นับเป็นฤดูกาลที่ 3 ติดต่อกันที่ รัฐภาคย์ วิไลโรจน์ นักบิดหนึ่งเดียวของไทย จะได้โลดแล่นบนเวทีโลกอีกครั้งในศึกจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลกฤดูกาล 2009 ซึ่งแม้ว่าผลงานในปีที่แล้วจะไม่ถึงขั้นท็อป 10 ตามเป้าที่ตั้งไว้ รวมถึงค่ายรถต้นสังกัดจะเจอพิษเศรษฐกิจรุมเร้า แต่ อารักษ์ พรประภา กรรมการบริหารบริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด สวมหัวใจสิงห์ประกาศชัดเจนว่า จะขอผลักดันนักบิดชาวไทยไปสู่ฝั่งฝันให้ได้ตามที่เจ้าตัววาดหวังเอาไว้
MGR Sport มีโอกาสได้พูดคุยกับบอสใหญ่ฝ่ายกีฬายานยนต์ของ เอ.พี.ฮอนด้า หลังจากที่บริษัทตัดสินใจสนับสนุนนักบิดวัย 21 ปี เข้าแข่งในเวทีโลกเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันในฤดูกาล 2009 ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้การดูแลของทีมงาน สต็อป แอนด์ โก (แซค) จากประเทศสเปนเช่นเดิม โดย เสี่ยอารักษ์ เผยถึงผลงานของนักบิดลูกรักในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาว่า
"จริงๆแล้วการจะก้าวขึ้นสู่แชมป์มันต้องใช้เวลา ปีแรกเราไม่ได้หวังฟีมเลย ไม่ได้หวังว่าจะให้ขึ้นโพเดียม หรือว่ามีแต้มสูงๆ แต่เราอยากให้เขามีประสบการณ์ รถที่ใช้ก็ไม่ใช่ของโรงงาน เป็นรถธรรมดาที่สมรรถนะสู้คนอื่นไม่ได้ แต่เขายังทำคะแนนเข้ามาได้เป็นที่ 17 ในรุ่น 250 ซีซี จนปีที่ 2 (2008) เราได้รถจากโรงงานมาให้ฟีมขับ ซึ่งเมื่อเขาปรับตัวได้ และชินกับรถ เขาเคยควอลิฟายได้ถึงอันดับ 5 รวมถึงจบในอันดับ 8 ได้ถึง 4 สนาม ทำให้เรามั่นใจในตัวฟีมพอสมควร เช่นเดียวกับทีมสต็อป แอนด์ โก ที่ประเมินว่าเขามีพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยมา"
นอกจากนี้ บิ๊กบอส เอ.พี.ฮอนด้า ได้เผยถึงอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ฟีม ได้แข่งเวิลด์จีพี 2009 ในสังกัดไทยฮอนด้า-พีทีแซค ต่อ แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าขึ้นวิกฤต จนค่ายรถดังๆในวงการมอเตอร์สปอร์ตโลกต้องถอนตัวไปตามๆกันว่า
"พูดตามตรงคือเศรษฐกิจโลกมีผลกระทบโดยตรงกับเรา ยังโชคดีที่ฮอนด้าใหญ่ในญี่ปุ่นยังตัดสินใจสนับสนุนการแข่งขันโมโตจีพีต่อไป กระนั้นทางเราคือผู้ที่จ่ายเงินเต็มๆ ราว 2 ล้านยูโร (ราว 92 ล้านบาท) ต่อปี แต่เหตุผลของเราคือ ฟีม เป็นคนไทยคนแรกในวงการมอเตอร์สปอร์ต ที่เข้าไปอยู่ในการแข่งขันระดับโลกแบบเต็มตัว จึงอยากจะผลักดันเขาให้ถึงที่สุด เพราะความฝันของเขาอยากเป็นแชมป์โมโตจีพี ถ้าเขาผ่านเวิลด์จีพี 250 นี้แล้ว เขาจะได้เขาไปขับในรุ่นใหญ่ได้แน่นอน ซึ่งแม้เศรษฐกิจจะแย่ แต่เรายืนยันว่าจะกัดฟันเดินหน้าต่อไป"
"เราอยากให้วงการมอเตอร์สปอร์ตของเราตื่นตัว นี่เป็นแนวทางการสร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาติอย่างดีเลย ก่อนหน้านี้มีอินโดนีเซียพยายามดันนักขับของเขา แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งตอนนี้เป็นที่น่าภาคภูมิใจว่า ในทวีปเอเชีย นอกจากนักแข่งญี่ปุ่นที่เป็นประเทศเจ้าของค่ายรถแล้ว ก็มีฟีมของเราคนเดียวเท่านั้น ที่ไปสร้างชื่อในระดับโลก มันเป็นการแสดงให้เห็นว่าเด็กไทยก็มีความเก่งกาจไม่แพ้ใครในโลก ต่อให้ฝรั่งจะเก่งแค่ไหน แต่ถ้าเราให้การสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง เราไม่มีทางแพ้เขาแน่นอน" คุณอารักษ์ร่ายยาว
อย่างไรก็ดี เมื่อถามถึงจุดอ่อนเรื่องการออกสตาร์ทรวมถึงสไตล์การขับที่ยังไม่บู๊พอ บอสใหญ่เอ.พี. ฮอนด้ายอมรับตามตรงว่า "เอาเป็นว่า จิตวิญญาณเพชรฆาตเขายังไม่มี ไม่เหมือนพ่อของเขา(คริสมาส) เรามองว่าไฟท์ติง สปีริต เขายังไม่เพียงพอ รวมถึงปัญหาในการออกตัว ทั้งหมดนี้ผมเคยคุยกับฟีมรวมถึงผู้จัดการทีม(เอดูอาร์โด เปราเลส)อยู่ตลอด ว่าทำไม มันเกิดอะไรขึ้นถึงเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งเรื่องนี้ตอนระหว่างแข่ง เราไม่ได้พูคุยกับฟีมโดยตรง เพราะกลัวเขากดดัน แต่พอจบการแข่งขันแล้ว เราจะมีการเน้นเรื่องนี้อยู่ตลอด"
ซึ่งจากผลการทดสอบรถช่วงหน้าหนาวที่ประเทศสเปนเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บุคคลที่ผลักดันฟีมมาตั้งแต่วัยกระเตาะ ยืนยันว่า "สิ่งสำคัญคือเขาก็มีพัฒนาการให้เห็นในการทดสอบช่วงวินเตอร์เทสต์ เขาทำได้ดีมาก ทั้งการออกสตาร์ท รวมถึงเวลาต่อรอบก็ดีกว่านักแข่งแถวหน้าบางคนด้วยซ้ำไป มันทำให้เรามั่นใจว่าเขาจะต้องติด 1 ใน 5 รวมถึงมีโอกาสขยับขึ้นไปยืนโพเดียมในฤดูกาลนี้ แน่นอน"
ท้ายที่สุดเสี่ยอารักษ์ ได้เผยถึงเป้าหมายในอนาคตของเอ.พี. ฮอนด้า ในศึกเวิลด์จีพีว่า "เวลานี้เราจำเป็นต้องใช้ทีมงานของสเปนเป็นผู้ดูแล ต้องยอมรับว่าเรื่องเทคนิคในบางจุดคนไทยเรายังเป็นรองอยู่ เราอาจจะไม่ทันเขาในหลายๆเรื่อง แต่เป้าหมายในอนาคต ผมอยากจะเห็นทีมแข่งไทยแท้ๆในเวทีโลก อยากจะได้ทีมช่างและทีมงานทั้งหมดเป็นคนไทยเราเอง แต่เวลานี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเราจำเป็นจะต้องมีทีมงานที่พร้อมจริงๆ 4- 5 คน ถึงจะประสบความสำเร็จได้"
ทั้งหมดนี้คือความมุ่งมั่นของหนุ่มใหญ่นาม อารักษ์ พรประภา ที่อยากจะเห็นนักบิดไทยไปสร้างชื่อกระฉ่อนบนเวทีโลก รอดูกันว่าเวิลด์จีพี สนามแรกของปี 2009 ที่กาตาร์ในวันที่ 12 เมษายนนี้ “เจ้าฟีม”จะเปิดหัวได้สวยหรูตามที่ต้นสังกัดและคนไทยทั้งประเทศตั้งความหวังเอาไว้ได้หรือไม่