คอลัมน์ "หัวใจในกีฬา" โดย จำลอง ฝั่งชลจิตร
คืนวันเสาร์แฟนบอลชาวไทยส่วนมากมุ่งความสนใจไปที่ฟุตบอล เอฟเอ. คัพ รอบรองชนะเลิศที่เชลซีเอาชนะอาร์เซนอล 2-1 ประตู เข้าไปยืนรอชิงชนะเลิศกับผู้ชนะระหว่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับเอฟเวอร์ตัน
เขียนว่ามุ่งความสนใจก็เพราะเกมนี้เป็น “เกมใหญ่ X 3” หนึ่ง--ใหญ่และขลังเพราะเป็นฟุตบอลถ้วยเก่าแก่เตะกันมาร้อยกว่าปี สอง-- ใหญ่เพราะสองทีมเป็นทีมในกลุ่ม “บิ๊กโฟร์” ของพรีเมียร์ลีก สาม--ทั้งสองทีมผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศหรือรอบสี่ทีมสุดท้ายของฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่เข้มข้นขึ้นมาทุกขณะ
คืนวันอาทิตย์ถ้าแมนฯ ยูไนเต็ด ชนะเอฟเวอร์ตัน โฉมหน้าคู่ชิงชนะเลิศ เอฟเอ. คัพ ของสมาคมฟุตบอลอังกฤษฤดูกาล 2008-09 จะออกใกล้ๆ คู่ชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ของสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) เปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้ของคู่ชิงเอฟเอ. คัพ กับคู่ชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกจะเป็นคู่เดียวกันอย่างน้อย 10- 15 เปอร์เซ็นต์ (ต้นฉบับเขียนเที่ยงวันอาทิตย์)
ฤดูกาลที่แล้ว เชลซีกับแมนฯ ยูไนเต็ด ทีมจากพรีเมียร์ลีกชิงชนะเลิศกันเอง คุณภาพและชื่อเสียงของพรีเมียร์ลีก (ลิ้นไทยเรียกสั้นๆ ว่าบอลอังกฤษ) หอมฟุ้งขจรขจายไปทั่ว ฤดูกาลนี้ทีมจากอังกฤษพาเหรดเข้ารอบสุดท้ายสามทีม ชื่อเสียงของพรีเมียร์ ลีก หอมยิ่งหอมฟุ้งยิ่งขึ้นไปอีก รอบชิงชนะเลิศทีมจากอังกฤษเข้าชิงแน่ๆ 50 เปอร์เซ็นต์ ไม่แมนฯ ยูไนเต็ด ก็อาร์เซนอล และโอกาสที่ทีมจากอังกฤษจะเข้าชิงชนะเลิศกันเองมีถึง 70 เปอร์เซ็นต์
รอบตัดเชือกระหว่างเชลซีกับบาร์เซโลน่า แม้ตอนนี้ “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่าจะฟอร์มเทพสักปานใด ถ้าเจอเชลซีที่พร้อมเล่นเกมบุกเข้าสู้ตอนนี้ และต้องต่อสู้กับกุนซือสมองเพชรชื่อ กุส ฮิดดิ้งค์ ฟอร์มเทพอาจเหลือน้อย
ในฐานะกุนซือ “ชั่วคราว” กุส ฮิดดิ้งค์ ไม่มีอะไรต้องกังวล ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าจ้าง การต่อสัญญาปีต่อๆ ไปหรือการถูกขับไล่ เพราะโรมัน อบราโมวิช เจ้าของสโมสรเป็นคนชักชวนเข้ามากอบกู้สถานการณ์ของทีมด้วยตัวเอง กุสเพียงใช้ประสบการณ์ การปรับเปลี่ยนทัศนคติของนักเตะ บวกกับวิสัยทัศน์กล้าได้กล้าเสียของเขา ตัวอย่างเชลซีเปิดเกมบุกใส่ลิเวอร์พูลและกลับออกมาจากแอนฟิลด์ด้วยชัยชนะ 3-1 ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกรอบก่อนรองชนะเลิศ ขณะที่โค้ชบางคนต้องการแค่ไปยันเสมอ แล้วค่อยกลับมาบดเอาชนะเกมในบ้าน
เชื่อว่า กุส ฮิดดิ้งค์ จะไม่ตั้งรับให้บาร์เซโลน่าล่อเป้า ไม่ว่าที่สแตมฟอร์ด บริดจ์หรือคัมป์ นู แต่เขาจะเล่นเกมบุกสู้กับบาร์เซโลน่า เพราะเมื่อเปรียบเทียบนักเตะกันหัวต่อหัว ตำแหน่งต่อตำแหน่ง ขุมกำลังของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าคู่แข่ง ลิโอเนล เมสซี่ อาจเป็นนักเตะพิเศษนอกเหนือไปจากคนอื่นๆ แต่กุสบอกว่ามีวิธีรับมือ และใคร ๆ ก็อยากจะรู้ว่าเขาจะจัดการกับนักเตะที่สามารถพลิกเปลี่ยนเกมคนนี้ด้วยวิธีไหน ไม่ว่าจะพ่ายแพ้หรือได้ชัยชนะ แต่สำหรับ กุส ฮิดดิ้งค์ การทำมาค้าขายช่วงพักร้อนถือว่าเป็นกำไร ไม่ต้องพูดถึงเงินส่วนแบ่งที่เชลซีได้จากการเข้ารอบลึก หากผ่านเข้ารอบชิงเม็ดเงินจะยิ่งใหญ่โตขึ้น
ถ้าทีมจากอังกฤษผ่านเข้าชิงชนะเลิศอีกครั้ง ชื่อเสียงของพรีเมียร์ลีกจะหอมหวนชวนฝัน พ่อค้าแข้งระดับ “บิ๊กเนม” อาจจะตัดสินใจเซ็นย้ายมาเล่นในอังกฤษอีกหลายราย โดยเฉพาะกับทีมมหาเศรษฐีอาหรับ--แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พรีเมียร์ลีกจะแข็งแกร่งและเข้มข้นจนน่าอิจฉา
ถ้า เชลซีผ่านบาร์เซโลน่าเข้าชิงกับอาร์เซนอล นอกจากชื่อเสียงของลีกแล้ว ความยิ่งใหญ่ของ “บิ๊กโฟร์” จะถูกเติมเต็มยิ่งขึ้น เพราะในรอบ 4-5 ฤดูกาลหลัง ลิเวอร์พูล, อาร์เซนอล, เชลซีและแมนฯ ยูไนเต็ด เข้าไปพัวพันกับถ้วยใบใหญ่ของยุโรปทุกปี ดังนั้น “บิ๊กโฟร์” จึงเป็นของจริง
และถ้า (ถ้าอีกแล้ว) เชลซีกับแมนฯ ยูไนเต็ด เข้าชิงกันอีกครั้ง แฟนบอลผ่านดาวเทียมอย่างพวกเราอาจตั้งข้อสงสัย “เฮ้ย..ยุโรปทั้งทวีปมีทีมเก่งจริงๆ แค่สองทีมเท่านั้นเองเหรอ แล้วพวกอิตาลี สเปน เยอรมัน ฝรั่งเศส...มันโดนยาอะไรถึงหงายเก๋งกันไปหมด อย่างนี้ภาคพื้นทวีปยุโรปก็เสียดุลฟุตบอลให้เกาะล่ะสิ”
แต่แฟนบอลจำนวนมาก.... “ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย”
คืนวันเสาร์แฟนบอลชาวไทยส่วนมากมุ่งความสนใจไปที่ฟุตบอล เอฟเอ. คัพ รอบรองชนะเลิศที่เชลซีเอาชนะอาร์เซนอล 2-1 ประตู เข้าไปยืนรอชิงชนะเลิศกับผู้ชนะระหว่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับเอฟเวอร์ตัน
เขียนว่ามุ่งความสนใจก็เพราะเกมนี้เป็น “เกมใหญ่ X 3” หนึ่ง--ใหญ่และขลังเพราะเป็นฟุตบอลถ้วยเก่าแก่เตะกันมาร้อยกว่าปี สอง-- ใหญ่เพราะสองทีมเป็นทีมในกลุ่ม “บิ๊กโฟร์” ของพรีเมียร์ลีก สาม--ทั้งสองทีมผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศหรือรอบสี่ทีมสุดท้ายของฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่เข้มข้นขึ้นมาทุกขณะ
คืนวันอาทิตย์ถ้าแมนฯ ยูไนเต็ด ชนะเอฟเวอร์ตัน โฉมหน้าคู่ชิงชนะเลิศ เอฟเอ. คัพ ของสมาคมฟุตบอลอังกฤษฤดูกาล 2008-09 จะออกใกล้ๆ คู่ชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ของสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) เปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้ของคู่ชิงเอฟเอ. คัพ กับคู่ชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกจะเป็นคู่เดียวกันอย่างน้อย 10- 15 เปอร์เซ็นต์ (ต้นฉบับเขียนเที่ยงวันอาทิตย์)
ฤดูกาลที่แล้ว เชลซีกับแมนฯ ยูไนเต็ด ทีมจากพรีเมียร์ลีกชิงชนะเลิศกันเอง คุณภาพและชื่อเสียงของพรีเมียร์ลีก (ลิ้นไทยเรียกสั้นๆ ว่าบอลอังกฤษ) หอมฟุ้งขจรขจายไปทั่ว ฤดูกาลนี้ทีมจากอังกฤษพาเหรดเข้ารอบสุดท้ายสามทีม ชื่อเสียงของพรีเมียร์ ลีก หอมยิ่งหอมฟุ้งยิ่งขึ้นไปอีก รอบชิงชนะเลิศทีมจากอังกฤษเข้าชิงแน่ๆ 50 เปอร์เซ็นต์ ไม่แมนฯ ยูไนเต็ด ก็อาร์เซนอล และโอกาสที่ทีมจากอังกฤษจะเข้าชิงชนะเลิศกันเองมีถึง 70 เปอร์เซ็นต์
รอบตัดเชือกระหว่างเชลซีกับบาร์เซโลน่า แม้ตอนนี้ “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่าจะฟอร์มเทพสักปานใด ถ้าเจอเชลซีที่พร้อมเล่นเกมบุกเข้าสู้ตอนนี้ และต้องต่อสู้กับกุนซือสมองเพชรชื่อ กุส ฮิดดิ้งค์ ฟอร์มเทพอาจเหลือน้อย
ในฐานะกุนซือ “ชั่วคราว” กุส ฮิดดิ้งค์ ไม่มีอะไรต้องกังวล ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าจ้าง การต่อสัญญาปีต่อๆ ไปหรือการถูกขับไล่ เพราะโรมัน อบราโมวิช เจ้าของสโมสรเป็นคนชักชวนเข้ามากอบกู้สถานการณ์ของทีมด้วยตัวเอง กุสเพียงใช้ประสบการณ์ การปรับเปลี่ยนทัศนคติของนักเตะ บวกกับวิสัยทัศน์กล้าได้กล้าเสียของเขา ตัวอย่างเชลซีเปิดเกมบุกใส่ลิเวอร์พูลและกลับออกมาจากแอนฟิลด์ด้วยชัยชนะ 3-1 ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกรอบก่อนรองชนะเลิศ ขณะที่โค้ชบางคนต้องการแค่ไปยันเสมอ แล้วค่อยกลับมาบดเอาชนะเกมในบ้าน
เชื่อว่า กุส ฮิดดิ้งค์ จะไม่ตั้งรับให้บาร์เซโลน่าล่อเป้า ไม่ว่าที่สแตมฟอร์ด บริดจ์หรือคัมป์ นู แต่เขาจะเล่นเกมบุกสู้กับบาร์เซโลน่า เพราะเมื่อเปรียบเทียบนักเตะกันหัวต่อหัว ตำแหน่งต่อตำแหน่ง ขุมกำลังของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าคู่แข่ง ลิโอเนล เมสซี่ อาจเป็นนักเตะพิเศษนอกเหนือไปจากคนอื่นๆ แต่กุสบอกว่ามีวิธีรับมือ และใคร ๆ ก็อยากจะรู้ว่าเขาจะจัดการกับนักเตะที่สามารถพลิกเปลี่ยนเกมคนนี้ด้วยวิธีไหน ไม่ว่าจะพ่ายแพ้หรือได้ชัยชนะ แต่สำหรับ กุส ฮิดดิ้งค์ การทำมาค้าขายช่วงพักร้อนถือว่าเป็นกำไร ไม่ต้องพูดถึงเงินส่วนแบ่งที่เชลซีได้จากการเข้ารอบลึก หากผ่านเข้ารอบชิงเม็ดเงินจะยิ่งใหญ่โตขึ้น
ถ้าทีมจากอังกฤษผ่านเข้าชิงชนะเลิศอีกครั้ง ชื่อเสียงของพรีเมียร์ลีกจะหอมหวนชวนฝัน พ่อค้าแข้งระดับ “บิ๊กเนม” อาจจะตัดสินใจเซ็นย้ายมาเล่นในอังกฤษอีกหลายราย โดยเฉพาะกับทีมมหาเศรษฐีอาหรับ--แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พรีเมียร์ลีกจะแข็งแกร่งและเข้มข้นจนน่าอิจฉา
ถ้า เชลซีผ่านบาร์เซโลน่าเข้าชิงกับอาร์เซนอล นอกจากชื่อเสียงของลีกแล้ว ความยิ่งใหญ่ของ “บิ๊กโฟร์” จะถูกเติมเต็มยิ่งขึ้น เพราะในรอบ 4-5 ฤดูกาลหลัง ลิเวอร์พูล, อาร์เซนอล, เชลซีและแมนฯ ยูไนเต็ด เข้าไปพัวพันกับถ้วยใบใหญ่ของยุโรปทุกปี ดังนั้น “บิ๊กโฟร์” จึงเป็นของจริง
และถ้า (ถ้าอีกแล้ว) เชลซีกับแมนฯ ยูไนเต็ด เข้าชิงกันอีกครั้ง แฟนบอลผ่านดาวเทียมอย่างพวกเราอาจตั้งข้อสงสัย “เฮ้ย..ยุโรปทั้งทวีปมีทีมเก่งจริงๆ แค่สองทีมเท่านั้นเองเหรอ แล้วพวกอิตาลี สเปน เยอรมัน ฝรั่งเศส...มันโดนยาอะไรถึงหงายเก๋งกันไปหมด อย่างนี้ภาคพื้นทวีปยุโรปก็เสียดุลฟุตบอลให้เกาะล่ะสิ”
แต่แฟนบอลจำนวนมาก.... “ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย”
