สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานสภาที่ปรึกษาสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย มั่นใจมีแต่ได้กับได้หาก สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ เปิดไฟเขียวจัดประชุมฟีฟ่าคองเกรสที่เมืองสยาม พร้อมทั้งได้รับคำชี้แนะจาก เซปป์ แบลตเตอร์ บอสองค์กรลูกหนังโลกว่าหากพัฒนาลีกอาชีพให้แข็งแกร่ง โอกาสไปบอลโลกก็อยู่ไม่ไกล
สืบเนื่องจากวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา สุวัจน์ ลิปตพัลลภ เดินทางไปร่วมประชุมใหญ่ฟีฟ่าคองเกรสพร้อมกับ วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลฯ และ องอาจ ก่อสินค้า เลขาธิการสมาคมฟุตบอลฯ ที่ประเทศบาฮามาส ซึ่งได้มีการเข้าพบ เซปป์ แบลตเตอร์ ประธานฟีฟ่าเป็นการส่วนตัวภายในโรงแรมที่จัดประชุมด้วย
ภายหลัง “บิ๊กเซปป์” พูดคุยกับคณะตัวแทนจากไทยเป็นเวลา 1 ชั่วโมงแล้วก็ได้รับคำตอบว่า ไทย มีสิทธิ์ได้รับหน้าเสื่อจัดการประชุมใหญ่ของฟีฟ่าตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นไปหากยื่นข้อเสนอเข้ามา เนื่องจากปี 2010 มีคิวจัดที่ประเทศแอฟริกาใต้ ชาติเจ้าภาพฟุตบอลโลกครั้งต่อไป และปี 2011 กำหนดจัดประชุมที่เมืองซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่ง แบลตเตอร์ รับปากแล้วว่าจะนำเรื่องนี้ไปหารือกับบอร์ดบริหารฟีฟ่า โดยขอพิจารณาเรื่องการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยด้วย
ซึ่งทาง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยก็รับทราบเรื่องนี้แล้วเช่นกัน และยืนยันว่าเห็นด้วยกับการยื่นจัดประชุมฟีฟ่าคองเกรส และยินดีให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการหาสถานที่จัด ทั้งนี้ สุวัจน์ เปิดเผยว่าเตรียมจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งสำหรับดำเนินการ และศึกษาความเป็นไปได้เกี่ยวกับความพร้อมในด้านต่างๆ เนื่องจากการประชุมใหญ่ฟีฟ่าจะมีตัวแทนจากสมาชิกที่เป็นองค์กรลูกหนังทั่วโลกกว่า 208 ชาติ รวมทั้งสิ้นกว่า 1,000 คนมาร่วมงาน
ด้าน สุวัจน์ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าว MGR Sport ถึงการได้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมระดับนานาชาติของวงการลูกหนังว่า “ต้องขอบคุณท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ ด้วยที่รับปากว่าจะให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี ซึ่งหากเราได้จัดจริงก็จะเป็นผลดีต่อไทยหลายๆ ด้าน ทั้งชื่อเสียงของประเทศ การท่องเที่ยว และยังได้เครดิตจากตัวแทน 200 กว่าชาติที่มาเยือน อีกทั้งฟีฟ่าก็เป็นองค์กรสูงสุดของกีฬาฟุตบอล นอกจากนั้น อดีตนักเตะระดับโลกที่มีบทบาทสำคัญต่อวงการฟุตบอลอย่าง ฟรานซ์ เบ็คเคนเบาเออร์ และ มิเชล พลาตินี ก็จะเดินทางมาด้วย”
ขณะเดียวกัน ประธานสภาที่ปรึกษาสมาคมฟุตบอลไทย ยังสนทนากับ แบลตเตอร์ เรื่องโอกาสที่ไทยจะได้ไปร่วมแข่งขันฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายในอนาคต ซึ่งก็ได้รับคำแนะนำกลับมาว่าเราต้องมีลีกอาชีพเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งเสียก่อน ต้องยกระดับทั้งเกมการแข่งขัน กองเชียร์ รวมถึงการจัดการ แต่ก็ได้เห็นแนวโน้มในทางที่ดีของไทยพรีเมียร์ลีกปีนี้บ้างแล้ว เขาก็พอใจและบอกต่อไปว่าตอนนี้ ไทย อยู่อันดับ 11 ของเอเชียถือว่ามีโอกาสเมื่อเทียบกับโควตา 4 ทีมครึ่งของทวีปเอเชีย ถ้าส่งเสริมลีกอาชีพภายในให้พัฒนาอย่างต่อเนื่องก็มีสิทธิ์เช่นกัน”
สืบเนื่องจากวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา สุวัจน์ ลิปตพัลลภ เดินทางไปร่วมประชุมใหญ่ฟีฟ่าคองเกรสพร้อมกับ วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลฯ และ องอาจ ก่อสินค้า เลขาธิการสมาคมฟุตบอลฯ ที่ประเทศบาฮามาส ซึ่งได้มีการเข้าพบ เซปป์ แบลตเตอร์ ประธานฟีฟ่าเป็นการส่วนตัวภายในโรงแรมที่จัดประชุมด้วย
ภายหลัง “บิ๊กเซปป์” พูดคุยกับคณะตัวแทนจากไทยเป็นเวลา 1 ชั่วโมงแล้วก็ได้รับคำตอบว่า ไทย มีสิทธิ์ได้รับหน้าเสื่อจัดการประชุมใหญ่ของฟีฟ่าตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นไปหากยื่นข้อเสนอเข้ามา เนื่องจากปี 2010 มีคิวจัดที่ประเทศแอฟริกาใต้ ชาติเจ้าภาพฟุตบอลโลกครั้งต่อไป และปี 2011 กำหนดจัดประชุมที่เมืองซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่ง แบลตเตอร์ รับปากแล้วว่าจะนำเรื่องนี้ไปหารือกับบอร์ดบริหารฟีฟ่า โดยขอพิจารณาเรื่องการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยด้วย
ซึ่งทาง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยก็รับทราบเรื่องนี้แล้วเช่นกัน และยืนยันว่าเห็นด้วยกับการยื่นจัดประชุมฟีฟ่าคองเกรส และยินดีให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการหาสถานที่จัด ทั้งนี้ สุวัจน์ เปิดเผยว่าเตรียมจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งสำหรับดำเนินการ และศึกษาความเป็นไปได้เกี่ยวกับความพร้อมในด้านต่างๆ เนื่องจากการประชุมใหญ่ฟีฟ่าจะมีตัวแทนจากสมาชิกที่เป็นองค์กรลูกหนังทั่วโลกกว่า 208 ชาติ รวมทั้งสิ้นกว่า 1,000 คนมาร่วมงาน
ด้าน สุวัจน์ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าว MGR Sport ถึงการได้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมระดับนานาชาติของวงการลูกหนังว่า “ต้องขอบคุณท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ ด้วยที่รับปากว่าจะให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี ซึ่งหากเราได้จัดจริงก็จะเป็นผลดีต่อไทยหลายๆ ด้าน ทั้งชื่อเสียงของประเทศ การท่องเที่ยว และยังได้เครดิตจากตัวแทน 200 กว่าชาติที่มาเยือน อีกทั้งฟีฟ่าก็เป็นองค์กรสูงสุดของกีฬาฟุตบอล นอกจากนั้น อดีตนักเตะระดับโลกที่มีบทบาทสำคัญต่อวงการฟุตบอลอย่าง ฟรานซ์ เบ็คเคนเบาเออร์ และ มิเชล พลาตินี ก็จะเดินทางมาด้วย”
ขณะเดียวกัน ประธานสภาที่ปรึกษาสมาคมฟุตบอลไทย ยังสนทนากับ แบลตเตอร์ เรื่องโอกาสที่ไทยจะได้ไปร่วมแข่งขันฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายในอนาคต ซึ่งก็ได้รับคำแนะนำกลับมาว่าเราต้องมีลีกอาชีพเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งเสียก่อน ต้องยกระดับทั้งเกมการแข่งขัน กองเชียร์ รวมถึงการจัดการ แต่ก็ได้เห็นแนวโน้มในทางที่ดีของไทยพรีเมียร์ลีกปีนี้บ้างแล้ว เขาก็พอใจและบอกต่อไปว่าตอนนี้ ไทย อยู่อันดับ 11 ของเอเชียถือว่ามีโอกาสเมื่อเทียบกับโควตา 4 ทีมครึ่งของทวีปเอเชีย ถ้าส่งเสริมลีกอาชีพภายในให้พัฒนาอย่างต่อเนื่องก็มีสิทธิ์เช่นกัน”
