ASTVผู้จัดการรายวัน - หลังจบฤดูกาล 2009 ในศึกไทยพรีเมียร์ลีก ส่งผลให้ 3 ทีมดังอย่าง นครปฐม เอฟซี, จุฬา ยูไนเต็ด และ ศรีราชา เอฟซี ต้องลงไปเล่นดิวิชัน 1 สวนทางกับ เพื่อนตำรวจ, ทหารบก และ ศรีสะเกษ ที่ได้สิทธิ์สู่ลีกสูงสุดแทน ซึ่งภารกิจที่รออยู่ในฤดูกาลหน้านับว่าใหญ่หลวงกว่ายิ่งนัก โดยเป้าหมายหลักของทุกทีมที่ผู้สื่อข่าวกีฬาเอเอสทีวีผู้จัดการรายวันลงพื้นที่ทำการสำรวจนั้นต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ต้องรักษาพื้นที่ในพรีเมียร์ลีกให้ได้
สำหรับความพร้อม และการเตรียมตัวของแต่ละทีมในฤดูกาล 2010 เริ่มจากสโมสรเพื่อนตำรวจ ที่คว้าแชมป์ดิวิชัน 1 แบบม้วนเดียวจบ ซึ่งถ้าพิจารณาขุมกำลังแล้วถือว่าพอฟัดพอเหวี่ยงกับสโมสรกลางตารางไทยลีก นำโดย มานิตย์ น้อยเวช หัวหอกอดีตทีมชาติไทยที่ทะลวงตาข่าย 24 ประตู คว้ารองดาวซัลโวซีซันที่ผ่านมา ตลอดจนมิดฟิลด์อย่าง ยุทธนา ไชยแก้ว, เอกอาทิตย์ สมจิตร, สุรพงษ์ ธรรมวงศา รวมถึง กฤษฎี ประกอบของ แบ็กซ้ายที่ติดทีมชาติไทยอยู่ระยะหนึ่ง
เมื่อบวกกับมันสมองของ พ.ต.ต.ชัยยง ขำเปี่ยม กุนซือรุ่นใหม่ที่มีดีกรีระดับ A ไลเซนส์กับผลงานที่พิสูจน์ในดิวิชัน 1 แล้วจึงพอจะเชื่อได้ว่า "โปลิศ" สามารถต่อกรกับทีมอื่นๆ ได้ไม่ยาก อย่างไรก็ตาม "โค้ชยง" ยืนยันว่าต้องการเสริมทัพอีก "ผมอยากได้ผู้เล่นใหม่เข้ามาในทุกตำแหน่งโดยเฉพาะตัวริมเส้นและกองหน้าตัวเป้า ซึ่งที่ผ่านมา มานิตย์ รับบทหนักเพียงลำพัง ตอนนี้ก็เล็ง อารอน ดา ซิลวา กับ มาริโอ เนโต นักเตะชาวบราซิลจาก จุฬา ยูไนเต็ด เอาไว้"
นอกจากนี้ เพื่อนตำรวจ ยังเตรียมขยายฐานแฟนคลับ หลังจากไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องยอดผู้ชมที่มีเพียงประมาณ 500 คนต่อเกมเท่านั้น โดยขั้นแรกจะย้ายจากสนามกีฬาคลองจั่นไปใช้ที่ ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต ซึ่งได้มาตรฐาน และมีความจุสูงถึง 20,000 คน เพื่อดึงกองเชียร์ย่านรังสิต-ปทุมธานี ขณะเดียวกันยังติดต่อหาสปอนเซอร์มาคาดบนอกเสื้อและผู้สนับสนุนรายอื่นๆ มาหนุนหลังด้านทุนทรัพย์ให้กับ "บริษัท สโมสรฟุตบอลโล่ห์เงิน จำกัด (มหาชน)" อีกด้วย โดยคาดว่าน้ำหล่อเลี้ยงของทีมในปีหน้าจะไม่ต่ำกว่าเมื่อปีที่ผ่านมาในระดับ 20 ล้านบาท
ข้ามมายังหนึ่งในค่ายกองทัพไทยอย่าง "ทหารบก" บ้าง ซึ่งตลอดซีซันใหม่ จะไม่สามารถใช้งาน มงคล ทศไกร หัวหอกตัวเก่งที่มีส่วนสำคัญในการคว้ารองแชมป์ดิวิชัน 1 รวมถึงคนอื่นๆ ที่ต้องไปเรียนเป็นนักเรียนชั้นนายสิบ 1 ปีเต็มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนนี้ แต่กลุ่มที่เรียนจบแล้วก็จะสลับกลับมาช่วยทีมแทนร่วมกับ ธาตรี สีหา ดาวยิงร่างเล็กที่ซัดไป 17 ประตูในซีซันที่ผ่านมา ขณะที่เฮดโค้ชอย่าง ขวัญ รัตนรังสี บอกว่าต้องการเสริมความแข็งแกร่งในแดนกลางและแดนหน้า
แต่สิ่งสำคัญเหนืออื่นใด คือ "ตรากงจักร" ต้องจัดตั้งสโมสรให้เป็นนิติบุคคลตามระเบียบของไทยพรีเมียร์ลีกจึงจะสามารถส่งทีมลงแข่งขันได้ ซึ่งเรื่องนี้ พ.อ.ศุภณัฐ แก้วหิรัญ ผู้จัดการทีมออกมาชี้แจงว่า "ผู้ใหญ่ในกองทัพบกพร้อมผลักดันให้เป็นทีมอาชีพอย่างเต็มตัวอยู่แล้ว เพราะเราต้องการกลับคืนสู่ลีกสูงสุดอย่างมั่นคง จึงต้องดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ และคาดว่าจะเจรจากับองค์กรธุรกิจพร้อมทั้งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลได้ภายในเดือนตุลาคมนี้" ซึ่งล่าสุดมีการเปิดเผยว่า กลุ่มธุรกิจในเครือ "อาร์เอส" แสดงความสนใจที่จะเข้ามาร่วมทำทีมด้วย พร้อมยึดสนามกีฬากองทัพบกเป็นรังเหย้าต่อไป ทว่าก็มี ชัยนาท กับ กาญจนบุรี ที่สนใจดึงไปผูกกับจังหวัดของตนด้วยเช่นกัน
ปิดท้ายที่ "ศรีสะเกษ" ตัวแทนจากภาคอีสานทีมแรกในลีกสูงสุดของไทยที่เลื่อนชั้นในฐานะอันดับ 3 ของดิวิชัน 1 ซึ่งสโมสรนี้มีความน่าสนใจอยู่ที่การเน้นใช้นักเตะท้องถิ่นเป็นแกนหลัก อาทิ ไพโรจน์ อนันตณรงค์ ดาวยิงกัปตันทีมเจ้าของผลงาน 16 ประตู, ทัตพงศ์ หล้าธรรม กองหน้าตัวจี๊ด และ จักรพันธ์ พรหมรส มิดฟิลด์จอมทัพที่มีทีเด็ดทั้งปั้นเกมและสอดขึ้นไปจบสกอร์เอง
ในส่วนของการจัดการนอกสนามนับว่ารากฐานของ "กูปรีอันตราย" มั่นคงไม่น้อย เนื่องจากมีกองเชียร์ให้เข้มชมเกมในบ้านเฉลี่ยเกิน 5,000-6,000 คนต่อนัด และ ธเนศ เครือรัตน์ ส.ส.จังหวัดศรีสะเกษซึ่งนั่งเก้าอี้ประธานสโมสรยืนยันว่ามีสปอนเซอร์ให้การสนับสนุนอย่างดีแน่นอน ส่วน สมบัติ เกียรติสุรนนท์ ประธานฝ่ายสิทธิประโยชน์ของทีมก็เผยว่าจะเน้นเสริมทีมด้วยผู้เล่นท้องถิ่นเป็นหลัก ซึ่งค่อนข้างแน่นอนแล้วว่าจะคว้า ภูวดล แสนกล้า ศูนย์หน้าที่ไม่มีตำแหน่งตัวจริงในทีม บีอีซี เทโรศาสน เข้ามา และอาจมีตัวต่างชาติบ้างเพื่อเสิรมความแข็งแกร่งเช่นกัน