"หงส์แดง" ลิเวอร์พูล บุกไปถูก "ไก่เดือยทอง" ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ย้ำแค้นเอาชนะอีกครั้ง 2-4 พร้อมกับควง "สิงห์บลูส์" เชลซี ที่พ่ายดวลจุดโทษให้กับ เบิร์นลีย์ ทีมจากศึกแชมเปียนส์ชิพ ตกรอบไปทั้งสองทีม ในการแข่งขันฟุตบอลคาร์ลิง คัพ รอบ 4 เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา
ผลการแข่งขันฟุตบอลคาร์ลิง คัพ รอบ 4
ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ 4-2 ลิเวอร์พูล
ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ กำลังทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องนับแต่ แฮร์รี เรดแนปป์ มาคุมทีม โดยเกมนี้ส่ง โรมัน พาฟลูเชนโก และ เฟรเซียร์ แคมป์เบลล์ ลงสนามเป็นกองหน้าคู่กัน ด้าน ลิเวอร์พูล ของ ราฟาเอล เบนิเตซ หวังจะแก้แค้นเจ้าถิ่นคืนหลังจากพ่ายแพ้มาในเกมลีกก่อนหน้านี้ โดยเกมนี้ได้ เฟอร์นันโด ตอร์เรส หายเจ็บกลับมาลงสนามเป็นตัวจริง
เริ่มครึ่กแรก ทั้งสองทีมทำเกมกันได้อย่างสูสีในช่วงแรกต่างผลัดกันเป็นฝ่ายรุกและรับ แต่ขาดความเฉียบคมในแดนหน้าทำให้ไม่สามารถเจาะตาข่ายคู่แข่งได้ จนกระทั่งช่วง 15 นาทีสุดท้ายเกมพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อ สเปอร์ สามารถทำได้ 3 ประตูรวด
เริ่มจากนาที 37 ที่ทีมทำเกมขึ้นมาอย่างสวยงามถึงหน้าเขตโทษทีมเยือนและมีการจ่ายบอลเข้าไปบริเวณริมเขตโทษด้านซ้ายให้ แคมป์เบล วิ่งกระแทก ฮูเปีย แย่งบอลมาครองได้สำเร็จ ก่อนจะเปิดบอลเรียดเข้ากลางให้ พาฟลูเชนโก ที่ยืนอยู่โล่งๆซัดด้วยซ้าย บอลพุ่งเร็วลอดขา คาวาเลียรี เข้าไปทำให้ สเปอร์ ขึ้นนำก่อน 1-0
ลูกทีมของ เรดแนปป์ ยังคงทำเกมบุกต่อเนื่องและอีก 4 นาทีต่อมาก็ทำประตูหนีห่างออกไปอีก เมื่อ โอฮารา ลุยขึ้นมาทางด้านซ้ายบริเวณกึ่งกลางสนาม ก่อนจะเปิดบอลเข้ามาหวังจะให้ แคมป์เบลล์ แต่กลายเป็น คาวาเลียรี นายทวารทีมเยือนทำพลาดเมื่อพยายามออกมาตัดบอลแต่ดันไปชนกับ ดอสเซนา เพื่อนร่วมทีมล้มลงไปทำให้ กองหน้าเจ้าถิ่นพักบอลด้วยอกหลุดเข้าไปยิงโล่งๆให้ทีมหนีห่าง 2-0
ก่อนหมดเวลานาทีเดียวเป็น แคมป์เบลล์ คนเดิมที่มาทำประตูให้ทีมได้อีกครั้ง จากจังหวะที่ เลนนอน ได้บอลบริเวณริมเส้นเขตโทษด้านซ้ายก่อนจะเปิดบอลเข้ากลาง ไม่มีกองหลังลิเวอร์พูลคนใดโหม่งบอลถึง บอลหลุดมาเข้าหัวกองหน้าวัย 19 ปีโหม่งเล่นทางชนเสาเข้าประตูไปทำให้ สเปอร์หนีห่าง 3-0 และจบเวลาครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้
เริ่มครึ่งเวลาหลัง ลิเวอร์พูล ทำประตูแก้คืนมาอย่างรวดเร็วหลังเกทผ่านมาเพียง 3 นาทีจากจังหวะเตะมุม บอลลอยโด่งมาถึง เปลสซิส กระโดดขึ้นโหม่งบอลเหนือกว่า ฮัตตัน เข้าไปทำให้ทีมเยือนไล่มาห่างๆ 1-3
สเปอร์ แม้จะเสียประตูแต่ทีมไม่แกว่งและยังครองเกมรุกเหนือกว่า เมื่อถึงนาทีที่ 52 ก็มาทำประตูหนีห่างออกไปอีกครั้ง จากจังหวะที่ทีมเยือนพลาดเสียบอลบริเวณกลางสนามให้แก่ โซโกรา ลากบอลเลี้ยงขึ้นมาอย่างสวยงามเข้ามาถึงในเขตโทษ ก่อนจะเปิดบอลแฉลบขา ฮูเปีย แต่บอลยังหลุดไปถึง พาฟลูเชนโก จัดการยิงเข้าไปอย่างง่ายดายทำให้เจ้าถิ่นหนีห่าง 4-1
เจ้าบ้านเริ่มผ่อนเกมจึงเปิดโอกาสให้ ลิเวอร์พูล ทำเกมบุกได้อย่างต่อเนื่องมากขึ้นและทีมเยือนทำประตูไล่ตามมาจนได้จากจังหวะเตะมุมนาทีที่ 64 คราวนี้เป็นความผิดพลาดของ โกเมซ นายทวารชาวบราซิลบ้างที่ออกมาตัดบอลพลาดจนลอยมาถึง ฮูเปีย โหม่งเข้าไปทำให้ทีมเยือนไล่มาเป็น 2-4
อีกสามนาทีต่อมาลูกทีมของ เบนิเตซ เกือบทำประตูไล่ขึ้นมาได้อีก จากจังหวะที่ทีมต่อบอลกันได้อย่างสวยงามบริเวณริมเส้นเขตโทษ ก่อนที่จังหวะสุดท้ายบอลจะหลุดไปถึง เอล ซาร์ ได้ซัดเต็มๆแต่ โกเมซ แก้ตัวออกมาป้องกันไว้ได้ทำให้ทีมรอดการเสียประตู หลังจากนั้นทั้งสองทีมไม่สามารทำประตูเพิ่มได้ทำให้จบ 90 นาที สเปอร์ย้ำแค้นเอาชนะไปอีกครั้ง 4-2 พร้อมกับผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ส่วน ลิเวอร์พูล ยุติแต่เพียงรอบนี้
ขณะที่ผลการแข่งขันอีกคู่ "สิงห์บลูส์" เชลซี มีอันต้องตกรอบเช่นเดียวเมื่อพ่ายดวลจุดโทษแก่ เบิร์นลีย์ ทีมจากศึกแชมเปียนส์ชิพไป 4-5 ประตู หลังจากเกม 90 นาทีทั้งสองทีมเสมอกัน 1-1 โดย ดิดิเยร์ ดร็อกบา ทำประตูแรกให้เจ้าถิ่นขึ้นนำ 1-0 นาทีที่ 27 แต่ อเด อคินบาย ซัดประตูตีเสมอ 1-1 ในนาทีที่ 69 จนต้องเข้าไปสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษและดวลจุดโทษตัดสินกันในท้ายที่สุด
รายชื่อผู้เล่นตัวจริงของทั้งสองทีม
ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ : โกเมส, ไมเคิล ดอว์สัน, อลัน ฮัตตัน, กาเร็ธ เบล, เวดรัน ชอร์ลูกา, ดิดิเยร์ โซโกรา, ทอม ฮัดเดิลสตัน, อารอน เลนนอน, เจมี โอฮารา, โรมัน พาฟลูเชนโก, เฟรเซีย แคมป์เบลล์
ลิเวอร์พูล : คาวาเลียรี, ซามี ฮูเปีย, อันเดรีย ดอสเซนา, ฟิลิปป์ เดเกน, ดาเนียล แอ็กเกอร์, ลูคัส เลวา, ดาเมียน เปลสซิส, เฟอร์นันโด ตอร์เรส, ไรอัน บาเบล, นาบิล เอล ซาร์, ดาวิด เอ็นกอก
ผลการแข่งขันฟุตบอลคาร์ลิง คัพ
เชลซี เสมอ เบิร์นลีย์ 1-1 (1-0 ดิดิเยร์ ดร็อกบา น.27), (1-1 อเด อคินบาย น.69) เชลซี ตกรอบหลังพ่ายดวลจุดโทษ 4-5
ซันเดอร์แลนด์ แพ้ แบล็กเบิร์น 1-2 (0-1 โรเก ซานตา ครูส น.65), (0-2 ฟิลลิป์ บาร์ดสลีย์ ทำเข้าประตูตัวเอง น.70), (1-2 เคนวิน โจนส์ น.71)
ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ชนะ ลิเวอร์พูล 4-2 (1-0 น.38 โรมัน พาฟลูเชนโก น.38), (2-0 เฟรเซียร์ แคมป์เบลล์ น.42), (3-0 เฟรเซียร์ แคมป์เบลล์ น.44), (3-1 ดาเมียน เปลสซิส น.48), (4-1 โรมัน พาฟลูเชนโก น.52), (4-2 ซามี ฮูเปีย น.64)
ผลการแข่งขันฟุตบอลคาร์ลิง คัพ รอบ 4
ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ 4-2 ลิเวอร์พูล
ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ กำลังทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องนับแต่ แฮร์รี เรดแนปป์ มาคุมทีม โดยเกมนี้ส่ง โรมัน พาฟลูเชนโก และ เฟรเซียร์ แคมป์เบลล์ ลงสนามเป็นกองหน้าคู่กัน ด้าน ลิเวอร์พูล ของ ราฟาเอล เบนิเตซ หวังจะแก้แค้นเจ้าถิ่นคืนหลังจากพ่ายแพ้มาในเกมลีกก่อนหน้านี้ โดยเกมนี้ได้ เฟอร์นันโด ตอร์เรส หายเจ็บกลับมาลงสนามเป็นตัวจริง
เริ่มครึ่กแรก ทั้งสองทีมทำเกมกันได้อย่างสูสีในช่วงแรกต่างผลัดกันเป็นฝ่ายรุกและรับ แต่ขาดความเฉียบคมในแดนหน้าทำให้ไม่สามารถเจาะตาข่ายคู่แข่งได้ จนกระทั่งช่วง 15 นาทีสุดท้ายเกมพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อ สเปอร์ สามารถทำได้ 3 ประตูรวด
เริ่มจากนาที 37 ที่ทีมทำเกมขึ้นมาอย่างสวยงามถึงหน้าเขตโทษทีมเยือนและมีการจ่ายบอลเข้าไปบริเวณริมเขตโทษด้านซ้ายให้ แคมป์เบล วิ่งกระแทก ฮูเปีย แย่งบอลมาครองได้สำเร็จ ก่อนจะเปิดบอลเรียดเข้ากลางให้ พาฟลูเชนโก ที่ยืนอยู่โล่งๆซัดด้วยซ้าย บอลพุ่งเร็วลอดขา คาวาเลียรี เข้าไปทำให้ สเปอร์ ขึ้นนำก่อน 1-0
ลูกทีมของ เรดแนปป์ ยังคงทำเกมบุกต่อเนื่องและอีก 4 นาทีต่อมาก็ทำประตูหนีห่างออกไปอีก เมื่อ โอฮารา ลุยขึ้นมาทางด้านซ้ายบริเวณกึ่งกลางสนาม ก่อนจะเปิดบอลเข้ามาหวังจะให้ แคมป์เบลล์ แต่กลายเป็น คาวาเลียรี นายทวารทีมเยือนทำพลาดเมื่อพยายามออกมาตัดบอลแต่ดันไปชนกับ ดอสเซนา เพื่อนร่วมทีมล้มลงไปทำให้ กองหน้าเจ้าถิ่นพักบอลด้วยอกหลุดเข้าไปยิงโล่งๆให้ทีมหนีห่าง 2-0
ก่อนหมดเวลานาทีเดียวเป็น แคมป์เบลล์ คนเดิมที่มาทำประตูให้ทีมได้อีกครั้ง จากจังหวะที่ เลนนอน ได้บอลบริเวณริมเส้นเขตโทษด้านซ้ายก่อนจะเปิดบอลเข้ากลาง ไม่มีกองหลังลิเวอร์พูลคนใดโหม่งบอลถึง บอลหลุดมาเข้าหัวกองหน้าวัย 19 ปีโหม่งเล่นทางชนเสาเข้าประตูไปทำให้ สเปอร์หนีห่าง 3-0 และจบเวลาครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้
เริ่มครึ่งเวลาหลัง ลิเวอร์พูล ทำประตูแก้คืนมาอย่างรวดเร็วหลังเกทผ่านมาเพียง 3 นาทีจากจังหวะเตะมุม บอลลอยโด่งมาถึง เปลสซิส กระโดดขึ้นโหม่งบอลเหนือกว่า ฮัตตัน เข้าไปทำให้ทีมเยือนไล่มาห่างๆ 1-3
สเปอร์ แม้จะเสียประตูแต่ทีมไม่แกว่งและยังครองเกมรุกเหนือกว่า เมื่อถึงนาทีที่ 52 ก็มาทำประตูหนีห่างออกไปอีกครั้ง จากจังหวะที่ทีมเยือนพลาดเสียบอลบริเวณกลางสนามให้แก่ โซโกรา ลากบอลเลี้ยงขึ้นมาอย่างสวยงามเข้ามาถึงในเขตโทษ ก่อนจะเปิดบอลแฉลบขา ฮูเปีย แต่บอลยังหลุดไปถึง พาฟลูเชนโก จัดการยิงเข้าไปอย่างง่ายดายทำให้เจ้าถิ่นหนีห่าง 4-1
เจ้าบ้านเริ่มผ่อนเกมจึงเปิดโอกาสให้ ลิเวอร์พูล ทำเกมบุกได้อย่างต่อเนื่องมากขึ้นและทีมเยือนทำประตูไล่ตามมาจนได้จากจังหวะเตะมุมนาทีที่ 64 คราวนี้เป็นความผิดพลาดของ โกเมซ นายทวารชาวบราซิลบ้างที่ออกมาตัดบอลพลาดจนลอยมาถึง ฮูเปีย โหม่งเข้าไปทำให้ทีมเยือนไล่มาเป็น 2-4
อีกสามนาทีต่อมาลูกทีมของ เบนิเตซ เกือบทำประตูไล่ขึ้นมาได้อีก จากจังหวะที่ทีมต่อบอลกันได้อย่างสวยงามบริเวณริมเส้นเขตโทษ ก่อนที่จังหวะสุดท้ายบอลจะหลุดไปถึง เอล ซาร์ ได้ซัดเต็มๆแต่ โกเมซ แก้ตัวออกมาป้องกันไว้ได้ทำให้ทีมรอดการเสียประตู หลังจากนั้นทั้งสองทีมไม่สามารทำประตูเพิ่มได้ทำให้จบ 90 นาที สเปอร์ย้ำแค้นเอาชนะไปอีกครั้ง 4-2 พร้อมกับผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ส่วน ลิเวอร์พูล ยุติแต่เพียงรอบนี้
ขณะที่ผลการแข่งขันอีกคู่ "สิงห์บลูส์" เชลซี มีอันต้องตกรอบเช่นเดียวเมื่อพ่ายดวลจุดโทษแก่ เบิร์นลีย์ ทีมจากศึกแชมเปียนส์ชิพไป 4-5 ประตู หลังจากเกม 90 นาทีทั้งสองทีมเสมอกัน 1-1 โดย ดิดิเยร์ ดร็อกบา ทำประตูแรกให้เจ้าถิ่นขึ้นนำ 1-0 นาทีที่ 27 แต่ อเด อคินบาย ซัดประตูตีเสมอ 1-1 ในนาทีที่ 69 จนต้องเข้าไปสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษและดวลจุดโทษตัดสินกันในท้ายที่สุด
รายชื่อผู้เล่นตัวจริงของทั้งสองทีม
ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ : โกเมส, ไมเคิล ดอว์สัน, อลัน ฮัตตัน, กาเร็ธ เบล, เวดรัน ชอร์ลูกา, ดิดิเยร์ โซโกรา, ทอม ฮัดเดิลสตัน, อารอน เลนนอน, เจมี โอฮารา, โรมัน พาฟลูเชนโก, เฟรเซีย แคมป์เบลล์
ลิเวอร์พูล : คาวาเลียรี, ซามี ฮูเปีย, อันเดรีย ดอสเซนา, ฟิลิปป์ เดเกน, ดาเนียล แอ็กเกอร์, ลูคัส เลวา, ดาเมียน เปลสซิส, เฟอร์นันโด ตอร์เรส, ไรอัน บาเบล, นาบิล เอล ซาร์, ดาวิด เอ็นกอก
ผลการแข่งขันฟุตบอลคาร์ลิง คัพ
เชลซี เสมอ เบิร์นลีย์ 1-1 (1-0 ดิดิเยร์ ดร็อกบา น.27), (1-1 อเด อคินบาย น.69) เชลซี ตกรอบหลังพ่ายดวลจุดโทษ 4-5
ซันเดอร์แลนด์ แพ้ แบล็กเบิร์น 1-2 (0-1 โรเก ซานตา ครูส น.65), (0-2 ฟิลลิป์ บาร์ดสลีย์ ทำเข้าประตูตัวเอง น.70), (1-2 เคนวิน โจนส์ น.71)
ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ชนะ ลิเวอร์พูล 4-2 (1-0 น.38 โรมัน พาฟลูเชนโก น.38), (2-0 เฟรเซียร์ แคมป์เบลล์ น.42), (3-0 เฟรเซียร์ แคมป์เบลล์ น.44), (3-1 ดาเมียน เปลสซิส น.48), (4-1 โรมัน พาฟลูเชนโก น.52), (4-2 ซามี ฮูเปีย น.64)
