คอลัมน์ “ผจญภัยแดนมังกร” โดย “ภู่ หว่า เฮง”
หลังจากไปเยี่ยมชมมหานครเซี่ยงไฮ้ เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน เพื่อตามดู “ดรีมทีม” ยัดห่วงสหรัฐอเมริกา เตรียมความพร้อมเป็นเกมสุดท้ายก่อนลุย “ปักกิ่งเกมส์” กระผม “ภู่ หว่า เฮง” กับ “เฮียยุทธ” ถึงคิวควงแขนกันกลับไปสมทบ “เจ๊โอ๋” และ “น้องตุ้ม” ที่กรุงปักกิ่ง ดังเดิม เพื่อเตรียมการสำหรับพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2008 ที่ใกล้ได้ฤกษ์เปิดฉากกันในคืนวันศุกร์นี้แล้ว
แต่ก่อนกลับคงต้องมาพูดถึงครั้งหนึ่งในชีวิตที่เซี่ยงไฮ้ กันหน่อย ซึ่งขอออกตัวไว้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมมีโอกาสเหยียบแดนมังกร การมาถึงเมืองใหญ่อย่าง เซี่ยงไฮ้ ชวนให้ตื่นเต้นอยู่พอสมควร ความแตกต่างระหว่างที่นี่กับปักกิ่งที่เห็นได้ชัดคือสภาพบ้านเมือง เฮียยุทธ เปรียบว่า เซี่ยงไฮ้ ก็เมืองเศรษฐกิจดีๆ นี่เอง ขณะที่ ปักกิ่ง เป็นเมืองแห่งการศึกษา จึงไม่แน่แปลกใจว่าทำไมถึงเรียก “เซี่ยงไฮ้” ว่า เป็นมหานคร เพราะนอกจากตึกรามบ้านช่องที่สูงตระหง่าน ความเป็นอยู่ของคนที่นี่ออกไปในลักษณะวิถีคนเมืองอย่างแท้จริง ผู้คนแต่งตัวกันค่อนข้างล่ำสมัย โดยเฉพาะบรรดาอาหมวย พวกสาวใหญ่วัยทำงานแต่งกายพิถีพิถันดูสง่า ขณะที่วัยรุ่นตามกระแสแฟชั่นจ๋ากันน่าดู
สำหรับการมาทำงานการเดินทางต้องคล่องแคล่วเพราะเวลาของเรามีค่ายิ่ง ดังนั้น การโดยสารรถไฟใต้ดิน (Subway) เป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับชีวิตคนเมือง แม้ต้องทนแออัดยัดเยียดกับผู้โดยสารหลายร้อยหลายพันคนสักครึ่งชั่วโมง แต่ก็ถือว่าคุ้มหากนำไปคำนวณเทียบกับเวลาเดินทางบนดินเพื่อให้ถึงปลายทางที่ห่างไกลออกไป
เมื่อได้ใช้บริการรถไฟใต้ดินบ่อยครั้งในสนนราคาแค่ 2-4 หยวน (ราว 10-20 บาท) ต่อการเดินทางหนึ่งสาย (Line) นอกจากปลายทางหลักอย่าง “เซี่ยงไฮ้ อินดอร์ สเตเดียม” สถานีรถไฟที่ใกล้กับสนาม “เซี่ยงไฮ้ สเตเดี้ยม” ชนิดลงปุ๊บขึ้นมาเจอปั๊บ ทั้งผมและยุทธ สังเกตเห็นได้ว่าสถานี “People Square” มีผู้โดยสารลงและขึ้นมากที่สุด ว่าแล้วก็กระโดดลงไปสำรวจเสียหน่อยว่าที่นี่มีอะไรดี และก็ได้พบว่า พีเพิล สแควร์ ถือเป็นย่านธุรกิจของมหานครแห่งนี้
ช่วงที่เรากำลังหาโรงแรมที่พัก ประกอบกับเป็นเวลาบ่ายแก่ๆ (ของวันอังคาร) เลยขอแวะขึ้นห้างไปฝากท้องใน “นิวเวิลด์” ที่เชื่อมต่อกับ พีเพิล สแควร์ ถึงบรรยากาศร้านรวงที่นี่ไม่จัดว่าหรูหราเหมือน “พารากอน” บ้านเรา แต่ก็ทำให้ผมและเฮียยุทธ รู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในมาบุญครอง, โบนันซา, สยาม อารมณ์ประมาณนั้นเลย ผู้คนมาเดินช็อปปิ้งกันพลุกพล่าน ทำให้เรามีอาหารตาเดินไปเดินมาเสิร์ฟอยู่ตลอดระหว่างสัมผัสรสชาดถูกปากในร้านเล็กๆ สัญลักษณ์ “จอมกังฟู” สาวหมวยที่ใครหลายคนเคยมองว่าจืด ณ วันนี้พวกเธอสลัดภาพลักษณ์เชยๆ เปิดไหล่ นุ่งสั้น โชว์ความขาวได้ใจเราดีแท้
ส่วนใครที่คิดมาเที่ยวเซี่ยงไฮ้ และหาที่พักถูกๆ ก็พอมีย่าน People Square นี่แหละ เพียงแต่ต้องสอบถามเจ้าถิ่นรวมถึงเดินซอกแซกกันหน่อย แต่ช่วงโอลิมปิกการเข้าพักในเกตส์ เฮาส์ หรือโรงแรมเล็กๆ หมดสิทธิเนื่องจากพวกเขาขอรับเฉพาะชาวจีน เราจึงต้องลงทุนไปพักโรงแรมระดับ 3-4 ดาว และเผอิญโชคดีได้เช็คอินที่ Best Western Longmen Hotel Shanghai ซึ่งได้รับการบอกต่อมา เมื่อเทียบราคา 448 หยวน (ราวสองพันเศษ) กับความสะอาดโปร่งสบายและมาตรฐานห้องตามเรต 4 ดาว คุ้มค่าประทับใจจนต้องบอกต่อกันไป ที่สำคัญท่านสามารถเดินเท้า 10 นาทีไปยังสถานีรถไฟเซียงไฮ้ เพื่อต่อรถธรรมดาหรือเจ้ารถไฟหัวจรวด (CRH) ได้ทันที
ว่าถึงรถไฟความเร็วสูง (Railway High-speed) ผมคุ้นชื่อบ้างกับ “ชินคันเซน” ของญี่ปุ่นแต่ไม่เคยเดินทางไปสัมผัสด้วยตนเอง ทว่าการมาทำงานในจีนทำให้ผมได้ลองขึ้นเจ้า CRH เที่ยวกลับไปสู่ปักกิ่ง ซึ่งตลอดระยะเวลาราว 10 ชั่วโมงในการเดินทาง ถามว่าประทับใจหรือไม่ คำตอบของผมคือก็โอเคในระดับหนึ่ง หากเทียบกับเที่ยวมาด้วยรถไฟแอร์ตู้นอนธรรมดา
นอกจากขายความเร็วระดับที่สามารถเร่งเครื่องได้ถึง 240-265 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความสะอาดของห้องน้ำรถไฟที่ใครหลายคนหวาดหวั่น CRH จัดว่าเข้าได้สบายใจขึ้น อีกทั้งยังมีโบกี้ให้บริการอาหารและเครื่องดื่มให้ซื้อรับประทานกันบนเครื่อง ซึ่งก็ขอชื่นชมจีน ในความพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ทันสมัย นำความสะดวกสบายมาสู่ประชาชนในราคา 400-500 หยวน แต่ CRH ก็ทำให้ผมแทบไม่ได้นอนพักผ่อน และเชื่อแล้วว่าคนจีนคุยกันโขมงโฉงเฉงจริงๆ จนผมนึกว่าตัวเองอยู่ในตลาดสดเคลื่อนที่อย่างไรอย่างนั้น