สถานการณ์การลุ้นแชมป์พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ กำลังเข้มข้นขึ้นทุกขณะ โดยตอนนี้ ลิเวอร์พูล ยังคงรักษาบัลลังก์จ่าฝูงของตารางไว้ได้อย่างเหนียวแน่น แต่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฐานะแชมป์เก่าเริ่มดีวันดีคืนจนทำคะแนนไล่กวดใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และด้วยเหตุผลกลใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นเพื่อคลายความกดดันของลูกทีมต่อโอกาสคว้าแชมป์ครั้งแรกในรอบ 19 ปีหรือหวังทำลายสมาธิเพื่อหยุดยั้งความร้อนแรงของคู่แข่งจึงทำให้ ราฟาเอล เบนิเตซ ออกมาเปิดศึกน้ำลายเล่นสงครามประสาทเข้าใส่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กลายเป็นวิวาทะนอกสนามที่มีแฟนของทั้งสองทีมเป็นกองเชียร์
ผู้จัดการทีมชาวสเปนออกมากล่าวถึงความเป็นอภิสิทธิ์ชนของ เฟอร์กูสัน รวมถึงโจมตี เดวิด กิลล์ ประธานบริหารของคู่แข่งว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน เนื่องจากนั่งเป็นผู้บริหารของเอฟเออีกตำแหน่งด้วย แน่นอนเลยว่าการเปิดวิวาทะคราวนี้ย่อมจะส่งผลให้มีการโต้ตอบกันทั้งสองฝ่ายตามมาอีกหลายชุดและอาจยาวนานไปจนกระทั่งสิ้นสุดฤดูกาลหรือต่อเนื่องไปอีกหลายปี แต่การใช้ลูกไม้เด็ดของ เบนิเตซ ในคราวนี้จะได้ผลมากน้อยเพียงใดยังคงเป็นข้อสงสัยอยู่ เพราะนายใหญ่แห่งถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ก็ได้ชื่อว่าเป็น "ตัวพ่อ" หรือต้นตำรับแห่งการใช้สงครามจิตวิทยามาอย่างโชกโชนทั้งการปั่นหัวคู่แข่งจนคว่ำไม่เป็นท่าหรือแม้แต่การถูกตอกกลับหน้าหงายกลับมาก็มีไม่น้อยเช่นกัน
ย้อนกลับไปยังกรณีสุดคลาสสิกแห่งวงการฟุตบอลอังกฤษเมื่อฤดูกาล 1995-96 อันเป็นยุคสมัยแห่งการขับเคี่ยวกันระหว่าง "ปีศาจแดง" ที่กำลังเริ่มครองความยิ่งใหญ่บนลีกเมืองผู้ดีกับทีมฟอร์มแรงอย่าง นิวคาสเซิล ภายใต้การบังคับหางเสือของ เควิน คีแกน ด้วยปรัชญาการทำทีมแบบเปิดเกมรุกเข้าใส่คู่แข่งอย่างไม่บันยะบันยัง ขอเพียงแต่ทำสกอร์ให้มากกว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นพอ โดยปีดังกล่าว "เจ้าสาลิกาดง" ทำผลงานนับแต่ออกสตาร์ทได้ดีมากเก็บชัยชนะอย่างต่อเนื่องจนขึ้นมารั้งตำแหน่งจ่าฝูงยาวนานข้ามพ้นปีใหม่และมีคะแนนเหนือกว่า ยูไนเต็ด ที่ไล่ตามมาเป็นอันดับสองอยู่ถึง 14 คะแนนของบางช่วงเวลาเลยทีเดียว เรียกได้ว่าโอกาสคว้าแชมป์ครั้งแรกในรอบเกือบ 70 ปีของสโมสรมองเห็นอยู่รำไร
แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่คู่แข่งมีกุนซือสมองเพชรอย่าง เซอร์ อเล็กซ์ กุมบังเหียนอยู่ เมื่อทีมตกอยู่ภายใต้สถานการณ์อันคับขัน เขาเริ่มต้นเล่นสงครามจิตวิทยาโดยออกมาโจมตีบรรดาทีมอื่นในลีกว่าเอื้อประโยชน์ให้แก่คู่แข่ง กล่าวคือมีความมุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อเอาชนะต้นสังกัดของตนมากกว่า "เจ้าสาลิกาดง" และเรื่องไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้นด้วยคำกล่าวทำนองนี้แต่กลับกลายเป็นการสร้างความกดดันแก่ นิวคาสเซิล จนทำผลงานตกรูดลงอย่างมโหฬาร ขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด กลับเร่งเครื่องเก็บคะแนนในตอนท้ายจนพลิกกลับขึ้นมาเป็นทีมนำแทนในช่วงหนึ่งเดือนก่อนสิ้นสุดฤดูกาล ผลงานที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือนี้เองทำให้ คีแกน เกิดอาการ "สติแตก" อันนำมาซึ่งวลีอันโด่งดังที่ออกมาให้สัมภาษณ์กับสถานีสกายสปอร์ตเผยแพร่กระจายออกไปให้ได้ยินได้ฟังกันทั่วประเทศว่า
"เขา (เฟอร์กูสัน) หมดสิ้นความนับถือจากผมหลังจากออกมากล่าวเช่นนั้น เพราะเกมฟุตบอลของประเทศนี้มีแต่ความซื่อสัตย์จริงใจ คุณอาจจะตั้งคำถามแบบนี้กับที่อื่นได้แต่ไม่ใช่กับประเทศแห่งนี้ แน่นอนว่าพวกเรายังคงสู้ต่อเพื่อการคว้าแชมป์ลีก ผมจะสะใจมากเลยหากพวกเราเอาชนะพวกเขาได้ สะใจมาก!" อย่างที่ทราบกันดีว่า นิวคาสเซิล ทำไม่สำเร็จ จึงส่งผลให้ "ปีศาจแดง" คว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก เป็นสมัยที่ 4 มาครองได้สำเร็จ ส่วน คีแกน ก็อำลาจากถิ่นเซนต์ เจมส์ ปาร์ก ไปในปีถัดมา
เข้าสู่ฤดูกาล 1996-97 เฟอร์กูสัน มาได้คู่ปะทะฝีปากที่สมน้ำสมเนื้อขึ้นมาเมื่อ อาร์แซน เวนเกอร์ ได้รับการแต่งตั้งให้เข้ามาคุมทัพ อาร์เซนอล และแค่ปีถัดมาทั้งสองฝ่ายก็เปิดสงครามอย่างเต็มรูปแบบเมื่อ "เดอะกันเนอร์ส" ปัดโอกาสการคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก 3 สมัยติดต่อกันของ ยูไนเต็ด โดยทำคะแนนเฉือนกันเพียงแต้มเดียวพร้อมกับหยิบถ้วยแชมป์ไปประดับตู้โชว์ของสโมสรแทน โดยกุนซือชาวสกอตต์ไม่รอช้าออกมากล่าวเหน็บแนมว่า แม้ทีมตนจะทำได้เพียงรองแชมป์แต่ก็มีการเล่นที่สวยงามกว่าคู่แข่งจากกรุงลอนดอน แต่โค้ชชาวเมืองน้ำหอมออกมาตอกกลับให้แสบๆคันๆว่า "ผู้ชายทุกคนล้วนคิดว่าพวกเขามีภรรยาสวยที่สุดรออยู่ที่บ้าน"
ทั้งสองฝ่ายเล่นสงครามประสาทแต่มิใช่เพียงแค่นั้นยังลุกลามบานปลายจนกลายเป็นอารมณ์ร่วมของลูกทีม ตัวอย่างเช่นเมื่อปี 1998-99 ในการแข่งขันฟุตบอลเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศอันโด่งดัง ณ สนามวิลลา ปาร์ก เมื่อ "ปีศาจแดง" ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จจากการทำประตูชัยอันสุดสวยที่ลากบอลจากแดนตัวเองของ ไรอัน กิกส์ หลุดไปยิงแสกหน้าผ่าน เดวิด ซีแมน เข้าไป ซึ่งหลังจบ 90 นาที เวนเกอร์ ปฏิเสธที่จะจับมือกับ เฟอร์กูสัน หรืออย่างนัดเปิดฤดูกาลปี 2003-04 ที่ทั้งสองทีมพบกันในบ้านของ ยูไนเต็ด ความดุเดือดของแมตช์ดังกล่าวถูกเรียกว่าเป็น "สงครามแห่งโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด" (Battle of Old Trafford) เพราะมีการเสียบสกัดกันอย่างรุนแรง ผู้ตัดสินชักใบเหลือง-ใบแดงกันให้ว่อน รวมถึงช็อตอันอื้อฉาวอย่างการพลาดจุดโทษของ รุด ฟาน นิสเตอรอย ผู้เล่นเจ้าถิ่นจนถูก มาร์ติน คีโอว์น กองหลังทีมเยือนแสดงอาการเยาะเย้ยถากถาง เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนจากสงครามปากกลายเป็นสงครามเท้า-หมัด-ศอก ไปได้
ความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงและเร่าร้อนของทั้งคู่มีอันต้องถูกบดบังรัศมีลงไปเมื่อ โฮเซ มูรินโญ ก้าวเข้ามารับงานคุมทีม เชลซี ในฤดูกาล 2004-05 ซึ่งกุนซือชาวโปรตุกีสไม่รอช้าที่จะเปิดฉากสงครามประสาทก่อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการพุ่งเป้าไปยัง เซอร์ อเล็กซ์ ที่เขาล่วงรู้กิตติศัพท์ดังกล่าวเป็นอย่างดี "ถ้าพวกเขาไม่ก้าวล่วงผม ผมก็จะไม่ไปแตะต้องใคร แต่ถ้าใครมายุ่มย่ามกับผม ผมจะเอาคืนให้หนักกว่าเดิม" เจอดักคอแบบนี้แม้แต่ เวนเกอร์ ยังต้องหลีกทางให้
แต่ เฟอร์กูสัน ก็ยังคงเป็นคนเดิมที่รักการแข่งขันรวมถึงกระหายต่อชัยชนะอยู่เสมอไม่แตกต่างกันและการเล่นเกมจิตวิทยาก็เป็นเหมือนกับศาสตร์และศิลป์อย่างหนึ่งในการพาสโมสรฟุตบอลประสบความสำเร็จ โดยนายใหญ่ปีศาจแดงออกมาโจมตีว่าความเก่งกาจของทีมเศรษฐีจากกรุงลอนดอนว่าเป็นเพราะการทุ่มเงินคว้านักเตะชั้นยอดมาร่วมทีมมากกว่าที่จะเป็นความสามารถจากมันสมองของ มูรินโญ ขณะที่ทางฝั่งอดีตกุนซือปอร์โต ออกมาตอบกลับเช่นกันว่าทีมของกุนซือชาวสกอตติชมักจะได้รับประโยชน์จากกรรมการเช่นได้จุดโทษบ่อยครั้งยามเล่นในบ้านตัวเอง อย่างไรก็ตามสุดท้าย เชลซี ก็สามารถคว้าแชมป์ลีกมาครองได้สองปีติดต่อกัน ก่อนที่โค้ชชาวโปรตุกีสอำลาจากวงการฟุตบอลอังกฤษ
ถึงเวลานี้คงต้องมารอดูกันว่าการออกมาเปิดศึกกับ เฟอร์กูสัน ของ เบนิเตซ จะส่งผลมากน้อยเพียงใดต่อความสำเร็จของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้และมีความเป็นไปได้ว่านัดสุดท้ายของแต่ละทีมจะตัดสินว่าใครเหนือกว่ากันในสงครามจิตวิทยาหนนี้