ศึก พรีเมียร์ชิป อังกฤษ มีเกม “อภิมหาบิ๊กแมตช์” ที่ต้องเรียกให้อลังการงานสร้างขนาดนี้ เนื่องจากเป็นการเจอกันของ 2 ตัวเต็งที่ว่ากันว่าจะเบียดแย่งแชมป์หัวมงกุฎในฤดูกาลนี้กันอย่างสนุกไปจนถึงบั้นปลาย เชลซี จะเปิดรัง สแตมฟอร์ด บริดจ์ รับมือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในวันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายนนี้เวลา 23.00 น.
เชลซี พบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เวลา 23.00น.
เชลซี เพิ่งตบเท้าเข้าสู่รอบน็อกเอาท์ในศึก ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก หลังเสมอ แอตเลติโก มาดริด 2-2 ในเกมรอบแบ่งกลุ่ม นัด 4 เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา เช่นเดียวกับ แมนฯยู ที่ไล่บดเจ๊า ซีเอสเคเอ มอสโก อย่างสุดหืด 3-3 ทำให้ทั้งคู่สามารถมุ่งสมาธิมาที่เกม พรีเมียร์ชิป นัดสำคัญในวันอาทิตย์นี้ ซึ่งจะเป็นการตัดสินว่าใครกันแน่คือเต็งแชมป์ตัวจริง
เวลานี้ เชลซี นำอยู่ 2 แต้มจากการลงสนามเท่ากัน 11 นัด เกมยุโรปที่ผ่านมาส่งตัวจริงอย่าง แฟรงค์ แลมพาร์ด, จอห์น เทอร์รี, แอชลีย์ โคล, มิคาเอล เอสเซียง และ ดิดิเยร์ ดร็อกบา ผสมผสานกับตัวสำรอง เรียกได้ว่า ขุมกำลังแทบจะไม่บอบช้ำแม้แต่น้อย ส่วน แมนฯยู นั้นหืดกว่าพักทั้ง ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ส่วน เวย์น รูนีย์ คุณพ่อป้ายแดงลงมาเป็นตัวสำรองก่อนจะไล่ตีเสมอ ซีเอสเคเอ ทั้งที่ถูกนำห่างถึง 1-3
เกมวันอาทิตย์นี้ คาร์โล อันเชล็อตติ กุนซือ เชลซี ไม่มีปัญหาในการจัดทัพคงเรียก นิโกลาส์ อเนลกา คืนตัวจริงคู่กับ ดร็อกบา ในแดนหน้า เดโก และ มิชาเอล บัลลัค จะกลับมาคุมเกมแดนกลางร่วมกับ แลมพาร์ด และ เอสเซียง ส่วนแดนหลัง ริคาร์โด คาร์วัลโญ จะกลับมาจับคู่กับ เทอร์รี เรียกว่าปึ้กทุกขุมกำลังจริงๆ
ส่วน แมนฯยู มีปัญหาเกมรับเมื่อ ริโอ เฟอร์ดินานด์ และ เนมานยา วิดิช ไม่ได้ลงเล่น 3 นัดหลังสุด รวมถึง ไรอัน กิ๊กส์ ปีกจอมเก๋าที่ เฟอร์กี ประคบประหงมเพื่อรอพร้อมสำหรับเกมนี้โดยเฉพาะ ทั้ง 3 คนต้องรอลุ้นอาการบาดเจ็บจนถึงนาทีสุดท้าย ส่วนแดนกลาง “ผีแดง” ยังมีปัญหากับการหาแผงที่ลงตัว โดยคู่หน้าจะเป็น เบิร์บ และ รูน
ทั้งคู่เจอกันมาแล้วเมื่อต้นฤดูกาลในเกม คอมมูนิตี ชิลด์ เสมอกันไปดุเดือด 2-2 ก่อนที่ เชลซี จะชนะจุดโทษ 4-1 ส่วนปีที่แล้ว แมนฯยู บุกไปเสมอ 1-1 ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ “ผีแดง” เคยบุกไปเอาชนะเจ้าถิ่นได้นัดล่าสุดต้องย้อนไปในฤดูกาล 2001-02 ด้วยสกอร์ท่วมท้น 3-0
ความน่าจะเป็นของเกม - เชลซี แข็งแกร่งทุกขุมกำลังแถมยืนระยะได้ตลอดทั้งเกม ผิดกับ แมนฯยูไนเต็ด ที่หากปะทะกัน 50-50 เป็นรองตลอด โดนบดหนักๆ มียวบ แนวรับทั้ง ริโอ และ วิดิช ดูน่าเป็นห่วง แถมแนวรุกไม่เด็ดดวงเหมือนกัน แต่ได้ในเรื่องของความเก๋า เฟอร์กี ระยะหลังมักจะวางแผนมาได้ดีเวลาเจอกัน ด้วยประสบการณ์ของ “ผีแดง” น่าจะเอาตัวรอดได้โดยมี 1 แต้มกลับบ้าน เสมอกัน 1-1
วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2552
แอสตัน วิลลา พบ โบลตัน วันเดอเรอร์ส เวลา 22.00น.
วิลลา ฟอร์มเริ่มแผ่ว แม้ว่าแนวรับจะเหนียวแน่นกว่าฤดูกาลที่ผ่านมา แต่ทว่าแนวรุกยังเหมือนเดิม คือ แอชลีย์ ยัง และ เจมส์ มิลเนอร์ เริ่มไร้ไอเดีย ส่วน โบลตัน สไตล์เล่นลูกหนักและใช้บอลกลางอากาศบอมบ์เข้าใส่น่าจะกินยาก เจ้าถิ่นที่มีแนวรุกผ่านพื้นดินรวดเร็วอย่าง ยัง และ กาเบรียล อักบอนลาฮอร์ น่าจะเจาะเอาชนะได้
วิลลาชนะ 2-1
แบล็กเบิร์น โรเวอร์ส พบ ปอร์ทสมัธ เวลา 22.00 น.
“กุหลาบไฟ” ในยุคของ แซม อัลลาไดซ์ เล่นในรัง อีวูด ปาร์ค ยอดเยี่ยมมาชนะมา 3 นัดรวด รอเพียงบรรดานักเตะตัวหลักเรียกฟอร์มเก่งคืนมาได้น่าจะไปโลดกว่านี้ ส่วน ปอร์ทสมัธ เริ่มเก็บชัยได้อย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ใช่การเล่นนอกบ้าน แถมแนวรับยังมีปัญหา งานนี้เจอ แบล็คเบิร์น บดหนักมียวบแน่ สุดท้ายเจ้าถิ่นน่าเฉือนชนะ
กุหลาบสอย 2-0
แมนเชสเตอร์ ซิตี พบ เบิร์นลีย์ เวลา 22.00น.
“เรือใบ” มักจะแล่นไม่ฉิ่วเสียแล้วเมื่อเสมอมา 4 นัดรวด เพราะ เคร็ก เบลลามี และ คาร์ลอส เตเบซ เล่นคนเดียวมากเกินไป แต่เกมนี้มีลุ้นได้ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ และ โคโล ตูเร คืนทัพ แต่ศักยภาพที่มีอยู่โดยเฉพาะแนวรุกก็เหนือกว่า เบิร์นลีย์ หลายขุม แถมได้เล่นในรังน่าจะเอาชนะ “น้องใหม่” ที่เล่นนอกบ้านแพ้มา 5 นัดรวด
เรือฉิ่ว 3-0
ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ พบ ซันเดอร์แลนด์ เวลา 22.00น.
แม้จะพลิกแพ้คารังต่อ สโต๊ก แต่ฟอร์มยามลงเล่นในถิ่นของ สเปอร์ส ยังคงน่ากลัว แถมยังได้ เจอร์เมน เดโฟ ดาวยิงตัวจี๊ดพ้นโทษแบนกลับมาอีก แต่แนวรับไม่มี เซบาสเตียน บาสซง ที่เจ็บต้องพักยาว ส่วน ซันเดอร์แลนด์ ฟอร์มนอกบ้านไว้ใจไม่ได้ เกมนี้ยังไม่มี เคลวีน โจนส์ ที่ติดโทษแบน น่าจะต้านเจ้าถิ่นไม่ไหว
ไก่จิก 3-1
วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส พบ อาร์เซนอล เวลา 00.30 น.
โชคร้ายของ “หมาป่า” ตัวน้อยต้องมาเจอกับ อาร์เซนอล ที่เกมรุกอำมหิตที่สุดในฤดูกาลนี้ซัดไปแล้ว 32 ประตูจาก 10 เกม วูล์ฟฯ ค้นชัยไม่เจอมาแล้ว 5 นัดรวด ยิ่งนักเตะเล่นกันแบบรับไม่เป็นแบบนี้ เข้าทางของ “ปืนโต” เกมนี้ไม่มีอะไรให้ลุ้นมากมีเพียงอย่างเดียวคือเจ้าถิ่นจะโดนถลุงกี่ประตูเท่านั้น
ปืนบอมบ์ 0-3
วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน 2552
ฮัลล์ ซิตี พบ สโต๊ก ซิตี เวลา 20.30น.
เริ่มมีกระแสไล่ออกแล้วสำหรับ ฟิล บราวน์ กุนซือ ฮัลล์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการขาย ไมเคิล เทอร์เนอร์ ออกไปทำให้เสียประตูเยอะที่สุดในลีกถึง 24 ลูก แถมเกมนี้ยังไม่มี โจวานนี ที่ติดโทษแบน งานนี้แม้จะเล่นในบ้านแต่โอกาสน้อยนิดเหลือเกินที่จะมีแต้ม เพราะ สโต๊ก เล่นแบบเป็นระบบชัดเจนว่าจะบุกมากำชัยได้
สโต๊กชนะ 0-1
เวสต์แฮม ยูไนเต็ด พบ เอฟเวอร์ตัน เวลา 22.00น.
ยังสลัดโซนท้ายตารางไม่หลุดสำหรับ เวสต์แฮม แม้ฟอร์มจะเริ่มกระเตื้องขึ้นมาบ้างแล้ว งานนี้ต้องรับมือ เอฟเวอร์ตัน ที่ไม่มี ดินิยาร์ บิยาเล็ทดินอฟ ปีกรัสเซียที่ผลงานกำลังดี แต่ดันมาติดโทษแบน ส่วนตัวอื่นยังเจ็บอีกอื้อ สภาพไม่พร้อมด้วยกันทั้งคู่ แถมสไตล์การเล่นยังใกล้เคียง ดังนั้นจึงน่าเสมอกันไปยุติธรรมเป็นที่สุด
เจ๊า 1-1
วีแกน แอธเลติก พบ ฟูแลม เวลา 22.00น.
เป็นทีมที่ยากจะคาดเดาสำหรับ วีแกน แต่เกมนี้เล่นในถิ่น ดีดับเบิลยู สเตเดียม ยังน่าลุ้นที่จะเทใจให้ ส่วน ฟูแลม เพิ่งจะถล่ม ลิเวอร์พูล 3-1 แต่ทว่าผลงานของ “เจ้าสัวน้อย” นอกบ้านไม่สู้ดีไม่ชนะมา 4 นัดรวด เจ้าถิ่นมีเกมรุกที่น่ากลัวนำโดย ฮูโก โรดัลเยกา ดาวซัลโว 5 ประตู น่าจะเอาชนะไปได้ในเกมนี้
วีแกนเฉือน 2-1
วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2552
ลิเวอร์พูล พบ เบอร์มิงแฮม ซิตี เวลา 03.00น.
ผลงานของ ลิเวอร์พูล ป้อแป้เหมือนติดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 แต่เกมที่เหล่าสาวก “เดอะ ค็อป” รอคอยมานานมาถึงแล้ว เมื่อจะได้เล่นในบ้านรับมือ เบอร์มิงแฮม “หงส์แดง” น่าจะปลดปล่อยความอัดอั้นที่เก็บกดมานาน 7-8 นัด เปิดเกมรุกไล่ถลุง “ลูกโลก” ที่เล่นนอกบ้านสุดจะห่วยแตก และชนะไปแบบสนุกอยู่ข้างเดียว
หงส์ยำ 4-0