เสร็จสิ้นไปแล้วสำหรับภารกิจตะลุย ยูโร 2008 ของผมกับ เด็กปั๊ม ในเกมกลุ่ม ดี ที่ สเปน เฉือนชนะ กรีซ 2-1 ท่ามกลางบรรยากาศสุดคึกคัก แม้จะเป็นเกมที่ไร้ความหมาย แต่กองเชียร์ทั้งสองฝั่งหลังประตูส่งเสียงรุกรับกันตลอดทั้งแมตช์แบบที่ไม่มีใครยอมอ่อนให้ใคร
หลังจบเกมความฝันตะลุยสถานบันเทิงใน ซัลบวร์ก ต้องพังทลาย เพราะการเดินทางยากลำบากห่างจากใจกลางเมือง 4 กิโลเมตร บวกกับเวลาที่เกือบ 5 ทุ่ม เราจึงตัดสินใจกลับไปที่แฟนแคมป์ เพราะถึงคิวอัพเดตบล็อกของ เด็กปั๊ม แบตเตอรีคอมพิวเตอร์ก็จะหมด ปลั๊กต่อก็ไม่มี สุดท้ายก็่ผ่านพ้นมาได้จากการประสานกันอย่างรู้ใจ แต่หลังจากนั้นก็แทบไม่มีแรงจะทำอะไรต่อกันแล้ว เพราะคนก็ถ่านหมดเป็นเหมือนกัน
ครั้นกำลังจะเข้าไปซุกหัวนอนก็มีอันต้องกล้าๆ กลัวๆ สภาพของ ไบค์เตอร์ โฮม ที่ ซูริค ว่าหนักแล้ว เรามาเจอ แฟนแคมป์ ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ คล้ายคอนเวนชันฮอลล์เอาฉากมากั้นซอยเป็นห้องๆ หนึ่งมี 8 เตียงผ้าใบแบบบ้านเราวางเรียงรายอยู่ ลักษณะคล้ายเต็นท์พยาบาลเวลาดูแลคนเจ็บจากสงครามโลก แถมห้องน้ำรวมคอบอลแก้ผ้าอาบน้ำกันโครมๆ
แฟนบอลเมืองนอกมีการเตรียมพร้อมเอาไว้อย่างดีที่เราเห็นแบกเป้เดินกันหลังงอเพราะมีครบทั้งผ้าห่ม, ผ้าเช็ดตัว และสิ่งที่จะเอามาหนุนหัวนอน ผิดกับผมและเจ้าปั๊ม ที่สภาพไม่ได้อาบน้ำแปรงฟัน นอนขดตัวงอเป็นกุ้ง เพราะสภาพความหนาวเหน็บ ก่อนนอนเราเอาเต็นท์สองอันมาตั้งเป็นป้อมปราการประมาณว่าหากมีผู้คิดร้ายเข้ามาก็ต้องมีเสียงดังโครมคราให้สะดุ้งตื่นรู้ตัวก่อน ทำให้เพื่อความอุ่นใจพร้อมหลับไปแบบเอากระเป๋าหนุนหัว ผ้าปิดหน้าและใช้เสื้อห่มนอน
รุ่งขึ้นเราต้องกลับไปที่ ซูริค ด้วยรถไฟกำหนดการเวลาบ่ายสองเศษ มีเวลาเหลือเฝือเลยนั่งรถบัสเข้าไปในเมืองเก่าของ ออสเตรีย ใกล้ๆ กับที่ตั้งแฟนโซน รวมถึงบ้านของโมสาร์ท และถนนช็อปปิ้งเหมือนประมาณตลาดนัดบ้านเรา เดินไปก็เจอแต่หน้าคีตกวีเอกของโลกไปอยู่บนช็อคโกแลต, น้ำหอม และ กล่องดนตรี อะไรอีกสารพัด แต่สถานที่สุดฮิตคือบ้านโมสาร์ทเราไม่เข้าไปเพราะเสียค่าเข้า 6 ยูโร (ประมาณ 300 บาท) ส่วนตัวแล้วก็ไม่ได้ปลื้มและไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องนี้สักเท่าไหร่
วิถีชีวิตของที่ ออสเตรีย ไม่ต่างจากจาก ซูริค มากนัก แต่ตลอดสองข้างทางเห็นการใช้รถจักรยานเป็นพาหนะคู่ใจ ส่วนคุณครูก็นิยมพาลูกศิษย์มาทัศนศึกษามากมาย เราเดินกันไม่ถึง 2 ชั่วโมงก็ออกอาการล้าเนื่องจากสภาพอากาศร้อนมีแดดเปรี้ยง ทำให้เสียพลังงานมากเป็นพิเศษ จึงตัดสินใจไปที่สถานีเพื่อหาขนมปังยัดลงท้องเป็นมื้อเช้าก่อนรถไฟมา
พอรถไฟจาก ซัลบวร์ก ใกล้ถึง มิวนิค เราก็ลุ้นเพราะต้องไปต่อรถให้ทันในเวลา 16.32น. ซึ่งก็เฉียดฉิวแต่เล่นเอาวิ่งกันหอบแฮ่กๆ ประมาณวิ่งแย่งกันเปลี่ยนสถานีแบบที่รถไฟฟ้าสยามบ้านเรา แต่คนเยอะกว่าแถมระยะทางใกล้กว่า ด้วยมื้อเช้าที่ไม่อยู่ท้อง เจ้าปั๊ม ก็หยิบขนมปังแฮมที่กะว่าจะเป็นมื้อเย็นยัดลงท้องทันที ถือเป็นอันที่ 3 มาเขมือบเข้าไปไม่มีเหลือพร้อมหลับยาวทันที
แต่เราก็หน้าแตกในรถไฟสายจาก มิวนิค ที่จะไป ซูริค เพราะตั๋วบอล ยูโร สามารถเดินทางได้แค่สองที่เท่านั้นคือ สวิตเซอร์แลนด์ และ ออสเตรีย แต่ เยอรมัน คือเป็นประเทศที่ 3 ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง จึงต้องจ่ายตังค์เพิ่มอีกราว 120 ฟรังซ์สวิส (ประมาณ 3,600 บาท) เป็นค่ารถ ตอนแรกเราก็กลัวจะโดนค่าปรับเป็นพันเพราะในกฎมีระบุไว้เกี่ยวกับการไม่จ่ายค่าตั๋ว โชคดีที่นายตั๋วใจดีเอาแค่ค่าเดินทางเท่านั้น ถือเป็นประสบการณ์สำคัญที่ต้องเอาไว้เป็นบนเรียนสำหรับเรื่องแบบเส้นผมบังภูเขาเช่นนี้
แม้ท้องฟ้าที่ ซูริค จะยังไม่มืด แต่เมื่อมองดูนาฬิกาเวลาปาเข้าไป 3 ทุ่มกว่า ผมกับเด็กปั๊ม กลับไปที่พัก ไบค์เตอร์ โฮม ซึ่งมีเจ้าของเป็นทหารวัยรุ่นเคยไปรบมาแล้ว เพื่อดูเกม เยอรมนี งัดฟอร์มเอาชนะ โปรตุเกส สุดมัน 3-2 ก่อนเก็บข้าวของเพื่อเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น