“ดิ โอเพ่น” การแข่งขันกอล์ฟเมเจอร์รายการเก่าแก่ที่สุดของวงการสวิงจะระเบิดศึกอย่างเป็นทางการขึ้นระหว่างวันที่ 17- 20 กรกฎาคม 51 โดยปีนี้สนามประลองของเหล่าโปรจากทั่วโลกอยู่ที่รอยัล เบิร์กเดล บนเกาะอังกฤษ แต่การแข่งขันครั้งที่ 137 ดูเหมือนจะต้องเริ่มต้นด้วยความกังวลของฝ่ายจัดการแข่งขันเมื่อแฟร์เวย์ในปีนี้ต้องไร้เงาโปรหมายเลขหนึ่งโลกอย่าง “ไทเกอร์ วู้ดส์” ที่ประกาศหยุดพักยาวตลอดฤดูกาลที่เหลือเพื่อพักรักษาอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า
บทความจากสื่อในและนอกประเทศอังกฤษหลายฉบับกล่าวถึงการแข่งขันที่ขาดวู้ดส์ ว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สนามแข่งรอยัล เบิร์กเดล ปีนี้ไม่สมบูรณ์แบบเพราะถึงจะมีนักกอล์ฟชื่อดังอย่าง ฟิล มิคเคลสัน เออร์นี่ย์ เอลส์ หรือ เซอร์จิโอ การ์เซีย รวมไปถึงแชมป์เก่าอย่าง พาเดรก แฮร์ริงตัน ลงสนามแข่งกันอย่างพร้อมเพรียงแต่ดูเหมือนว่าชื่อของโปรเหล่านี้รวมกันยังไม่สามารถเรียกความสนใจได้เท่ากับการมีไทเกอร์ วู้ดส์ ลงสนามร่วมทำการแข่งขันเพียงแค่คนเดียว
การวิเคราะห์ของสื่อในอังกฤษนั้นนับว่าไม่เกินจากความเป็นจริงไปสักเท่าใดนักเพราะตลอดระยะเวลาที่วู้ดส์ ลงสนามทำการแข่งขันในศึกเมเจอร์รายการนี้ มีผู้ชมทั้งขาประจำและขาจรคอยติดตามเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อมูลค่าของทัวร์นาเม้นท์ที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี
สำหรับการแข่งขันครั้งที่ 134 เมื่อไร้เงาของโปรหมายเลขหนึ่งโลกคณะกรรมการจัดการแข่งขันเองก็ออกอาการหนาวๆร้อนๆไม่น้อย แม้จะมั่นใจในมนต์เสน่ห์ ของทัวร์นาเมนท์ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน แต่บนสนามที่ขาดซูเปอร์สตาร์ ย่อมทำให้แฟนอีกกลุ่มหนึ่งลดจำนวนลงไป ดังเช่นรายการ เอทีแอนด์อี เนชั่นแนล ซึ่งแข่งขันกันที่กรุงวอชิงตัน ดี ซี ซึ่งทำการแข่งขันเมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาจำนวนผู้ชมนั้นลดลงถึง 40 เปอร์เซนต์ หากวัดจากปีที่แล้วซึ่งมี วู้ดส์ ลงสนามทำการแข่งขันด้วย
นอกจากจำนวนผู้ชมแล้วดูเหมือนว่าการวัดเรตติ้งทางโทรทัศน์ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นไปในกระแสเดียวกันกับเหตุการณ์ใน เมื่อผลการวัดเรตติ้งผ่านการถ่ายทอดสดจากรายการ เอทีแอนด์ที ลดระดับผู้ชมลงมาจาก 45 ไปอยู่ที่ 42 เปอร์เซนต์ ขณะเดียวกันตัวเลขยอดผู้ชมการถ่ายทอดสดรอบสุดท้ายของการแข่งขันรายการ “บูอิค โอเพ่น” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรายการที่วู้ดส์ ไม่สามารถเข้าร่วมรายการได้ก็มียอดผู้ชมลดจำนวนลงกว่าในปี 2006 และ 2007
ทั้งนี้ประธานจัดการแข่งขันบูอิค โอเพ่น “รอบบ์ แกรนเกอร์” กล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งวู้ดส์ ประกาศไม่ลงสนามล่วงหน้าก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มต้นเพียง 8 วันว่าเป็นฝันร้ายของผู้จัดการแข่งขันเลยทีเดียวเพราะทีมงานได้ทำการโปรโมท โดยเอาวู้ดส์ เป็นจุดขายโดยมีใบหน้าของโปรหมายเลขหนึ่งโลกปรากฏอยู่ทั่วทั้งเมืองดีทรอยต์ และเมื่อ วู้ดส์ ออกปากปฏิเสธไม่ลงสนามเพียงหนึ่งสัปดาห์ก่อนการแข่งขันจะเริ่ม ทีมงานก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ทันแล้วที่สำคัญการถอนตัวของวู้ดส์ ยังทำให้จำนวนผู้เข้าชมลดลงทันที 20-30 เปอร์เซนต์
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ แกรนเกอร์ ออกปากให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างๆว่า "วู้ดส์ เป็นนักกอล์ฟที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเขาไม่สามารถลงทำการแข่งขันได้ทัวร์นาเม้นท์ที่เขาเคยตอบรับก็แทบจะหมดค่าไปในทันที ปัญหานี้ถ้าต้องการแก้ไขในระยะยาวคงต้องหากซูเปอร์สตาร์ ที่สามารถเรียกคนดูได้ในระดับเดียวหรือใกล้เคียงกับวู้ดส์ ขึ้นมาไว้ทดแทน”
นอกจากความคิดเห็นของ “รอบบ์ แกรนเกอร์" แล้ว ผู้อำนวยการฝ่ายการแข่งขันของ บีเอ็มดับเบิ้ลยู แชมเปี้ยนชิป จอห์น คาซ์คอฟสกี้ ได้ประมาณมูลค่าความเสียหายในทัวร์นาเม้นท์ของตนซึ่ง วู้ดส์ ไม่สามารถเข้าร่วมได้ว่าต้องสูญเสียรายได้ถึง 500,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 15 ล้านบาท) อันหมายถึงบัตรเข้าชมและของที่ระลึกในการแข่งขัน และถ้าเอาตัวเลขดังกล่าวมาคำนวณความเสียหายแบบคร่าวๆจากทัวร์นาเม้นท์ที่วู้ดส์ลงสนามไปเพียง 6 รายการขณะที่ฤดูกาลก่อนเล่นไปทั้งหมด 16 รายการ ถ้าใช้ตัวเลขดังกล่าวจะเห็นภาพว่าจบฤดูกาล 2008 วงการกอล์ฟในสหรัฐฯต้องสูญเสียรายได้จากนักกอล์ฟเพียงรายเดียวอย่างน้อย 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียว
ทั้งนี้ คาชคอฟสกี้ ได้เปรียบเทียบความน่าสนใจของการแข่งขันเมเจอร์ยูเอส โอเพ่น และ ดิ โอเพ่น ในครั้งนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า "ในยูเอส โอเพ่น นั้นวู้ดส์ สามารถเดินทางไปถึงชัยชนะได้สำเร็จ และเป็นการแข่งขันที่เต็มไปด้วยความเร้าใจทำให้มีผู้ชมจำนวนมากเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่การแข่งขันดิ โอเพ่น ซึ่งกำลังจะเริ่มต้นในวันพฤหัสที่ 17 กรกฎาคม 51 สนาม รอยัล เบิร์กเดล โดยไร้เงา ไทเกอร์ วู้ดส์และถึงแม้ชื่อชั้นของรายการจะเรียกคนได้ในระดับหนึ่งแต่เมื่อขาดซูเปอร์สตาร์ ก็มีความเป็นไปได้ว่าตัวเลขที่ของแฟนกอล์ฟในรายการนี้อาจเทียบไม่ได้กับ ยูเอส โอเพ่นที่ผ่านมา