แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฝ่าฟันเข้าไปลุ้นป้องกันแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ได้สำเร็จ หลังบุกสอนเชิง อาร์เซนอล อย่างเหนือชั้น 3-1 คว้าชัยด้วยประตูรวม 4-1 แม้ ดาร์เรน เฟลทเชอร์ จะถูกตะเพิดในครึ่งหลังก็ตาม
ฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2 วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2552
อาร์เซนอล 1–3 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (รวม 2 นัด แมนฯ ยูฯ ชนะ 4-1)
บิ๊กแมตช์ถ้วยยุโรปที่ทีมจากอังกฤษปะทะกันเอง อาร์เซนอล เล่นในถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดียม ต้อนรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ชนะมาในนัดแรก 1-0 เกมนี้เจ้าถิ่นได้ โรบิน ฟาน เพอร์ซี หายเจ็บกลับมาประสานงานในแดนหน้าร่วมกับ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ ขณะที่ทีมเยือนเน้นความรัดกุมโดยทิ้ง เวย์น รูนีย์ ไว้เป็นกองหน้าตัวเป้าเพียงคนเดียว และให้ คริสเตียโน โรนัลโด คอยสนับสนุน
เปิดฉากมาได้เพียง 2 นาทีเศษ ปืนใหญ่ที่เดินเกมรุกสู้ตั้งแต่ต้นได้ลุ้นครั้งแรกจาก เชส ฟาเบรกาส ที่ทำชิ่งกับ ซาเมียร์ นาสรี ก่อนสับไกหน้าเขตโทษแฉลบทั้ง เนมานยา วิดิช และ ริโอ เฟอร์ดินานด์ จน เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ หลงทางไปแล้ว ทว่าลูกเฉี่ยวเสาออกหลังเพียงนิดเดียว
อย่างไรก็ตาม สาวกปิศาจแดงที่ยกพลมาเชียร์กลับเป็นฝ่ายได้เฮกันก่อนในนาทีที่ 8 เมื่อ อันแดร์สัน เก็บบอลได้แล้วจ่ายทะลุช่องให้ โรนัลโด ควบเข้าไปเปิดมาหน้าประตู บอลผ่าน คีแรน กิ๊บบ์ส ที่ลื่นเสียหลักมาเข้าทาง ปาร์ค จี-ซอง กดข้ามตัว มานูเอล อัลมูเนีย เป็น 1-0 จากนั้น 3 นาทีถัดมาสกอร์ไหลเป็น 2-0 อย่างรวดเร็วโดย โรนัลโด ตะบันฟรีคิกตามสไตล์ถนัดส่งลูกพุ่งหนีมือ อัลมูเนีย เสียบเสาแรกอย่างแม่นยำ
เดอะ กันเนอร์ส เริ่มเข้าตาจนจึงเดินหน้าแลกหมัดเต็มตัว แต่เกือบถูกจังหวะฉาบฉวยของ เรด เดวิลส์ เล่นงานในนาทีที่ 18 ซึ่ง รูนีย์ สบโอกาสปั่นไซด์โป้งทำท่าจะเข้าเสาไกล แต่ อัลมูเนีย ไม่ยอมเสียเพิ่มพุ่งปัดปลายมือออกหลังหวุดหวิด จากนั้นลูกเตะมุมต่อเนื่อง โรนัลโด แย่งโหม่งตัดหน้า วิดิช ทำให้ลูกไม่ตรงกรอบ
ผ่านมาถึงครึ่งชั่วโมงแรก ฟาเบรกาส มีจังหวะเข้าทำอีกครั้งจากลูกโหม่งแต่ก็ยังไม่ดีพอที่จะทวงประตูตีตื้น จากนั้นเป็น อาร์เซนอล ที่ดาหน้าบุกหนัก แต่ แมนฯ ยูไนเต็ด วางแนวรับต้านทานได้อย่างเหนียวแน่น กระทั่งตรึงสกอร์นำอยู่ 2-0 จนจบ 45 นาทีแรก ส่วนผลรวมอยู่ที่ 3-0
เข้าสู่ครึ่งหลัง อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือเจ้าบ้านตัดสินใจถอด กิ๊บบ์ส ออกแล้วส่ง เอ็มมานูเอล เอบูเอ ลงยืนแบ็กซ้ายแทน แต่สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น นาทีที่ 52 โรนัลโด ลากตัดเข้าในหนี โยฮัน ฌูรู แล้วกดเรียดด้วยซ้าย อัลมูเนีย ล้มตัวปัดออกหลังไป ลูกเตะมุมถัดมา อันแดร์สัน เล่นสั้นกับ จอห์น โอเชีย ก่อนเปิดโค้งเกือบเสียบใต้คาน ทว่า อัลมูเนีย ยังไม่หลงปัดข้ามคานได้ทัน
เกมมาขาดลอยยิ่งขึ้นในนาทีที่ 61 ซึ่งเป็นจังหวะที่ปืนใหญ่ได้เตะมุม ก่อนที่ปิศาจแดงจะเอาบอลคืนมาได้แล้วต่อบอลขึ้นมาสวนกลับเร็ว ก่อนที่ รูนีย์ จะใส่พานให้ โรนัลโด ล่อเป้ายิงสวน อัลมูเนีย ตุงตาข่ายเป็น 3-0 และสกอร์รวมขยับห่างออกไปเป็น 4-0 ถัดมา 10 นาที นิคลาส เบนดท์เนอร์ ศูนย์หน้าสำรองที่ลงมาแทน ธีโอ วัลคอตต์ ลากแหวกจากด้านขวาเข้ามากระทุ้งในเขตโทษส่งลูกปะทะข้างตาข่าย
อาร์เซนอล กลับมามีความหวังเล็กๆ ในนาทีที่ 75 เมื่อ ดาร์เรน เฟลทเชอร์ ทำฟาวล์ ฟาเบรกาส ในจังหวะหลุดเข้าเขตโทษ ผู้ตัดสิน โรแบร์โต โรเซ็ตติ ควักใบแดงไล่มิดฟิลด์ชาวสกอตแลนด์ทันที พร้อมทั้งให้จุดโทษแก่เจ้าถิ่น ซึ่ง ฟาน เพอร์ซี สังหารเสยเพดานตาข่ายอย่างเฉียบขาดไล่ขึ้นมาเป็น 1-3 สกอร์รวม 1-4
ล่วงเลยมานาทีที่ 84 ฟาเบรกาส ยิงฟรีคิกติดกำแพงก่อนซ้ำอีกครั้งเฉี่ยวเสาแรก จากนั้น 3 นาที โรนัลโด หวิดทำแฮตทริกได้ แต่ลูกฟรีคิกพุ่งเหินข้ามคานนิดเดียว ช่วงเวลาที่เหลือ อาร์เซนอล พยายามทุกวิถีทางเพื่อพลิกสถานการณ์ แต่ก็ไม่สำเร็จ แมนฯ ยูไนเต็ด จึงบุกมากำชัย 3-1 ผ่านเข้าไปลุ้นเป็นทีมแรกที่มีสิทธิ์ป้องกันแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ด้วยสกอร์รวม 4-1 โดยจะรอพบผู้ชนะคู่ระหว่าง เชลซี กับ บาร์เซโลนา ในคืนวันพุธต่อไป
รายชื่อผู้เล่น 11 คนแรกของทั้งสองทีม
อาร์เซนอล – มานูเอล อัลมูเนีย, บาการี ซาญา, โคโล ตูเร, โยฮัน ฌูรู, คีแรน กิบบ์ส, ธีโอ วัลคอตต์, อเล็กซานเดอร์ ซง, เชส ฟาเบรกาส, ซาเมียร์ นาสรี, โรบิน ฟาน เพอร์ซี, เอ็มมานูเอล อเดบายอร์
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด – เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์, จอห์น โอเชีย, ริโอ เฟอร์ดินานด์, เนมานยา วิดิช, ปาทริซ เอฟรา, ไมเคิล คาร์ริค, ดาร์เรน เฟลทเชอร์, ปาร์ค จี-ซอง, อันแดร์สัน, คริสเตียโน โรนัลโด, เวย์น รูนีย์
ฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2 วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2552
อาร์เซนอล 1–3 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (รวม 2 นัด แมนฯ ยูฯ ชนะ 4-1)
บิ๊กแมตช์ถ้วยยุโรปที่ทีมจากอังกฤษปะทะกันเอง อาร์เซนอล เล่นในถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดียม ต้อนรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ชนะมาในนัดแรก 1-0 เกมนี้เจ้าถิ่นได้ โรบิน ฟาน เพอร์ซี หายเจ็บกลับมาประสานงานในแดนหน้าร่วมกับ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ ขณะที่ทีมเยือนเน้นความรัดกุมโดยทิ้ง เวย์น รูนีย์ ไว้เป็นกองหน้าตัวเป้าเพียงคนเดียว และให้ คริสเตียโน โรนัลโด คอยสนับสนุน
เปิดฉากมาได้เพียง 2 นาทีเศษ ปืนใหญ่ที่เดินเกมรุกสู้ตั้งแต่ต้นได้ลุ้นครั้งแรกจาก เชส ฟาเบรกาส ที่ทำชิ่งกับ ซาเมียร์ นาสรี ก่อนสับไกหน้าเขตโทษแฉลบทั้ง เนมานยา วิดิช และ ริโอ เฟอร์ดินานด์ จน เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ หลงทางไปแล้ว ทว่าลูกเฉี่ยวเสาออกหลังเพียงนิดเดียว
อย่างไรก็ตาม สาวกปิศาจแดงที่ยกพลมาเชียร์กลับเป็นฝ่ายได้เฮกันก่อนในนาทีที่ 8 เมื่อ อันแดร์สัน เก็บบอลได้แล้วจ่ายทะลุช่องให้ โรนัลโด ควบเข้าไปเปิดมาหน้าประตู บอลผ่าน คีแรน กิ๊บบ์ส ที่ลื่นเสียหลักมาเข้าทาง ปาร์ค จี-ซอง กดข้ามตัว มานูเอล อัลมูเนีย เป็น 1-0 จากนั้น 3 นาทีถัดมาสกอร์ไหลเป็น 2-0 อย่างรวดเร็วโดย โรนัลโด ตะบันฟรีคิกตามสไตล์ถนัดส่งลูกพุ่งหนีมือ อัลมูเนีย เสียบเสาแรกอย่างแม่นยำ
เดอะ กันเนอร์ส เริ่มเข้าตาจนจึงเดินหน้าแลกหมัดเต็มตัว แต่เกือบถูกจังหวะฉาบฉวยของ เรด เดวิลส์ เล่นงานในนาทีที่ 18 ซึ่ง รูนีย์ สบโอกาสปั่นไซด์โป้งทำท่าจะเข้าเสาไกล แต่ อัลมูเนีย ไม่ยอมเสียเพิ่มพุ่งปัดปลายมือออกหลังหวุดหวิด จากนั้นลูกเตะมุมต่อเนื่อง โรนัลโด แย่งโหม่งตัดหน้า วิดิช ทำให้ลูกไม่ตรงกรอบ
ผ่านมาถึงครึ่งชั่วโมงแรก ฟาเบรกาส มีจังหวะเข้าทำอีกครั้งจากลูกโหม่งแต่ก็ยังไม่ดีพอที่จะทวงประตูตีตื้น จากนั้นเป็น อาร์เซนอล ที่ดาหน้าบุกหนัก แต่ แมนฯ ยูไนเต็ด วางแนวรับต้านทานได้อย่างเหนียวแน่น กระทั่งตรึงสกอร์นำอยู่ 2-0 จนจบ 45 นาทีแรก ส่วนผลรวมอยู่ที่ 3-0
เข้าสู่ครึ่งหลัง อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือเจ้าบ้านตัดสินใจถอด กิ๊บบ์ส ออกแล้วส่ง เอ็มมานูเอล เอบูเอ ลงยืนแบ็กซ้ายแทน แต่สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น นาทีที่ 52 โรนัลโด ลากตัดเข้าในหนี โยฮัน ฌูรู แล้วกดเรียดด้วยซ้าย อัลมูเนีย ล้มตัวปัดออกหลังไป ลูกเตะมุมถัดมา อันแดร์สัน เล่นสั้นกับ จอห์น โอเชีย ก่อนเปิดโค้งเกือบเสียบใต้คาน ทว่า อัลมูเนีย ยังไม่หลงปัดข้ามคานได้ทัน
เกมมาขาดลอยยิ่งขึ้นในนาทีที่ 61 ซึ่งเป็นจังหวะที่ปืนใหญ่ได้เตะมุม ก่อนที่ปิศาจแดงจะเอาบอลคืนมาได้แล้วต่อบอลขึ้นมาสวนกลับเร็ว ก่อนที่ รูนีย์ จะใส่พานให้ โรนัลโด ล่อเป้ายิงสวน อัลมูเนีย ตุงตาข่ายเป็น 3-0 และสกอร์รวมขยับห่างออกไปเป็น 4-0 ถัดมา 10 นาที นิคลาส เบนดท์เนอร์ ศูนย์หน้าสำรองที่ลงมาแทน ธีโอ วัลคอตต์ ลากแหวกจากด้านขวาเข้ามากระทุ้งในเขตโทษส่งลูกปะทะข้างตาข่าย
อาร์เซนอล กลับมามีความหวังเล็กๆ ในนาทีที่ 75 เมื่อ ดาร์เรน เฟลทเชอร์ ทำฟาวล์ ฟาเบรกาส ในจังหวะหลุดเข้าเขตโทษ ผู้ตัดสิน โรแบร์โต โรเซ็ตติ ควักใบแดงไล่มิดฟิลด์ชาวสกอตแลนด์ทันที พร้อมทั้งให้จุดโทษแก่เจ้าถิ่น ซึ่ง ฟาน เพอร์ซี สังหารเสยเพดานตาข่ายอย่างเฉียบขาดไล่ขึ้นมาเป็น 1-3 สกอร์รวม 1-4
ล่วงเลยมานาทีที่ 84 ฟาเบรกาส ยิงฟรีคิกติดกำแพงก่อนซ้ำอีกครั้งเฉี่ยวเสาแรก จากนั้น 3 นาที โรนัลโด หวิดทำแฮตทริกได้ แต่ลูกฟรีคิกพุ่งเหินข้ามคานนิดเดียว ช่วงเวลาที่เหลือ อาร์เซนอล พยายามทุกวิถีทางเพื่อพลิกสถานการณ์ แต่ก็ไม่สำเร็จ แมนฯ ยูไนเต็ด จึงบุกมากำชัย 3-1 ผ่านเข้าไปลุ้นเป็นทีมแรกที่มีสิทธิ์ป้องกันแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ด้วยสกอร์รวม 4-1 โดยจะรอพบผู้ชนะคู่ระหว่าง เชลซี กับ บาร์เซโลนา ในคืนวันพุธต่อไป
รายชื่อผู้เล่น 11 คนแรกของทั้งสองทีม
อาร์เซนอล – มานูเอล อัลมูเนีย, บาการี ซาญา, โคโล ตูเร, โยฮัน ฌูรู, คีแรน กิบบ์ส, ธีโอ วัลคอตต์, อเล็กซานเดอร์ ซง, เชส ฟาเบรกาส, ซาเมียร์ นาสรี, โรบิน ฟาน เพอร์ซี, เอ็มมานูเอล อเดบายอร์
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด – เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์, จอห์น โอเชีย, ริโอ เฟอร์ดินานด์, เนมานยา วิดิช, ปาทริซ เอฟรา, ไมเคิล คาร์ริค, ดาร์เรน เฟลทเชอร์, ปาร์ค จี-ซอง, อันแดร์สัน, คริสเตียโน โรนัลโด, เวย์น รูนีย์