“ขอรับรองว่าชัยชนะในยูเอสโอเพ่นครั้งนี้ผมจะไม่หยุดสถิติแกรนด์สแลมของตนเองไว้เพียง 13 ครั้งเพราะนี่เป็นเพียงฉากแรกของการทวงคืนตำแหน่งนักเทนนิสหมายเลขหนึ่งของโลกกลับคืนมา”
หลังจากคว้าแชมป์แกรนด์สแลมแรกมากอดพร้อมประทับรอยจูบบนโทรฟี่ได้เป็นที่เรียบร้อย ด้านบนคือคำให้สัมภาษณ์ของ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ เจ้าของโทรฟี่ยูเอส โอเพ่นคนล่าสุดที่สร้างตำนานให้กับตนเองอีกหนึ่งบทเมื่อครองแชมป์รายการนี้ได้ถึง 5 สมัยเฉกเช่นเดียวกับวิมเบิลดันที่เจ้าตัวได้ทำผลงานเอาไว้ก่อนหน้านี้
รอยจุมพิตที่เฟเดอเรอร์ ได้ประทับลงบนโทรฟี่เงินของศึกยูเอส โอเพ่น ดูจะเป็นรอยสัมผัสอันแสนหวานและสุดชื่นมื่นหลังชัยชนะเหนือ นักเทนนิสรุ่นน้องวัย 21 ปี แอนดี้ เมอเรย์ จบลงด้วยเวลาเพียง 1 ชั่วโมง 51 นาทีด้วยสกอร์ที่ต้องเรียกว่าขาดลอย 3-0 เซต นับเป็นชัยชนะอันท่วมท้นของนักเทนนิสหนุ่มวัย 27 ปีที่ตลอดทั้งฤดูกาล 2008 เขาต้องวิ่งตามเงาของราฟาเอล นาดาล จนร่วงลงมาเป็นนักเทนนิสหมายเลขสองของโลก
หลังจากสร้างประวัติศาสตร์ครองแชมป์แกรนด์สแลมวิมเบิลดัน 5 สมัย เทียบเท่ากับสถิติของอดีตราชาแห่งวงการลูกสักหลาดอย่าง บิยอร์น บอร์ก ดูเหมือนว่าความสำเร็จในฤดูกาล 2008 จะไม่ได้มาเยือนโรเจอร์ เฟเดอเรอร์ แม้แต่น้อยหลังอาณาจักรของราชันย์เทนนิสถูกยึดครองโดยอัศวินจากสเปน อย่าง ราฟาเอล นาดาล ที่ปีนี้โชว์ฟอร์มสุดร้อนแรงด้วยการคว้าแชมป์ เฟรนช์ โอเพ่นเป็นสมัยที่ 4 ติดต่อกันและปีนี้ยังสร้างผลงานชิ้นโบว์แดงด้วยการคว่ำราชาคอร์ตหญ้าอย่างเฟเดอเรอร์ ขึ้นเถลิงแชมป์วิมเบิลดันได้เป็นสมัยแรกในชีวิต
ไม่เพียงแต่จะกลายเป็นผู้ตาม แต่ท้ายที่สุดบัลลังก์ราชันย์ลูกสักหลาดที่เฟเดอเรอร์ครอบครองมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2004 ท้ายที่สุดก็ต้องสูญเสียให้กับ ราฟาเอล นาดาล ก่อนหน้าที่การแข่งขันยูเอส โอเพ่นจะเริ่มต้นขึ้น ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวบรรดาเกจิในวงการเทนนิส พากันนำไปเปรียบเทียบกับคู่ปรับในอดีตเมื่อ จอห์น แมคเอนโรหยุดบิยอร์น บอร์ก นักเทนนิสชาวสวีเดนในฐานะแชมป์วิมเบิลดันไว้ที่ 5 สมัยจากนั้นฟอร์มของนักเทนนิสชาวสวีเดน ก็ร่วงลงมาตามลำดับ
ก่อนหน้าที่เฟด-เอ็กซ์ จะลงสนามแกรนด์สแลมสุดท้ายของปีเขาได้ให้สัมภาษณ์ว่ายังคงคิดถึงผลงานตนเองในแง่บวกและเชื่อว่าสักวันหนึ่งเขาจะกลับมายืนในจุดเดิมได้อีกครั้ง หากไม่มีใครเชื่อว่า เฟด-เอ็กซ์ คิดเช่นนั้น เพราะต่างก็วิเคราะห์ว่าเวลาแห่งชัยชนะของยอดนักเทนนิสชาวสวิสฯตลอดทั้ง 5 ปีที่ผ่านมาน่าจะถึงเวลาสิ้นสุดได้แล้ว แต่ท้ายที่สุด เฟด-เอ็กซ์ ก็ยังคงแสดงให้เห็นว่า บนเส้นทางชีวิตของนักเทนนิสผู้ครอบครองแกรนด์สแลมมาแล้ว 12 ครั้งนั้น ใช่ว่าใครจะล้มเขาลงได้โดยง่าย เมื่อเฟด-เอ็กซ์โชว์ชั้นเชิงและลีลาลูกสักหลาด หวดเอาชนะนักเทนนิสรุ่นน้องอย่าง แอนดี้ เมอร์เรย์ ขาดลอย 3-0 เซตสกอร์ 6-2, 7-5 และ 6-2
การได้จุมพิตถ้วยยูเอส โอเพ่น นับว่าเป็นยาขนานเอกที่เรียกคืนสภาวะจิตใจที่กำลังรู้สึกถึงช่วงเวลาขาลงของตนเองให้กลับคืนได้อย่างดียิ่ง ในรอบปีที่ผ่านมาผลงานของเฟเดอเรอร์กลายเป็นเรื่องที่สื่อ และ แฟนเทนนิสทั่วโลกพากันจับตามอง เริ่มต้นด้วยความพ่ายแพ้ต่อ โนวัค ยอโควิช จนทำให้ร่วงจากการแข่งขันออสเตรเลี่ยน โอเพ่น จากนั้นก็มาพ่ายให้กับราฟาเอล นาดาล อีกครั้งที่ปารีส ก่อนจะอัศวินจากสเปน จะแทงดาบสุดท้ายด้วยการเฉือนเอาดวงใจของราชันย์ ด้วยการคว้าแชมป์วิมเบิลดันประจำปี 2008 ไปครอง
เมื่อสถิติถูกตอกย้ำมาด้วยความพ่ายแพ้เกือบตลอดทั้งฤดูกาล เฟด-เอ็กซ์ ที่เคยเป็นผู้ชนะมาตลอดจึงเดินทางมาถึง นิวยอร์กด้วยความหวังที่กู้ชื่อเสียงและตำแหน่งของตนเองกลับคืน เขาต้องการพิสูจน์ให้โลกได้รู้ว่าในวัย 27 ปี ชื่อของตนเองยังคงเป็นที่น่าเกรงขามกับนักเทนนิสทั้งรุ่นเก่าและใหม่ ซึ่งในที่สุดเขาก็เป็นผู้ครอบครองชัยชนะพร้อมกับเป็นเจ้าของตำนานบทใหม่ กับสถานะนักเทนนิสรายที่สองต่อจาก บิลล์ ทิลเดน ที่สามารถครองแชมป์ยูเอส โอเพ่นได้ในสถิติเดียวกันเมื่อปี 1924 และเป็นรายแรกในประวัติศาสตร์ ที่สามารถครองสถิติแชมป์วิมเบิลดัน และ ยูเอส โอเพ่นได้ในตัวเลขเดียวกัน ทำให้ตัวเลขสแลมของ เฟเดอเรอร์ นั้นอยู่ที่หมายเลข 13 ต่อท้ายจากพีต แซมพราสอีกเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น
แม้ว่าในเวลานี้เฟเดอเรอร์ จะยังไม่สามารถคืนสู่ตำแหน่งนักเทนนิสหมายเลขหนึ่งของโลกได้ แต่โอกาสในการทำสถิติเทียบเท่ากับพีต แซมพราสของเขายังเปิดกว้าง ซึ่งเจ้าตัวเองก็ยังมั่นใจว่าน่าจะไปถึงจุดหมายได้สำเร็จโดยกล่าวทิ้งท้ายในห้องแถลงข่าวของ ยูเอส โอเพ่นไว้อย่างน่าสนใจว่า “มีนักเทนนิสน้อยคนนักที่จะสามารถคว้าแชมป์ 5 สมัยได้ทั้งในวิมเบิลดันและยูเอส โอเพ่น แน่นอนว่าผมรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งกับผลงานในครั้งนี้ ตลอดทั้งฤดูกาลที่ผ่านมานับว่าเป็นช่วงเวลาที่แสนยากลำบากในชีวิตนักเทนนิสของผมเองเลยก็ว่าได้ เมื่อหวนคืนมาคว้าแชมป์ยูเอส โอเพ่นสมัยที่ 5 ได้สำเร็จ มันจึงมีความหมายเป็นอย่างยิ่ง การสูญเสียตำแหน่งนักเทนนิสหมายเลขหนึ่งของโลกนับเป็นเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อผมเป็นอย่างยิ่งในฤดูกาลนี้ และถ้าจะให้ทิ้งท้ายก็คงต้องบอกว่า แชมป์ยูเอส โอเพ่น ในครั้งนี้นับเป็นการเปิดฉากอย่างสวยงามในการประเดิมศึกเพื่อชิงตำแหน่งนักเทนนิสหมายเลขหนึ่งของโลกให้กลับคืนมา”