คุณลุงวิโรจน์ ตั้งเมตตาจิตตกุล วัย 54 ปี นักวิ่งสมัครเล่น หนึ่งในประชาชนผู้เข้าร่วมในการวิ่งคบเพลิงโอลิมปิก 2008 ในประเทศไทย และเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่วิ่งจนครบระยะทาง 10.5 กิโลเมตร ทั้งที่ตัวเองป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองกว่า 7 ปี
การวิ่งคบเพลิงโอลิมปิกในประเทศไทย ผ่านพ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา โดยขบวนคบเพลิงเริ่มเคลื่อนตัวออกจากซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ วงเวียนโอเดียน จนกระทั่งถึงจุดสุดท้ายที่ลานพระราชวังดุสิต พระบรมรูปทรงม้า รวมระยะทางทั้งหมด 10.5 กิโลเมตร โดยมีนักวิ่งที่ได้รับการคัดเลือกทั้งหมด 80 คน เฉลี่ยวิ่งคนละประมาณ 130 เมตร
แต่มีชาย (ไม่หนุ่ม) รายหนึ่งที่เริ่มออกวิ่งตั้งแต่จุดสตาร์ทจนกระทั่งถึงเส้นชัยโดยไม่ได้หยุดพักแม้แต่นาทีเดียว พร้อมกับถือคบเพลิงกระดาษเอาไว้ในมือตลอดระยะเวลากว่า 10 กิโลเมตร ราวกับเป็นนักวิ่งไฟโอลิมปิกคนที่ 81 ของเมืองไทย
ชายคนนี้มีนามว่า คุณลุงวิโรจน์ ตั้งเมตตาจิตตกุล อายุ 54 ปี มีอาชีพค้าปลีกน้ำตาล อยู่ที่วงเวียน 22 กรกฎา และเป็นนักวิ่งสมัครเล่น อยู่ชมรมรุ่งอรุณ 632 โดยคุณลุงวิโรจน์บอกว่า ปกติวิ่งอยู่ที่สวนลุมเป็นประจำอยู่แล้ว สัปดาห์ละ 3-4 วัน วันละ 3-4 รอบ เวลาตี 5 ก่อนจะกลับบ้านทำงานต่อ
ชายวัย 54 ขวบยังกล่าวหลังการวิ่งคบเพลิงโอลิมปิกจบสดๆร้อนๆ ด้วยสีหน้าที่ยังสดชื่นว่า “รู้สึกสบายๆ ยังไม่เหนื่อยเท่าไหร่ แต่ถ้าหากคนที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนก็คงไม่ไหวเหมือนกัน แถมวันนี้อากาศร้อน ทำให้เปลืองพลังงาน ยังดีที่ไม่ได้วิ่งเร็วมากเพราะตามขบวนวิ่งมา”
คุณลุงชาวไทยเชื้อสายจีนยังพูดถึงการวิ่งคบเพลิงโอลิมปิกในเมืองไทยด้วยว่า “ถือว่าจีนให้เกียรติประเทศไทยได้เป็นหนึ่งในชาติที่ได้วิ่งคบเพลิงโอลิมปิก เมืองไทยเป็นเมืองที่สงบไม่มีปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ จะมีก็แต่ปัญหาภายใน จึงไม่ค่อยมีเหตุการณ์ประท้วงรุนแรงนัก ซึ่งความจริงฝั่งยุโรป และอเมริกา ไม่น่าต่อต้านการวิ่งคบเพลิงโอลิมปิก เพราะนี่เป็นกีฬาเพื่อสันติภาพ ไม่ควรมีการเมืองเข้ามายุ่งเกี่ยว”
ทั้งนี้ ก่อนจะมาเป็นนักวิ่ง คุณลุงวิโรจน์เคยเล่นกีฬาฟันดาบสากล เอเป้ สมัยเรียนอยู่ปี 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ด้วยอุปกรณ์ที่ค่อนข้างแพงรวมทั้งไม่มีสังเวียนให้แข่งขันทำให้ต้องเลิกเล่นไปในที่สุด ก่อนจะหันมาเอาดีที่การวิ่ง “ผมเคยวิ่งครั้งแรกที่สะพานพระราม 9 ตอนนั้นยังไม่เปิดใช้ ระยะทางแค่ 10 กิโลฯ แต่ตอนนั้นใช้เวลาวิ่งถึง 1 ชั่วโมงเต็ม”
จากวันนั้นถึงวันนี้นับเป็นเวลา 22 ปี ที่คุณลุงผู้นี้ได้ชื่อว่าเป็นนักวิ่งสมัครเล่น และลงแข่งขันรายการมาราธอนมากว่า 20 ครั้ง รายการล่าสุดคือ ขอนแก่นมาราธอนนานาชาติ ที่จังหวัดขอนแก่น ช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา และการมาร่วมวิ่งไปโอลิมปิกครั้งนี้ ส่วนหนึ่งก็เพื่อฟิตซ้อมร่างกายไปในตัวก่อนจะไปแข่งในรายการ “มินิฮาล์ฟมาราธอนเขาเทวดา” ที่อุทยานแห่งชาติพุเตย อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี ในวันที่ 27 เมษายนนี้
ฟังดูอาจไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับนักวิ่งสมัครเล่นที่จะวิ่งระยะทาง 10.5 กิโลเมตร รวมทั้งการแข่งขันมาราธอนรายการต่างๆ แต่คงไม่ใช่เรื่องปกติหากจะบอกว่า คุณลุงจอมฟิตผู้นี้ป่วยเป็นโรคมะเร็งมากว่า 7 ปีแล้ว ซึ่งเจ้าตัวเผยว่า “มีโรคประจำตัวเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ระยะแรก ตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่โรคแทบไม่ส่งผลกระทบต่อผมเท่าไหร่ ขอเพียงอย่าไปเครียด อย่าไปกังวล ทำให้ร่างกาย และจิตใจแข็งแรง ให้ชีวิตมีความสุข อย่างการวิ่งนี่ก็ถือว่าช่วยได้เยอะทีเดียว”
นอกจากนี้ คุณลุงหัวใจเพชรยังทิ้งท้ายเคล็ดลับที่ช่วยให้รักการวิ่งด้วยว่า “การออกกำลังกายด้วยการวิ่ง ต้องค่อยเป็นค่อยไป อาจจะเริ่มจากการเดินไปก่อนและพัฒนาความหนักไปเรื่อยๆ อย่าไปโหมตั้งแต่แรกทั้งที่ร่างกายไม่ไหวและต้องมีความอดทนสูง ซึ่งการวิ่งอย่างถูกวิธีจะทำให้เรารักการวิ่งรักการออกกำลังกายมากขึ้น”