พล.ร.อ.สมเดช ทองเปี่ยม ได้รับความไว้วางใจให้รั้งตำแหน่งนายกสมาคมฟันดาบแห่งประเทศไทยแทน พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร หลังมีการยืดเยื้อในระหว่างลงคะแนนเสียง ด้าน วีรเดช คอธนีย์ อดีตนักฟันดาบทีมชาติอวยพรให้สมาคมมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ เวลา 17.00 น.ที่ผ่านมา สมาคมฟันดาบแห่งประเทศไทยฯ จัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปีที่กองพันทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ ถนนวิภาวดีรังสิต โดยมีวาระสำคัญอยู่ที่การเลือกตั้งนายกสมาคมคนใหม่แทนที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ซึ่งก็มีตัวเต็งอยู่ 2 คน คือ พล.อ.ชัยสิทธิ์ และ พล.ร.อ.สมเดช ทองเปี่ยม รองผู้บัญชาการทหารเรือ
โดยก่อนการประชุมมีปัญหาเกิดขึ้นเล็กน้อย เมื่อสมาชิกของสมาคมจำนวนหนึ่งไม่สามารถเข้าร่วมออกเสียงได้ เนื่องจากมีการอ้างว่าไม่ใช่สมาชิกที่ได้รับการรับรองจาก การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ซึ่งผลปรากฏว่าการออกเสียงครั้งแรกเสมอกันที่ 26 ต่อ 26 คะแนน และงดออกเสียง 1 คะแนน ก่อนที่การออกเสียงครั้งที่ 2 จะออกมาเท่ากันที่ 26 ต่อ 26 อีก
ทำให้ พันเอกชาติชาย เกษมวงศ์ ผู้แทนชมรมฟันดาบหน้ากากดำ ซึ่งเป็นประธานในที่ประชุมชั่วคราวต้องเป็นผู้ออกเสียงชี้ขาด ก่อนที่พันเอกชาติชาย จะลงคะแนนให้กับ พล.ร.อ.สมเดช ส่งผลให้ตำแหน่งนายกสมาคมฟันดาบมีการเปลี่ยนแปลงโดยปริยาย
หลังทราบผลการเลือกตั้ง สมาชิกที่ไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมได้ต่างก็ส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี เนื่องจากไม่พอใจการบริหารงานของ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ที่มีความบกพร่องหลายอย่าง โดยเฉพาะกรณีที่ วีรเดช คอธนีย์ อดีตนักฟันดาบทีมชาติออกมาแฉสมาคมว่าปล่อยให้ตนต้องควักเนื้อเอง 3,300 ยูโร (ประมาณ 148,500 บาท) ในการเก็บตัวสู้ศึกโอลิมปิกเกมส์ 2008 รวมทั้งการเบี้ยวเงินอัดฉีด 100,000 บาทที่บอกว่าจะให้หลังคว้าเหรียญทองแดง รายการฟันดาบชิงแชมป์เอเชีย
ด้าน พล.ร.อ.สมเดช ทองเปี่ยม ออกมาเปิดเผยถึงนโยบายหลังได้รับตำแหน่งว่าจะพัฒนากีฬาฟันดาบ องค์กร ตลอดจนบุคลากรให้เป็นที่ยอมรับ โดยจะเน้นไปที่การจัดการความไม่โปร่งใสภายในสมาคมที่เคยถูกจับตามองมาโดยตลอด รวมทั้งการดูแลสิทธิประโยชน์ให้มีความชัดเจน และเป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย
ขณะที่ “วิลลี” วีรเดช ก็ออกมาให้สัมภาษณ์หลังทราบข่าวการเปลี่ยนแปลงนายกส.ฟันดาบว่ายังไม่คิดถึงเรื่องการกลับมารับใช้ทีมชาติอีกครั้ง “ตั้งแต่จบโอลิมปิกเกมส์ผมก็ท้อแท้มาก แต่ตอนนี้ไม่รู้สึกอย่างนั้นแล้ว ผมหวังว่าสมาคมจะมีการบริหารจัดการที่ดีขึ้นกว่าเดิม ส่วนผมก็ขอทำงานเป็นโค้ชฟิตเนสช่วยพี่ชายไปก่อน เนื่องจากต้องการสร้างเนื้อสร้างตัว มีเงินเดือนมีรายได้ที่แน่นอน และผมเองก็เตรียมศึกษาต่อที่คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงทพฯ ซึ่งมีการออกทุนเรียนฟรีให้กับผมด้วย”
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ เวลา 17.00 น.ที่ผ่านมา สมาคมฟันดาบแห่งประเทศไทยฯ จัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปีที่กองพันทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ ถนนวิภาวดีรังสิต โดยมีวาระสำคัญอยู่ที่การเลือกตั้งนายกสมาคมคนใหม่แทนที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ซึ่งก็มีตัวเต็งอยู่ 2 คน คือ พล.อ.ชัยสิทธิ์ และ พล.ร.อ.สมเดช ทองเปี่ยม รองผู้บัญชาการทหารเรือ
โดยก่อนการประชุมมีปัญหาเกิดขึ้นเล็กน้อย เมื่อสมาชิกของสมาคมจำนวนหนึ่งไม่สามารถเข้าร่วมออกเสียงได้ เนื่องจากมีการอ้างว่าไม่ใช่สมาชิกที่ได้รับการรับรองจาก การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ซึ่งผลปรากฏว่าการออกเสียงครั้งแรกเสมอกันที่ 26 ต่อ 26 คะแนน และงดออกเสียง 1 คะแนน ก่อนที่การออกเสียงครั้งที่ 2 จะออกมาเท่ากันที่ 26 ต่อ 26 อีก
ทำให้ พันเอกชาติชาย เกษมวงศ์ ผู้แทนชมรมฟันดาบหน้ากากดำ ซึ่งเป็นประธานในที่ประชุมชั่วคราวต้องเป็นผู้ออกเสียงชี้ขาด ก่อนที่พันเอกชาติชาย จะลงคะแนนให้กับ พล.ร.อ.สมเดช ส่งผลให้ตำแหน่งนายกสมาคมฟันดาบมีการเปลี่ยนแปลงโดยปริยาย
หลังทราบผลการเลือกตั้ง สมาชิกที่ไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมได้ต่างก็ส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี เนื่องจากไม่พอใจการบริหารงานของ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ที่มีความบกพร่องหลายอย่าง โดยเฉพาะกรณีที่ วีรเดช คอธนีย์ อดีตนักฟันดาบทีมชาติออกมาแฉสมาคมว่าปล่อยให้ตนต้องควักเนื้อเอง 3,300 ยูโร (ประมาณ 148,500 บาท) ในการเก็บตัวสู้ศึกโอลิมปิกเกมส์ 2008 รวมทั้งการเบี้ยวเงินอัดฉีด 100,000 บาทที่บอกว่าจะให้หลังคว้าเหรียญทองแดง รายการฟันดาบชิงแชมป์เอเชีย
ด้าน พล.ร.อ.สมเดช ทองเปี่ยม ออกมาเปิดเผยถึงนโยบายหลังได้รับตำแหน่งว่าจะพัฒนากีฬาฟันดาบ องค์กร ตลอดจนบุคลากรให้เป็นที่ยอมรับ โดยจะเน้นไปที่การจัดการความไม่โปร่งใสภายในสมาคมที่เคยถูกจับตามองมาโดยตลอด รวมทั้งการดูแลสิทธิประโยชน์ให้มีความชัดเจน และเป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย
ขณะที่ “วิลลี” วีรเดช ก็ออกมาให้สัมภาษณ์หลังทราบข่าวการเปลี่ยนแปลงนายกส.ฟันดาบว่ายังไม่คิดถึงเรื่องการกลับมารับใช้ทีมชาติอีกครั้ง “ตั้งแต่จบโอลิมปิกเกมส์ผมก็ท้อแท้มาก แต่ตอนนี้ไม่รู้สึกอย่างนั้นแล้ว ผมหวังว่าสมาคมจะมีการบริหารจัดการที่ดีขึ้นกว่าเดิม ส่วนผมก็ขอทำงานเป็นโค้ชฟิตเนสช่วยพี่ชายไปก่อน เนื่องจากต้องการสร้างเนื้อสร้างตัว มีเงินเดือนมีรายได้ที่แน่นอน และผมเองก็เตรียมศึกษาต่อที่คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงทพฯ ซึ่งมีการออกทุนเรียนฟรีให้กับผมด้วย”
