หากจะกล่าวถึงนักเทนนิสไทยที่กำลังโด่งดังสุดขีดในเวลานี้แน่นอนต้องมีชื่อ "น้องนก" นพวรรณ เลิศชีวกานต์ รวมอยู่ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะเธอเป็นถึงรองแชมป์หญิงเดี่ยวเยาวชนวิมเบิลดัน และ แชมป์หญิงคู่เยาวชน ยูเอส โอเพน ร่วมกับ ซานดรา โรมา จากสวีเดนเมื่อปีที่แล้วจนในที่สุดสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักเทนนิสเยาวชนหญิงมือ 1 ของโลกคนแรกของไทยและของเอเชีย
เริ่มต้นฤดูกาล 2009 นพวรรณลัดฟ้าไปประเทศออสเตรเลียที่กำลังร้อนระอุทำผลงานเข้ารอบ 8 คนสุดท้ายการแข่งขันเทนนิสเยาวชน นานาชาติ 2 รายการติดต่อกัน ก่อนจะต่อไปนครเมลเบิร์นเข้าถึงรอบตัดเชือกเยาวชน ออสเตรเลียน โอเพน ทั้งประเภทเดี่ยวและคู่ นอกจากนี้ยังมีโอกาสติดธงไตรรงค์เป็นครั้งแรกช่วยให้ทีมสาวไทยภายใต้การนำทัพของ "แทมมี" แทมมารีน ธนสุกาญจน์ คว้าอันดับที่ 3 การแข่งขันเทนนิสทีมหญิงชิงแชมป์โลก หรือ เฟด คัพ 2009 โซนเอเชีย/โอเชียเนีย กลุ่ม 1
นับเป็นผลงานที่ไม่ถึงกับสุดยอดคู่ควรแก่การเฉลิมฉลอง หากแต่เป็นการสะท้อนภาพของนักเทนนิสที่มีความสม่ำเสมอ รักษาสภาพความฟิตเป็นอย่างดีจนทำให้ร่างกายปราศจากการบาดเจ็บทั้งที่กรำศึกหนักตลอด 1 เดือนเต็ม ด้านจิตใจแน่วแน่รู้จุดแข็งจุดอ่อนของตนเองเป็นอย่างดีเรียกได้ว่าพร้อมแล้วสำหรับการก้าวไปเป็นยอดนักเทนนิสของโลกตามที่เคยวาดฝันเอาไว้
ต้นเดือนกุมภาพันธ์ เด็กสาวจากเชียงใหม่วัย 17 ปีกลับมาเมืองไทยรับไวลด์การ์ดลงแข่งขันรอบเมนดรอว์ดับเบิลยูทีเอ ทัวร์ รายการ "พีทีที พัทยา โอเพน" เป็นสมัยที่ 3 ทว่าเมื่อมาพบจอมแกร่งอย่าง ชาฮาร์ เพียร์ มือ 48 ของโลกจาก อิสราเอล น้องนก ซึ่งพยายามสู้เต็มที่แล้วจึงต้องทำใจก้าวออกจากสนามโรงแรมดุสิตธานี ในเวลาเพียง 52 นาทีและเก็บได้เพียงเกมเดียว หากแต่ความผิดหวังไม่อาจฉุดรั้งเธอให้หยุดอยู่กับที่ แร็กเกตมือ 355 โลก เดินทางกลับมาฝึกซ้อมต่อเนื่องและเมื่อมีโอกาสมาเยือนบ้านเจ้าพระยาออกรายการ "สุดฟากสนาม อไลฟ์" รายการวิเคราะห์ข่าวกีฬายอดนิยมทางเอเอสทีวี 3 (แฮปปี วาไรตีแชนเเนล) ในวันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ เธอได้บอกเล่าประสบการณ์บนหัวถนนสายสักหลาดโลกตลอดจนถ่ายทอดความตั้งใจอันแน่วแน่จนสามารถเก็บมาร้อยเป็นตัวหนังสือในบรรทัดต่อจากนี้
"หลังจากผ่านช่วงเดือนแรกมา นกคิดว่าตนเองมีความพร้อมพอสมควร แม้จะยังลงแข่งเทนนิสระดับเยาวชนอยู่หลายรายการแต่เราเริ่มรู้สึกว่าโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นแล้ว หลายครั้งที่ซ้อมจนเหนื่อยหรือแข่งแพ้แล้วรู้สึกท้อแท้บ้างแต่เมื่อกลับมาถามใจตนเองดูก็จะพบว่าเรารักในกีฬาชนิดนี้และไม่มีทางหันหลังให้มันอย่างแน่นอน" เจ้าของแชมป์ไอทีเอฟ 2 รายการในปี 2008 ย้ำจุดยืนเดิมอีกครั้งพร้อมเปิดเผยเป้าหมายสำหรับการไต่อันดับโลกว่า "ระยะยาวนกขอขึ้นไปติด 20 อันดับแรกของโลกให้ได้ โดยในปีนี้ขอเข้าไปติดท็อป 150 ก่อนที่อีก 2 ปีข้างหน้าจะเข้าท็อป 100 ที่ต้องวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนเพราะไม่ต้องการขึ้นไปเร็วแล้วลงมาเร็ว อยากอยู่บนจุดสูงสุดของตนเองนานๆจึงจำเป็นต้องก่อรากฐานให้แน่น"
มีความเป็นไปได้สูงพอควรที่ นพวรรณ จะทำอันดับติดท็อป 150 ในปีนี้ตามเป้าเนื่องจาก "ตำแหน่งมือ 1 เยาวชนโลกตอนสิ้นปี 2008 " มีผลให้เธอได้สิทธิพิเศษจากสหพันธ์เทนนิสนานาชาติหรือไอทีเอฟสามารถเลือกลงแข่งรายการใหญ่ระดับ 100,000 เหรียญ (3.5ล้านบาท) 1 รายการ และ รายการ 75,000 (2.6 ล้านบาท) ถึง 2 รายการโดยไม่ต้องคัดเลือกซึ่งนับเป็นช่องทางเก็บคะเเนนสะสมที่ง่ายที่สุด
นอกจากนี้ยังมีโอกาสมากกว่านักเทนนิสรายอื่นๆในการขอรับไวลด์การ์ดลงแข่งขันแกรนด์สแลม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิมเบิลดัน แกรนด์สแลมคอร์ตหญ้าที่เธอเป็นรองแชมป์เก่าในรุ่นเยาวชนอยู่ด้วยก็ยิ่งเป็นการเสริมแรงให้ฝ่ายจัดการแข่งขันตัดสินใจมอบสิทธิพิเศษง่ายมากขึ้นไปใหญ่ ซึ่งหากน้องนกได้ลงเล่นเมนดรอว์ในสนามออลอิงเเลนด์จริงจะการันตีรับแน่นอน 5 คะเเนนและหากผ่านเข้ารอบ 2 หรือรอบ 64 คนสุดท้ายไปได้จะได้รับ 100 คะเเนนซึ่งนับว่ามากพอๆกับการคว้าแชมป์รายการระดับ 75,000 เหรียญเลยทีเดียว ซึ่งอันดับโลกก็น่าจะขยับขึ้นแบบก้าวกระโดดหากทำได้จริงตามที่ได้กล่าวไป
"แม้จะเหลือเวลาอีกเกือบ 4 เดือนกว่าวิมเบิลดันจะเปิดฉาก แต่นกและโค้ชวางแผนล่วงหน้าทำเรื่องขอไวลด์การ์ดไปก่อนแล้ว โอกาสได้มีอยู่พอสมควรซึ่งถ้าได้ลงเล่นเมนดรอว์นกจะพยายามทำเต็มที่ ส่วนตัวเรามีความถนัดในการเล่นคอร์ตเร็วอยู่แล้ว ซึ่งก็น่าจะทำให้โชว์ฟอร์มได้ดีในวิมเบิลดัน" รองแชมป์ระดับจูเนียร์ปี 2008 กล่าวถึงโอกาสลงเล่นเมนดรอว์รุ่นใหญ่เป็นครั้งแรกด้วยความตื่นเต้น
สาเหตุที่ นพวรรณ เลือกมองข้ามแกรนด์สแลมเก่าแก่อีกรายการอย่าง เฟรนช์ โอเพน ไปเนื่องจากเจ้าตัวประเมินแล้วว่าศักยภาพของตนเองไม่เหมาะสมกับพื้นคอร์ตดินในสนามโรงลังค์ การ์รอสเท่าที่ควร "นกทำเรื่องของไวลด์การ์ดไปเช่นกันแต่ต้องยอมรับว่าไม่ค่อยชอบคอร์ตช้าสักเท่าไหร่ หากได้ลงแข่งจริงๆคงไปได้ไม่ไกล หรือแม้แต่ในประเภทเยาวชนเองก็อาจจะต้องสูญเสียตำแหน่งมือ 1 ของโลกหลังจบการแข่งขันรายการนี้"
หลังเปิดเผยแผนการไต่อันดับโลกในเบื้องต้นเรียบร้อยแล้ว นพวรรณ หันมาอธิบายถึงจุดแข็งจุดอ่อนของตนเองดังนี้ "การรีเทิร์นลูกเสิร์ฟและเเบ็คแฮนด์ตรงคือทีเด็ดของนก แต่หากอยากขึ้นไปเป็นนักเทนนิสชั้นนำต้องพยายามเสริมจุดแข็งเหล่านี้ควบคู่ไปกับการแก้จุดอ่อนซึ่งยังมีอยู่หลายที่อาทิ ลูกเสิร์ฟที่ยังเบาและไม่หลากหลาย และอีกจุดคือจังหวะเท้าที่ยังไม่สมบูรณ์" สาวน้อยผู้มี โมนิกา เซเลส อดีตมือ 1 โลกเป็นแรงบันดาลใจกล้าที่จะยอมรับข้อด้อยพร้อมเผยความมุ่งมั่นว่า "นกต้องตื่น 7 โมงทุกวันมาซ้อมเทนนิสตอน 9 โมงไปเลิกอีกที 5 โมงเย็นแล้วก็เข้าฟิตเนสสร้างกล้ามเนื้อต่อ ด้านโภชนาการก็หาหนังสือมาอ่านเพื่อเลือกทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะและเป็นผลดีกับอาชีพนักกีฬา แม้ทั้งหมดที่ว่ามามันจะทำให้ไม่มีชีวิตส่วนตัว บางครั้งมีเหนื่อยและรู้สึกบ้างท้อบ้าง แต่นกก็ไม่เคยคิดจะยอมแพ้”
ปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ นพวรรณ จะออกเดินทางจากประเทศไทยไปนิวซีแลนด์และออสเตรเลียเพื่อลงแข่งรายการไอทีเอฟระดับ 10,000 เหรียญสหรัฐฯ(350,000บาท) และ 25,000 เหรียญสหรัฐฯ(875,000 บาท) จากนั้นจะเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลคอร์ตดินประมาณ 2 เดือนก่อนถึงฤดูกาลคอร์ตหญ้า ซึ่งมี วิมเบิลดัน เป็นเป้าหมายหลักในเดือนมิถุนายน ซึ่งหากความมุ่งมั่นยังเต็มเปี่ยมเหมือนดังที่กล่าวไว้ ณ ที่นี่ ก็มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่ นพวรรณ จะกลับเมืองไทยพร้อมอันดับโลกต่ำกว่า 150 ตามหวังหลังฤดูกาล 2009 สิ้นสุดในเดือนกันยายน เตรียมพร้อมก้าวไปสู่เป้าหมายต่อๆไปตามที่ได้วางไว้บนถนนสายสักหลาดเส้นนี้