ศึกยูโร 2008 เดินทางมาถึงรอบชิงชนะเลิศอย่างรวดเร็ว ซึ่งนับจากวันแรกของการแข่งขันจนถึงวันนี้มีเหตุการณ์ที่สร้างอารมณ์ร่วมให้กับคอบอลเกิดขึ้นมากมายบนเวทีลูกหนังชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปที่ออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์ ชนิดที่เรียกว่าครบทุกรสชาติเลยทีเดียว และนี่คือไฮไลท์สำคัญในช่วงตลอด 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
น้ำตาของ “ฟราย” และการดับสูญของเจ้าภาพ
ภาพที่ อเล็กซานเดอร์ ฟราย ดาวยิงกัปตันทีมสวิตเซอร์แลนด์เจ็บเข่าซ้ายจนต้องเดินกะเผลกออกจากสังเวียนในช่วงท้ายครึ่งแรกของนัดเปิดสนามชนิดน้ำตานองหน้ากลายเป็นลางร้ายที่บ่งบอกว่าเจ้าภาพจะไปไม่ถึงดวงดาว และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อขุนพลแดนนาฬิกาปราชัยหมดทั้ง 2 เกมแรก ขณะที่ ออสเตรีย แม้จะมีลมหายใจถึงนัดสุดท้ายของรอบแรก แต่ก็พ่ายความเจนจัดของ เยอรมนีส่งผลให้ศึกยูโรครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ไม่มีชื่อของชาติเจ้าภาพในรอบน็อกเอาต์
“ดาวิด บีญ่า” แฮตทริก-ฮีโร่
ขุนพลกระทิงหนุ่มของกุนซือขรัวเฒ่า หลุยส์ อราโกเนส เปิดฉากอย่างเร้าใจในรายการชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปครั้งนี้ โดยอาศัยการสวนกลับที่ทรงประสิทธิภาพไล่ต้อน รัสเซีย อย่างเหนือชั้น 4-1 ซึ่ง ดาวิด บีญ่า หัวหอกจอมเทคนิคเหมาซัดคนเดียว 3 ลูก ทำแฮตทริกแรกของศึกยูโรครั้งนี้ และเป็นแฮตทริกแรกในรอบ 8 ปีนับจาก พาทริค ไคลเวิร์ต ดาวยิงฮอลแลนด์เคยทำไว้เมื่อปี 2000 นอกจากนั้นยังเป็นแฮตทริกครั้งที่ 8 ในประวัติศาสตร์ของการแข่งขันอีกด้วย
ประตูปริศนา ล้ำหรือไม่ล้ำ?
บิ๊กแมตช์ระดับ 5 ดาวของกรุ๊ป ออฟ เดธ ระว่าง ฮอลแลนด์ กับ อิตาลี เกิดข้อถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในจังหวะยิงประตู 1-0 ของ รุด ฟาน นิสเตลรอย ดาวยิงอัศวินสีส้มซึ่งอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าอย่างชัดเจน แต่ผู้ตัดสิน ปีเตอร์ ฟรอจ์ดเฟลด์ท เป่าให้เป็นประตู เนื่องจากมองว่า คริสเตียน ปานุชชี่ กองหลังอิตาลีที่นอนเจ็บอยู่นอกเส้นหลังสนามยังมีส่วนร่วมกับเกมอยู่ ก่อนที่ขุนพลดัตช์แมนจะถล่มอัซซูรี่กระเจิง 3-0 ซึ่งหลังจากนั้นทั้งคู่ก็กอดคอผ่านรอบแบ่งกลุ่มไปได้ก่อนจะยุติเส้นทางเอาไว้ที่รอบก่อนรองชนะเลิศเหมือนกัน
การเกิดใหม่ของ “คลาสนิช”
นับเป็นผู้เล่นที่น่ายกย่องในเรื่องหัวจิตหัวใจอย่างยิ่งสำหรับกองหน้าทีมชาติโครเอเชียผู้นี้ที่เกือบจะไม่ได้กลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้ง หลังเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนไตถึง 2 หนเมื่อปีที่ผ่านมา โดยในครั้งแรกร่างกายปฏิเสธไตที่มารดาบริจาคมาให้ด้วย ทว่าในเกมสุดท้ายของรอบแรกกับ โปแลนด์ “หมากรุก” ซึ่งลอยลำไปแล้วเปิดโอกาสให้ตัวสำรองลงสนามบ้าง และ คลาสนิช ก็ไม่ทำให้ผิดหวังจัดการสังหารประตูชัยให้กับโครแอต ซึ่งหลังเกมเขากล่าวด้วยความปลื้มปีติว่า “รู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่และภูมิใจที่กลับมาเล่นฟุตบอลได้อีกครั้ง”
“เติร์กสปิริต” ไม่ยอมแพ้จนวินาทีสุดท้าย
ปาฏิหาริย์ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นง่ายๆ แต่ ตุรกี สามารถทำให้มันเป็นจริงได้ถึง 3 ครั้งในทัวร์นาเมนต์นี้ เริ่มจากเบียด สวิตเซอร์แลนด์ คว้าชัย 2-1 ในช่วงทดเจ็บ ตามด้วยการใช้เวลาช่วง 15 นาทีสุดท้าย พลิกจากตามหลัง สาธารณรัฐเช็ก 2 ประตูแซงเอาชนะแบบไม่น่าเชื่อ 3-2 กรุยทางเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายมาเจอกับ โครเอเชีย ซึ่งเหลืออีกไม่กี่วินาทีหมากรุกก็จะได้เข้าไปย้ำแค้น เยอรมนี ในรอบตัดเชือกอยู่แล้ว หากไม่เจอทีเด็ดของ เซมิห์ เซนเติร์ก ยิงตีเสมอเสียก่อน ก่อนที่ไก่งวงจะซัดจุดโทษแม่นกว่าผ่านเข้ารอบไปแทน แม้จะถูกอินทรีเหล็กเบรกไม่ให้ทะลุไปถึงรอบชิงชนะเลิศ แต่สปิริตที่นักเตะของ ฟาติห์ เตริม แสดงออกมาก็สมควรได้รับการยกย่องแล้ว
กองทัพสีส้มยึดเมืองบาเซิล
กองเชียร์ ฮอลแลนด์ ขึ้นชื่อลือชาว่าไปที่ไหนก็สร้างสีสันความประทับใจให้กับทุกการแข่งขัน ซึ่งก่อนเกมรอบควอเตอร์ไฟนัลกับ รัสเซีย จะเริ่มขึ้น เมืองบาเซิลในสวิตเซอร์แลนด์อันเป็นสังเวียนแข้งของแมตช์นี้ก็ถูกระบายเป็นสีส้ม เมื่อสาวก “ออรันเย่” กว่า 90,000 คน หลั่งไหลเข้ามายึดพื้นที่เพื่อให้กำลังใจทีมรักอย่างใกล้ชิด หลังจากโชว์ฟอร์มจัดจ้านเกินใครในรอบแรก
ปรมาจารย์แท็กติก “กุส ฮิดดิงค์”
อย่างไรก็ตาม 20 ปีแห่งการรอคอยถ้วยรางวัลระดับนานาชาติของกองทัพอัศวินสีส้มยังคงถูกยืดเยื้อออกไปอีก เมื่อถูกม้ามืดอย่าง รัสเซีย สยบความร้อนแรงเอาไว้ได้แบบอยู่หมัด ซึ่งทัพลูกหนังหมีขาวได้ปรมาจารย์แท็กติกอย่าง กุส ฮิดดิงค์ ยอดโค้ชชาวดัตช์วางแผนการเล่นอย่างเหนือชั้นด้วยการสั่งให้เข้าบีบพื้นที่คู่แข่งเร็วและอาศัยเกมรุกที่ฉับไวเล่นงานจนลูกทีมของ มาร์โก แวน บาสเท่น ถึงกับไปไม่เป็น ก่อนผงาดเข้ารอบรองชนะเลิศได้อย่างสง่าผ่าเผย
เวทีผลัดใบ เก่าไป-ใหม่มา
ยูโร 2008 ถือเป็นเวทีอำลาทีมชาติแบบกร่อยๆ ของบรรดานักฟุตบอลอาวุโส อาทิ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ นายทวารหุ่นยีราฟที่ประกาศล่วงหน้าว่าจะหันหลังให้ ฮอลแลนด์ ทันทีที่จบรายการนี้ ขณะที่ ลิลิยอง ตูราม กับ โคล้ด มาเกเลเล่ แข้งจอมเก๋าของ ฝรั่งเศส ก็ถึงเวลาให้สายเลือดใหม่ก้าวขึ้นมาทดแทนในอนาคต เช่นเดียวกับ โรเบิร์ต โควัช ปราการหลังโครเอเชีย ทว่าถึงดาวดวงเก่าจะร่วงโรยไป แต่คลื่นลูกใหม่อย่าง ลูก้า โมดริช, อังเดร อาร์ชาวิน, เวสลีย์ ชไนจ์เดอร์ และอีกหลายรายก็เติบโตขึ้นมาแทนตามวัฎจักรโลกลูกหนัง