หลังจากปัญหาความขัดแย้งภายในสมาคมกีฬายิงปืนแห่งประเทศไทย เมื่อ 2 มือปืนทีมชาติ "เจ้าเอ็กซ์" จักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม และ โอภาส เรืองปัญญาวุฒิ ออกมาร้องเรียนถึงการทำงานที่ไม่โปร่งใสของคณะกรรมการบริหารสมาคมกีฬายิงปืนฯ รวมถึงเรื่องของการจำหน่ายกระสุน การจ่ายเงินเบี้ยเลี้ยงนักกีฬาทีมชาติ และ การจัดซื้ออาวุธปืน จนกลายเป็นปมปัญหาใหญ่ถึงขั้นสมาคมฯ มีมติไม่รับนักกีฬาทั้ง 2 คนเข้าสู่การคัดตัวทีมชาติชุดซีเกมส์ ครั้งที่ 25 เดือนธันวาคม 2552 ที่ประเทศลาว
โดยสมาคมยิงปืนแห่งประเทศไทยระบุว่านักกีฬาทั้งคู่มีคุณสมบัติไม่ครบตามข้อบังคับข้อที่ 8 ของสมาคม คือ นักกีฬายิงปืนทีมชาติจะต้องเป็นสมาชิกของสมาคมยิงปืนเท่านั้น จากข้อบังคับดังกล่าวส่งผลให้ 2 นักแม่นปืนไทยยื่นเรื่องฟ้องศาลปกครองกลางขอให้คุ้มครองสิทธิ์การเข้าคัดเลือกทีมชาติ ก่อนที่ "เจ้าเอ็กซ์" จักรกฤษณ์ จะคว้าอันดับ 1 มาครองได้ 5 รายการ ทว่าทั้งคู่ก็ยังไม่มีชื่อติดทีมชาติ เนื่องจากสมาคมยิงปืนแห่งประเทศไทยยืนยันว่าการได้สิทธิคุ้มครองการคัดเลือกตัวแทนนั้นไม่ใช่สิทธิที่จะก้าวไปติดทีมชาติได้แม้จะได้คะแนนอันดับ 1 ก็ตาม
ส่งผลให้ "เจ้าเอ็กซ์" จักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม และ "บิ๊กโอ" โอภาส เรืองปัญญาวุฒิ ยอมรับว่าหมดหนทางสู้แล้วโดยทำหนังสือเวียนวอนขอความเห็นใจผ่านสื่อมวลชนมีเนื้อหาระบุว่า "มีการออกกฎข้อ 8 เมื่อเดือนตุลาคม 2551 พวกผมอยู่วงการนี้มานาน ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรมกับนักกีฬา การได้รับความคุ้มครองจากศาลปกครองให้เข้าร่วมคัดเลือกเป็นนักกีฬาทีมชาติชุดซีเกมส์ แต่สมาคมฯ กลับตีความให้คัดตัวได้แต่ไม่รวมถึงเป็นทีมชาติ จึงได้ร้องต่อศาลขอให้ยกเลิกกฎข้อ 8 และขอคืนการได้เป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ที่พวกผมเคยได้รับ"
ล่าสุดเมื่อเวลา 13.30 น. ของวันอังคารที่ 4 สิงหาคม 2552 ณ ศาลปกครองกลาง ถนนแจ้งวัฒนะ ได้นัดไต่สวนคดีเพิ่มเติม โดยมี จักรกฤษณ์ และ โอภาส เป็นโจทย์ยื่นฟ้องนายปองพล อดิเรกสาร นายกสมาคมยิงปืนแห่งประเทศไทยเป็นจำเลยที่ 1 พร้อมด้วยคณะกรรมการสมาคมยิงปืนแห่งประเทศไทยเป็นจำเลยที่ 2 จากการไม่รับนักกีฬาทั้งคู่เป็นสมาชิกของสมาคมฯ ทำให้ถูกตัดสิทธิ์ในการติดทีมชาติ
ซึ่งนายแพทย์เอาชัย กาญจนพิทักษ์ ตัวแทนจากคณะกรรมการสมาคมยิงปืนแห่งประเทศไทย ที่ได้รับมอบหมายจาก "บิ๊กป๊อก" ปองพล อดิเรกสาร เข้าชี้แจงต่อศาลกล่าวว่า "สมาคมฯ เน้นเรื่องระเบียบวินัย ควบคู่ไปกับผลงานของนักกีฬาในคัดตัวสู่ทีมชาติ ซึ่งนักกีฬาทั้งคู่ต่างก็มีความประพฤติที่ไม่เหมาะสม โดยในรายของ จักรกฤษณ์ นั้นมีคดีทะเลาะวิวาทกับนายวิเชียร์ ไพจิตรกาญจนกุล นักกีฬายิงปืนทีมชาติก่อนเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิก 2008 ขณะที่ โอภาส ก็มีคดีที่นายกสมาคมฟ้องหมิ่นประมาทอยู่ และทุกอย่างก็เป็นไปตามระเบียบของสมาคม ไม่ได้มีการกลั่นแกล้งกันแต่อย่างใด รวมทั้งหากรับทั้งคู่เข้าสู่ทีมชาติ จะส่งผลกระทบต่อรายชื่อนักกีฬา 33 คนที่สมาคมได้ส่งเข้าแข่งขันซีเกมส์จะต้องออกจากทีม 2 คนเช่นกัน"
ด้าน จักรกฤษณ์ ยืนยันว่าตนเองไม่ได้มีคดีติดตัวแต่อย่างใด "ผมไม่เคยต้องคดีความตามที่ถูกกล่าวหาเรื่องกับนายวิเชียรที่มีการแจ้งความเอาผิดกันนั้นส่วนตัวมองว่าถูกกลั่นแกล้ง อยากให้สมาคมฯ เห็นแก่ชื่อเสียงของประเทศชาติ มากกว่าชื่อเสียงของสมาคมฯ และยอมรับว่าหากศาลมีคำสั่งอย่างไรก็พร้อมยอมรับ ผมเชื่อว่าตัวเองยังมีประโยชน์กับทีมชาติไทยอยู่ ซึ่งถ้าจะไม่ได้ลงทำหน้าที่กับทีมชาติไทยแล้ว ผมก็พร้อมจะเป็นผู้ฝึกสอนให้นักกีฬารุ่นใหม่ ไม่จำเป็นที่ว่าผมจะต้องมาสอนในเมือง ไปเป็นครูบ้านนอกสอนนักกีฬาเยาวชนในต่างจังหวัดก็ได้ ที่ผ่านมาทาง สิงคโปร์ และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้ทาบทามไปเป็นโค้ชด้วยตัวเงินจำนวน 10 ล้านบาท ก็ได้ตอบปฏิเสธไปแล้วเช่นกัน"
ขณะที่ผู้พิพากษา ชาชิวัฒน์ ศรีแก้ว ที่นั่งบัลลังก์ในการไต่สวนคดีนี้ยืนยันว่า ศาลจะพิจารณาคดีนี้ด้วยการยึดประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก และจะส่งผลการตัดสินให้ทั้งสองฝ่ายภายในวันศุกร์ที่ 7 สิงหาคมนี้