“ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” เอฟเวอร์ตัน ดวลเป้าเอาชนะ “ผีแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4-2 หลังเสมอกัน 0-0 เมื่อครบ 120 นาที ได้ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ไปเจอกับ “สิงห์บลูส์” เชลซี
ศึกฟุตบอล เอฟเอ คัพ อังกฤษ รอบรองชนะเลิศ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0-0 เอฟเวอร์ตัน
(เอฟเวอร์ตัน ดวลจุดโทษชนะ 4-2 หลัง 120 นาทียังเสมอกัน)
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มีการปรับทัพ “ผีแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เกือบยกแผงหลังจากนักเตะตัวหลักกรำศึกหนักมาโดยตลอด นัดนี้จึงให้ดาวรุ่งลงสนามหลายคนอาทิเช่น “แฝดดา ซิลวา” ราฟาเอล-ฟาบิโอ ส่วน เฟเดริโก มาเคดา ร่วมล่าตาข่ายกับ แดนนี เวลเบ็ค ด้าน เดวิด มอยส์ จัดทีมชุดใหญ่ให้ “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” แถมยังได้ หลุยส์ ซาฮา กองหน้ากระดูกเปราะกลับมาล่าตาข่าย ได้รับการสนับสนุนเกมรุกจาก ทิม เคฮิลล์
เริ่มเกมการแข่งขันเป็น เอฟเวอร์ตัน ที่ครองเกมบุกทันที แต่โอกาสแรกเป็นของ แมนฯ ยูไนเต็ด เฟเดริโก มาเคดา กองหน้าดาวรุ่งชาวอิตาเลียนสบโอกาสเก็บบอลก่อนซัดด้วยขวาจากนอกกรอบบอลหลุดเสาไป ผ่าน 10 นาทีแรก “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” ทำเกมกันได้สวย มารูยาน เฟลไลนี แทงทะลุให้ ฟิล เนวิลล์ หลุดเข้าไปส่องทีมเก่าแต่จังหวะเสียหลักลื่นทำให้กวาดบอลโด่งไป
เกมแลกกันอย่างสูสี “ผีแดง” ได้ลุ้นบ้าง แดนนี เวลเบ็ค ลากตัดจากซ้ายเข้ามาก่อนแปะต่อให้ คาร์ลอส เตเบซ ได้ยิงบริเวณกรอบโทษแต่บอลหลุดกรอบ นาทีที่ 20 แฟนๆ แมนฯ ยูไนเต็ด เสียววูบเมื่อ เบน ฟอสเตอร์ พยายามเลี้ยงหลบ หลุยส์ ซาฮา หน้าประตูตัวเองและก็โดนล้มตัวบล็อกยังดีที่ ฟอสเตอร์ คว้าบอลได้ในจังหวะถัดมา สามนาทีต่อมา เอฟเวอร์ตัน เกือบเสียประตู โจลีออน เลสคอตต์ สกัดลูกยิงของ เวลเบ็ค เปลี่ยนทางเกือบเข้าประตูตัวเอง
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป เอฟเวอร์ตัน ครองเกมได้ดีขึ้นเป็นทาง แมนฯ ยูไนเต็ด เน้นรับให้แน่นอนแล้วหาจังหวะสวนกลับขึ้นไป นาทีที่ 37 เหล่า “เอฟเวอร์โตเนียน” ที่ยกพลมาหลายหมื่นคนที่เวมบลีย์พยายามโห่กดดัน ไมค์ ไรลีย์ เนื่องจากเห็นว่า สตีเวน พีนาร์ โดนเบียดจาก ราฟาเอล ดา ซิลวา แต่ผู้ตัดสินที่ก่อนเกม เดวิด มอยส์ ค่อนแคะว่าเป็นแฟน “ผีแดง” เมินเป่าให้จุดโทษแต่อย่างใด จบ 45 นาทีแรกสกอร์ยังคงอยู่ที่ 0-0
ลุยต่อครึ่งหลัง เดวิด มอยส์ แก้เกมด้วยการให้ลูกทีมครองบอลให้มากขึ้น และเอฟเวอร์ตัน ก็ลงมาเล่นได้ดีกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด นาทีที่ 52 ทิม เคฮิลล์ ตะบันเต็มข้อจากระยะไกลบอลกระดอนพื้นทำให้ ฟอสเตอร์ ต้องตบออกไปก่อน หนึ่งชั่วโมงผ่านไป “ผีแดง” น่าจะได้ประตูนำจากจังหวะโต้ขึ้นมา อันแดร์สัน จ่ายให้ ปาร์ค จี ซอง ยิงลอดขาผู้เล่น เอฟเวอร์ตัน แต่บอลเฉียดเสาไป
จากนั้น เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ต้องส่ง ปาทริซ เอฟรา มายืนแบ็กซ้ายแทน ฟาบิโอ ดา ซิลวา ที่มีอาการบาดเจ็บ โอกาสเริ่มเป็นของ แมนฯ ยูไนเต็ด ดาร์รอน กิบสัน กระหน่ำระยะ 25 หลา บอลลอยเกือบจะฮุคเสียบสามเหลี่ยมแต่ ทิม ฮาวเวิร์ด ไม่ยอมพลาด “เฟอร์กี” เริ่มส่งตัวหลักลงมาคราวนี้ใส่ พอล สโคลส์ ช่วยแดนกลางแทน ปาร์ค นาทีที่ 68 แฟนๆ “ผีแดง” เซ็งบ้างเมื่อ ไรลีย์ ปฏิเสธให้จุดโทษ ฟิล จากีลกา เตะตัดขา เวลเบ็ค ในจังหวะหลุดเข้าไป แต่กลับไม่มีเสียงนกหวีด
เดวิด มอยส์ เห็นท่าไม่ดีเติม แจ็ค ร็อดเวลล์ มาช่วยบี้แดนกลางถอด ซาฮา ออกไป พร้อมกับปรับแท็คติกดัน เคฮิลล์ ไปยืนหน้าเป้า เข้าสู่ช่วง 15 นาทีสุดท้าย เนมันยา วิดิช เติมมาโหม่งลูกเตะมุมย้อยๆ ฮาวเวิร์ด ไม่แน่ใจต้องปัดพ้นคานไปก่อน ท้ายเกม เวลเบ็ค แตะหนี โทนี ฮิบเบิร์ต ก่อนปั่นด้วยขวาบอลข้ามคานแบบได้ลุ้น จนแล้วจนรอดครบ 90 นาทีไม่มีฝ่ายใดทำประตูกันได้ต้องต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 30 นาที
ซึ่ง ท่านเซอร์ ทิ้งไพ่ใบสุดท้ายส่ง ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ล่าตาข่ายแทน มาเคดา แต่เป็น เอฟเวอร์ตัน ที่ได้ลุ้นก่อน เคฮิลล์ พักอกก่อนยิงเร็วในกรอบ 6 หลาแต่ ฟอสเตอร์ ใช้เท้าเซฟเอาไว้ จากนั้น เอฟเวอร์ตัน ถอด เฟลไลนี ออกพร้อมเติม เจมส์ วอห์น เข้าไป และหน้าดาวรุ่งก็เกือบแผลงฤทธิ์ตวัดยิงลูกเปิดของ เลห์ตัน เบนส์ ไปแฉลบเท้า วิดิช ออกไป ท้ายเกม ฟอสเตอร์ ทำเสียวเตะลูกคืนหลังของเพื่อนไปติดแผ่นหลัง วอห์น แต่ยังตามไปเคลียร์ได้ ครบ 120 นาที เสมอกัน 0-0
ต้องตัดสินด้วยการดวลลูกที่จุดโทษ และก็เป็น เอฟเวอร์ตัน ที่แม่นกว่าชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 4-2 โดย “ผีแดง” พลาดไปสองลูก เบอร์บาตอฟ กับ ริโอ เฟอร์ดินานด์ ยิงติดเซฟ ฮาวเวิร์ด ขณะที่ “ทอฟี่สีน้ำเงิน” พลาดคนเดียว เคฮิลล์ ยิงข้ามคาน แต่ต้นสังกัดได้ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ประจำฤดูกาล 2008/09 พบกับ “สิงห์บลูส์” เชลซี ต่อไป ขณะที่ “ผีแดง” หมดโอกาสสร้างปาฏิหาริย์คว้าแชมป์ 5 รายการในฤดูกาลเดียว
รายชื่อ 11 ผู้เล่นตัวจริงของทั้งสองทีม
แมนฯ ยูไนเต็ด : เบน ฟอสเตอร์ , ราฟาเอล ดา ซิลวา , ริโอ เฟอร์ดินานด์ , เนมันยา วิดิช , ฟาบิโอ ดา ซิลวา , ปาร์ค จี ซอง , ดาร์รอน กิบสัน , อันแดร์สัน , แดนนี เวลเบ็ค , คาร์ลอส เตเบซ , เฟเดริโก มาเคดา
เอฟเวอร์ตัน : ทิม ฮาวเวิร์ด , โทนี ฮิบเบิร์ต , ฟิล จากีลกา , โจลีออน เลสคอตต์ , เลห์ตัน เบนส์ , ลีออน ออสแมน , ฟิล เนวิลล์ , มารูยาน เฟลไลนี , สตีเวน พีนาร์ , ทิม เคฮิลล์ , หลุยส์ ซาฮา
ศึกฟุตบอล เอฟเอ คัพ อังกฤษ รอบรองชนะเลิศ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0-0 เอฟเวอร์ตัน
(เอฟเวอร์ตัน ดวลจุดโทษชนะ 4-2 หลัง 120 นาทียังเสมอกัน)
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มีการปรับทัพ “ผีแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เกือบยกแผงหลังจากนักเตะตัวหลักกรำศึกหนักมาโดยตลอด นัดนี้จึงให้ดาวรุ่งลงสนามหลายคนอาทิเช่น “แฝดดา ซิลวา” ราฟาเอล-ฟาบิโอ ส่วน เฟเดริโก มาเคดา ร่วมล่าตาข่ายกับ แดนนี เวลเบ็ค ด้าน เดวิด มอยส์ จัดทีมชุดใหญ่ให้ “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” แถมยังได้ หลุยส์ ซาฮา กองหน้ากระดูกเปราะกลับมาล่าตาข่าย ได้รับการสนับสนุนเกมรุกจาก ทิม เคฮิลล์
เริ่มเกมการแข่งขันเป็น เอฟเวอร์ตัน ที่ครองเกมบุกทันที แต่โอกาสแรกเป็นของ แมนฯ ยูไนเต็ด เฟเดริโก มาเคดา กองหน้าดาวรุ่งชาวอิตาเลียนสบโอกาสเก็บบอลก่อนซัดด้วยขวาจากนอกกรอบบอลหลุดเสาไป ผ่าน 10 นาทีแรก “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” ทำเกมกันได้สวย มารูยาน เฟลไลนี แทงทะลุให้ ฟิล เนวิลล์ หลุดเข้าไปส่องทีมเก่าแต่จังหวะเสียหลักลื่นทำให้กวาดบอลโด่งไป
เกมแลกกันอย่างสูสี “ผีแดง” ได้ลุ้นบ้าง แดนนี เวลเบ็ค ลากตัดจากซ้ายเข้ามาก่อนแปะต่อให้ คาร์ลอส เตเบซ ได้ยิงบริเวณกรอบโทษแต่บอลหลุดกรอบ นาทีที่ 20 แฟนๆ แมนฯ ยูไนเต็ด เสียววูบเมื่อ เบน ฟอสเตอร์ พยายามเลี้ยงหลบ หลุยส์ ซาฮา หน้าประตูตัวเองและก็โดนล้มตัวบล็อกยังดีที่ ฟอสเตอร์ คว้าบอลได้ในจังหวะถัดมา สามนาทีต่อมา เอฟเวอร์ตัน เกือบเสียประตู โจลีออน เลสคอตต์ สกัดลูกยิงของ เวลเบ็ค เปลี่ยนทางเกือบเข้าประตูตัวเอง
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป เอฟเวอร์ตัน ครองเกมได้ดีขึ้นเป็นทาง แมนฯ ยูไนเต็ด เน้นรับให้แน่นอนแล้วหาจังหวะสวนกลับขึ้นไป นาทีที่ 37 เหล่า “เอฟเวอร์โตเนียน” ที่ยกพลมาหลายหมื่นคนที่เวมบลีย์พยายามโห่กดดัน ไมค์ ไรลีย์ เนื่องจากเห็นว่า สตีเวน พีนาร์ โดนเบียดจาก ราฟาเอล ดา ซิลวา แต่ผู้ตัดสินที่ก่อนเกม เดวิด มอยส์ ค่อนแคะว่าเป็นแฟน “ผีแดง” เมินเป่าให้จุดโทษแต่อย่างใด จบ 45 นาทีแรกสกอร์ยังคงอยู่ที่ 0-0
ลุยต่อครึ่งหลัง เดวิด มอยส์ แก้เกมด้วยการให้ลูกทีมครองบอลให้มากขึ้น และเอฟเวอร์ตัน ก็ลงมาเล่นได้ดีกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด นาทีที่ 52 ทิม เคฮิลล์ ตะบันเต็มข้อจากระยะไกลบอลกระดอนพื้นทำให้ ฟอสเตอร์ ต้องตบออกไปก่อน หนึ่งชั่วโมงผ่านไป “ผีแดง” น่าจะได้ประตูนำจากจังหวะโต้ขึ้นมา อันแดร์สัน จ่ายให้ ปาร์ค จี ซอง ยิงลอดขาผู้เล่น เอฟเวอร์ตัน แต่บอลเฉียดเสาไป
จากนั้น เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ต้องส่ง ปาทริซ เอฟรา มายืนแบ็กซ้ายแทน ฟาบิโอ ดา ซิลวา ที่มีอาการบาดเจ็บ โอกาสเริ่มเป็นของ แมนฯ ยูไนเต็ด ดาร์รอน กิบสัน กระหน่ำระยะ 25 หลา บอลลอยเกือบจะฮุคเสียบสามเหลี่ยมแต่ ทิม ฮาวเวิร์ด ไม่ยอมพลาด “เฟอร์กี” เริ่มส่งตัวหลักลงมาคราวนี้ใส่ พอล สโคลส์ ช่วยแดนกลางแทน ปาร์ค นาทีที่ 68 แฟนๆ “ผีแดง” เซ็งบ้างเมื่อ ไรลีย์ ปฏิเสธให้จุดโทษ ฟิล จากีลกา เตะตัดขา เวลเบ็ค ในจังหวะหลุดเข้าไป แต่กลับไม่มีเสียงนกหวีด
เดวิด มอยส์ เห็นท่าไม่ดีเติม แจ็ค ร็อดเวลล์ มาช่วยบี้แดนกลางถอด ซาฮา ออกไป พร้อมกับปรับแท็คติกดัน เคฮิลล์ ไปยืนหน้าเป้า เข้าสู่ช่วง 15 นาทีสุดท้าย เนมันยา วิดิช เติมมาโหม่งลูกเตะมุมย้อยๆ ฮาวเวิร์ด ไม่แน่ใจต้องปัดพ้นคานไปก่อน ท้ายเกม เวลเบ็ค แตะหนี โทนี ฮิบเบิร์ต ก่อนปั่นด้วยขวาบอลข้ามคานแบบได้ลุ้น จนแล้วจนรอดครบ 90 นาทีไม่มีฝ่ายใดทำประตูกันได้ต้องต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 30 นาที
ซึ่ง ท่านเซอร์ ทิ้งไพ่ใบสุดท้ายส่ง ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ล่าตาข่ายแทน มาเคดา แต่เป็น เอฟเวอร์ตัน ที่ได้ลุ้นก่อน เคฮิลล์ พักอกก่อนยิงเร็วในกรอบ 6 หลาแต่ ฟอสเตอร์ ใช้เท้าเซฟเอาไว้ จากนั้น เอฟเวอร์ตัน ถอด เฟลไลนี ออกพร้อมเติม เจมส์ วอห์น เข้าไป และหน้าดาวรุ่งก็เกือบแผลงฤทธิ์ตวัดยิงลูกเปิดของ เลห์ตัน เบนส์ ไปแฉลบเท้า วิดิช ออกไป ท้ายเกม ฟอสเตอร์ ทำเสียวเตะลูกคืนหลังของเพื่อนไปติดแผ่นหลัง วอห์น แต่ยังตามไปเคลียร์ได้ ครบ 120 นาที เสมอกัน 0-0
ต้องตัดสินด้วยการดวลลูกที่จุดโทษ และก็เป็น เอฟเวอร์ตัน ที่แม่นกว่าชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 4-2 โดย “ผีแดง” พลาดไปสองลูก เบอร์บาตอฟ กับ ริโอ เฟอร์ดินานด์ ยิงติดเซฟ ฮาวเวิร์ด ขณะที่ “ทอฟี่สีน้ำเงิน” พลาดคนเดียว เคฮิลล์ ยิงข้ามคาน แต่ต้นสังกัดได้ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ประจำฤดูกาล 2008/09 พบกับ “สิงห์บลูส์” เชลซี ต่อไป ขณะที่ “ผีแดง” หมดโอกาสสร้างปาฏิหาริย์คว้าแชมป์ 5 รายการในฤดูกาลเดียว
รายชื่อ 11 ผู้เล่นตัวจริงของทั้งสองทีม
แมนฯ ยูไนเต็ด : เบน ฟอสเตอร์ , ราฟาเอล ดา ซิลวา , ริโอ เฟอร์ดินานด์ , เนมันยา วิดิช , ฟาบิโอ ดา ซิลวา , ปาร์ค จี ซอง , ดาร์รอน กิบสัน , อันแดร์สัน , แดนนี เวลเบ็ค , คาร์ลอส เตเบซ , เฟเดริโก มาเคดา
เอฟเวอร์ตัน : ทิม ฮาวเวิร์ด , โทนี ฮิบเบิร์ต , ฟิล จากีลกา , โจลีออน เลสคอตต์ , เลห์ตัน เบนส์ , ลีออน ออสแมน , ฟิล เนวิลล์ , มารูยาน เฟลไลนี , สตีเวน พีนาร์ , ทิม เคฮิลล์ , หลุยส์ ซาฮา