หลุยส์ ซาฮา กองหน้า “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” เอฟเวอร์ตัน ทำสถิติยิงประตูได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์รอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ หลังใช้เวลาเพียง 25 วินาที ทำสกอร์ใส่ “สิงห์บลูส์” เชลซี เมื่อคืนวันเสาร์
ศึกฟุตบอล เอฟเอ คัพ อังกฤษ นัดชิงชนะเลิศ ที่สนามเวมบลีย์ ประจำคืนวันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม 2552 มีการทำประตูเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์เกิดขึ้น เมื่อ หลุยส์ ซาฮา วอลเลย์ลูกโขกเช็ดมาให้ของ มารูยาน เฟลไลนี เข้าประตูไปตั้งแต่ 25 วินาทีแรก ช่วยให้ เอฟเวอร์ตัน ต้นสังกัดออกนำ เชลซี อย่างรวดเร็ว 1-0
ประตูดังกล่าวของ ซาฮา ทำให้ดาวยิงผิวสีชาวฝรั่งเศสจารึกชื่อในประวัติศาสตร์นัดชิงเอฟเอ คัพ เป็นผู้ทำสกอร์เร็วสุด ทำลายสถิติเดิมที่ บ็อบ แชทท์ ของ “สิงห์ผงาด” แอสตัน วิลลา ยิงใส่ เวสต์บรอมวิช อัลเบียน เมื่อปี 1895 ใช้เวลาไป 30 วินาที ในเกมการแข่งขันที่สนามของ คริสตัล พาเลซ ณ กรุงลอนดอน
ส่วนประตูเร็วที่สุดในรอบชิงเอฟเอ คัพ ที่สนามเวมบลีย์ เกิดขึ้นเมื่อปี 1997 โดย โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ กองกลางทีมชาติอิตาลีซัดให้ เชลซี ออกนำ “สิงห์แดง” มิดเดิลสโบรช์ ตั้งแต่วินาทีที่ 42 ก่อนที่ ฌอน นิวตัน จะมาย้ำชัย 2-0 ก่อนหมดเวลา 7 นาทีช่วยให้ “สิงห์บลูส์” ตะปบแชมป์มาครอง
อย่างไรก็ตาม ประตูประวัติศาสตร์ของ ซาฮา ไม่สามารถช่วยให้ เอฟเวอร์ตัน ครองแชมป์ได้ เนื่องจาก เชลซี พลิกสถานการณ์กลับมาเอาชนะ 2-1 จากลูกโขกของ ดิดิเยร์ ดร็อกบา นาทีที่ 21 และประตูชัยของ แฟรงค์ แลมพาร์ด นาทีที่ 72 ทำให้ทีมดังแห่งลอนดอน เถลิงแชมป์เอฟเอ คัพ เป็นสมัยที่ 5
ศึกฟุตบอล เอฟเอ คัพ อังกฤษ นัดชิงชนะเลิศ ที่สนามเวมบลีย์ ประจำคืนวันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม 2552 มีการทำประตูเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์เกิดขึ้น เมื่อ หลุยส์ ซาฮา วอลเลย์ลูกโขกเช็ดมาให้ของ มารูยาน เฟลไลนี เข้าประตูไปตั้งแต่ 25 วินาทีแรก ช่วยให้ เอฟเวอร์ตัน ต้นสังกัดออกนำ เชลซี อย่างรวดเร็ว 1-0
ประตูดังกล่าวของ ซาฮา ทำให้ดาวยิงผิวสีชาวฝรั่งเศสจารึกชื่อในประวัติศาสตร์นัดชิงเอฟเอ คัพ เป็นผู้ทำสกอร์เร็วสุด ทำลายสถิติเดิมที่ บ็อบ แชทท์ ของ “สิงห์ผงาด” แอสตัน วิลลา ยิงใส่ เวสต์บรอมวิช อัลเบียน เมื่อปี 1895 ใช้เวลาไป 30 วินาที ในเกมการแข่งขันที่สนามของ คริสตัล พาเลซ ณ กรุงลอนดอน
ส่วนประตูเร็วที่สุดในรอบชิงเอฟเอ คัพ ที่สนามเวมบลีย์ เกิดขึ้นเมื่อปี 1997 โดย โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ กองกลางทีมชาติอิตาลีซัดให้ เชลซี ออกนำ “สิงห์แดง” มิดเดิลสโบรช์ ตั้งแต่วินาทีที่ 42 ก่อนที่ ฌอน นิวตัน จะมาย้ำชัย 2-0 ก่อนหมดเวลา 7 นาทีช่วยให้ “สิงห์บลูส์” ตะปบแชมป์มาครอง
อย่างไรก็ตาม ประตูประวัติศาสตร์ของ ซาฮา ไม่สามารถช่วยให้ เอฟเวอร์ตัน ครองแชมป์ได้ เนื่องจาก เชลซี พลิกสถานการณ์กลับมาเอาชนะ 2-1 จากลูกโขกของ ดิดิเยร์ ดร็อกบา นาทีที่ 21 และประตูชัยของ แฟรงค์ แลมพาร์ด นาทีที่ 72 ทำให้ทีมดังแห่งลอนดอน เถลิงแชมป์เอฟเอ คัพ เป็นสมัยที่ 5