xs
xsm
sm
md
lg

ตรายูเอ็ฟฟา ตราแห่งเกียรติยศ / กษิติ กมลนาวิน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คอลัมน์ EYE ON SPORTS โดย กษิติ กมลนาวิน

ดึกคืนนี้ เราคงทราบกันแล้วว่า คู่ชิงชนะเลิศฟุตบอล ยูเอ็ฟฟา แชมเปียนส์ ลีก 2008 จะเป็นทีมจากเกาะอังกฤษชิงกันเอง หรือชิงกับทีมจากสเปน ไม่ว่าจะเป็นใคร นัดชิงชนะเลิศในวันที่ 21 พฤษภาคม ที่ลุชนิกี สเตเดียม ในกรุงมอสโคว์ ประเทศรัสเซีย สนุกและสมศักดิ์ศรีทั้งนั้น

ใครคว้าแชมป์รายการนี้ ก็จะได้รับถ้วยที่เรียกว่า เดอะ โทรฟี ( The Trophy ) เป็นรางวัล แต่ไม่ได้เป็นกรรมสิทธิ์ตลอดไป โดยทางสโมสรแชมป์จะมีโอกาสนำไปตั้งแสดงที่สโมสรของตน หรือนำไปออกงานต่างๆให้แฟนบอลได้ชื่นชมเป็นระยะเวลา 1 ฤดูกาล จากชัยชนะเพียงแค่แชมป์ครั้งเดียว ยูเอ็ฟฟา ไม่อยากให้ใครบังอาจได้ครอบครองเป็นกรรมสิทธิ์ตลอดไป เขามีกฎออกมาว่า ทางสโมสรแชมป์ต้องส่งถ้วยคืนให้ที่สำนักงานใหญ่ ยูเอ็ฟฟา 2 เดือนก่อนวันชิงชนะเลิศของฤดูกาลถัดไป ทั้งนี้ ยูเอ็ฟฟา จะทำถ้วยจำลองใบใหม่ที่มีขนาดเล็กกว่านิดหน่อยให้เป็นกรรมสิทธิ์แทน และถ้าทีมแชมป์จะทำถ้วยจำลองเองก็ย่อมได้ แต่มีข้อแม้ว่า ต้องมีขนาดไม่เกิน 80 เปอร์เซนต์ของถ้วยใบจริง นอกจากนั้น ยังต้องเขียนกำกับให้ชัดเจนด้วยว่าเป็นถ้วยจำลอง

เดอะ โทรฟี จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของสโมสรใดนั้น ทีมนั้นก็ต้องเก่งถึงขนาดคว้าแชมป์ได้ 3 สมัยซ้อน หรือถ้าเป็นแชมป์อย่างไม่ติดต่อกัน แต่รวมแล้วได้ถึง 5 สมัย อันนี้ ยูเอ็ฟฟายอมครับ ในขณะเดียวกัน ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของชัยชนะ 3 สมัยซ้อนหรือได้แชมป์ครบ 5 ครั้ง ที่ ยูเอ็ฟฟา ริเริ่มขึ้นตั้งแต่ฤดูกาล 2000-2001 นั่นคือ ตราแห่งเกียรติยศ หรือที่ฝรั่งเรียกว่า “ เดอะ แบ็ดจ์ อ็อฟ ออเนอร์ ” ( The badge of honour )

ตราแห่งเกียรติยศดังกล่าว เป็นรูปวงรีแนวตั้ง สีน้ำเงิน ภายในมีรูป เดอะ โทรฟี สีขาวและตัวเลขจำนวนครั้งที่ได้แชมป์อยู่เหนือถ้วย เขาจะติดตรานี้ไว้ที่แขนเสื้อด้านซ้ายของผู้เล่น ซึ่งการคว้าแชมป์ 3 สมัยติดต่อกัน หรือแม้ไม่ได้ติดต่อกัน แต่เก็บสะสมได้ครบ 5 ครั้งนั้น จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มี 5 สโมสรที่ทำได้คือ เรอัล มาดริด อายอักซ์ อัมสเตอร์ดัม บาแยร์น มิวนิค เอซี มีลาน และลิเวอร์พูล

เรอัล มาดริดนั้น เอาตั้งแต่ฤดูกาล 1955-1956 ที่เริ่มมีการแข่งขันชิงถ้วยใบใหญ่สุดของทวีปยุโรปเป็นครั้งแรก ก็คว้าแชมป์อย่างต่อเนื่องถึง 5 ปีซ้อน และมาได้อีกครั้งในปี 1966 แล้วจึงค่อยมีการมอบถ้วยเป็นกรรมสิทธิ์ในปี 1967 ซึ่งต่อมา ราชัน ชุดขาว ก็ยังคว้าแชมป์ได้อีกในปี 1998, 2000 และ 2002 รวม 9 สมัย ดังนั้น ในตราแห่งเกียรติยศ เหนือรูปเดอะ โทรฟี ก็จะมีเลข 9

ในยุคปี 70 ช่วงนั้นเป็นยุครุ่งเรืองของทีมจากฮอลแลนด์ กับ เยอรมนี โดย ปี 1973 อายอักซ์ อัมสเตอร์ดัม ได้แชมป์เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ก็ทำให้ได้รับเกียรติครองกรรมสิทธิ์ เดอะ โทรฟี และปี 1995 ยังมาได้แชมป์อีกครั้ง จึงได้ใส่เลข 4 ลงไปในตราแห่งเกียรติยศ ส่วน บาแยร์น มิวนิค ก็ครองแชมป์ 3 สมัยรวด ต่อจาก อายอักซ์ คือปี 1974, 1975 และ 1976 รวมทั้งในปี 2001 ด้วย นี่ก็เลข 4 เช่นกัน

เอซี มีลาน ของ ซิลวิโอ แบร์ลุซโกนี ซึ่งคว้าแชมป์มาแล้วในปี 1963 กับ 1969 และอีก 2 สมัยติดกันในปี 1989 และ 1990 เกือบได้แชมป์ 3 ปีซ้อนเหมือน อายอักซ์ กับ บาแยร์น แต่ปี 1991 ดันไปแพ้ โอแล็งปิก มาร์แซย ตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายซะก่อน อย่างไรก็ตาม ในปี 1994 นัดชิงชนะเลิศ เอซี มีลาน ถล่ม บาร์เซโลนา เละเทะ 4-0 ทำให้เก็บแชมป์ได้ครบ 5 สมัย ปิศาจแดงดำ รอสโซเนรีจึงได้ครอง เดอะ โทรฟี เป็นกรรมสิทธิ์ และหลังจากนั้น ก็ยังมาได้แชมป์อีกในปี 2003 กับ 2007 รวมแชมป์ 7 สมัยมีหมายเลข 7 อยู่ในตราแห่งเกียรติยศ

ทีมสุดท้ายคือ ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่ได้แชมป์ถ้วยใหญ่ของทวีปยุโรปใบนี้มากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับทีมจากเกาะอังกฤษด้วยกัน ลิเวอร์พูลเริ่มคว้าแชมป์ครั้งแรกในปี 1977 และปีรุ่งขึ้น 1978 ก็ได้แชมป์เป็นหนที่ 2 ก็หวังอยู่เหมือนกันที่จะคว้าแชมป์ 3 สมัยรวด แต่พอเริ่มการแข่งขันฤดูกาล 1978-1979 ลิเวอร์พูล โดน น็อตติงแฮม ฟอเรสท์ สอยร่วงตั้งแต่รอบแรกทำให้พลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย และปีนั้น ฟอเรสท์ ทะลุไปถึงแชมป์เลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ได้อีกในปี 1981, 1984 และ 2005 ทำให้เก็บแชมป์ได้ครบ 5 ครั้ง ได้เจ้าถ้วยหูโต ( Old Big Ears หรือ Cup with the big ears) ไปครองเป็นกรรมสิทธิ์ แถมมีเลข 5 บ่งบอกจำนวนแชมป์อยู่ในตราแห่งเกียรติยศ

นับตั้งแต่มีการแข่งขันฟุตบอลถ้วยยุโรปใบใหญ่นี้ในปี 1955 มีเพียง 2 หนเท่านั้นที่ สโมสรชาติเดียวกันโคจรมาพบกันเองในนัดชิงชนะเลิศ นั่นก็คือ ปี 2000 เป็น 2 ทีมจากสเปน ปีนั้น เรอัล มาดริด ถล่ม บาเลนเซีย ไป 3-0 และในปี 2003 เป็น 2 ทีมจากอิตาลี เอซี มีลาน ชนะ ยูเวนตุสด้วยการดวลจุดโทษ ปี 2008 น่าจะถึงคิวของ 2 ทีมจากอังกฤษแล้วกระมัง
กำลังโหลดความคิดเห็น