยังต้องรอยื่นเรื่องเข้าไปยังคณะกรรมการจัดการแข่งขัน เพื่อร่างกฎระเบียบต่อไป
ท้ายสุด “โค้ชหรั่ง” ชาญวิทย์ ผลชีวิน ประธานผู้ฝึกสอนฟุตบอลแห่งประเทศไทยได้พูดถึงหลักสูตรอบรมโค้ชระดับไลเซนส์ต่างๆ ที่ควบคุมโดย เอเอฟซี ซึ่งเปิดอบรมมาตลอดปี 2552 และมีต่อเนื่องในปี 2553 ด้วย โดยจะเริ่มคอร์สแรกในวันที่ 4-31 มกราคม พร้อมทั้งบอกให้บรรดาผู้ฝึกสอนของทุกทีมในลีกทุกระดับมาเข้าร่วมอบรมเพื่อให้มีใบอนุญาตโค้ชสำหรับการทำทีมตามกฎของ เอเอฟซี