ศุกร์ที่ 5 มกราคม 2551 การแข่งขันแรลลี่ ลิสบอน – ดาการ์ อันเป็นเส้นทางเส้นทางหฤโหดที่ต้องข้ามความเวิ้งว้างของทะเลทรายซาฮาร่า ก่อนจะถึงเส้นชัยที่ประเทศเซเนกัล จะเป็นวันแรกที่บรรดานักขับทั้งหลายต้องสตาร์ทรถออกจากจุดเริ่มต้นในกรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส อันมีเส้นทางการแข่งขันรวมระยะทางกว่า 9,273 กิโลเมตร
ถึงเวลานี้นักขับและทีมงานจาก 50 ชาติต่างเตรียมความพร้อมกันอยู่ที่กรุงลิสบอนและหมายรวมไปถึงนักขับชาวไทย มานะ พรศิริเชิด ผู้ที่ผ่านการแข่งขันรายการนี้มาแล้วสองปีและในครั้งนี้เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเข้าสู่เส้นชัย ในสเตจสุดท้ายที่เมืองดาการ์ให้ได้
สำหรับการแข่งขันครั้งที่ 30 นี้ผู้จัดได้เปลี่ยนเส้นทางให้นักแข่งต้อผจญกับความทารุณทั้งกับสภาพอากาศและเส้นทางในทะเลทรายซาฮาร่า ถึง 7 สเตจ อีกทั้งยังเพิ่มช่วงจับเวลาพิเศษหรือ สเปเชียลสเตจให้ยาวถึง 6,000 กิโลเมตร การแข่งขันที่ต้องผ่าน 4 ประเทศใน 2 ทวีปนั้นกินเวลานานถึง 16 วัน และมีรถเข้าร่วมการแข่งขันถึง 510 คัน จาก 50 ชาติ
การแข่งขัน ดาการ์ ในช่วงหลังนั้นทีมที่ผูกปีคว้าแชมป์เห็นจะหนีไม่พ้น มิตซูบิชิ เพราะนับตั้งแต่ปี 2001 ถ้วยแชมป์แห่งทะเลทรายรายการนี้ตกอยู่ในมือนักแข่งจากมิตซูบิชิ แทบทั้งสิ้น และในดาการ์ 2008 พวกเขายังคงเป็นมือวางที่เกจิริมสนามพากันฟันธงว่าน่าจะเข้าสู่เส้นชัยได้ไม่ยากนักเพราะความแข็งแกร่งของ “ดรีมทีม” แห่งมิตซูบิชิ อันประกอบไปด้วย โรม่า, มัสซุโอกะ อัลฟองด์ และ ปีเตอร์ อองเซล นักขับเหล่านี้ต่างมีประสบการณ์และขีดความสามารถที่หานักขับรายใดทาบได้ยากยิ่ง ที่สำคัญพวกเขาต่างพร้อมที่จะเสียสละเพื่อเพื่อนร่วมทีมเมื่อมีความจำเป็น และการแข่งขันในปีนี้ทีมมิตซูบิชิใช้รถ MPR 13 ปาเจโร่ ซึ่งคงเป็นเครื่องยนต์และตัวถังเดิมเช่นเดียวกับปีที่แล้ว เหมือนกับจะเป็นการยืนยันว่าพวกเขาเชื่อมั่นในวางใจสมรรถนะเครื่องยนต์รุ่นนี้เป็นอย่างยิ่ง
แต่ก็มิใช่เรื่องง่ายสำหรับการคว้าถ้วยเจ้าแห่งทะเลทรายในปีนี้มาครอบครอง เพราะคู่แข่งที่น่ากลัวในปีนี้สำหรับปีเตอร์อองเซล และ ผองเพื่อนยังคงเป็นคู่ปรับเก่าจากปีที่แล้ว กับสองนักขับชาวเยอรมันแห่งทีม โฟล์คสวาเก้น คาร์ลอส แซงซ์ และ กิเนียล เดอ วิแยร์ส ที่ความผิดพลาดเรื่องเครื่องยนต์และอุบัติเหตุทำให้พวกเขาไปไม่ถึงฝันและปีนี้ทั้งนักแข่งและทีมต่างมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ที่จะกลับมาคว้าแชมป์ดาการ์ให้สำเร็จให้ได้
ทางด้านนักขับชาวไทยอย่าง “มานะ พรศิริเชิด” นั้นแม้จะมีต้นสังกัดเดียวกับแชมป์เก่าอย่าง ปีเตอร์ อองเซล แต่ดูเหมือนว่าคู่แข่งคนสำคัยของ “เจ้าหนึ่ง” คือตนเองเพราะนี่คือความพยายามครั้งที่สามสำหรับนักแข่งชาวไทยที่จะสร้างหน้าประวัติศาสตร์ต่อจากรุ่นพี่อย่าง พรสวรรค์ ศิริวัฒนกุล ในการเข้าถึงเส้นชัย ณ เมืองดาการ์ และทำอันดับให้ดีที่สุด
สองปีที่ผ่านมาของ มานะ บนความหฤโหดของดาการ์ นั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้เขาพยายามปรับปรุงฝีมือให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้เปลี่ยนเนเวิเกเตอร์คนใหม่มาเป็น เธียร์รี่ ลาคอมบ์ ดูจะสร้างความมั่นใจให้เป็นอย่างยิ่ง เพราะประสบการณ์ของ ลาคอมบ์ ที่ผ่านมานั้นทำหน้าที่เป็นผู้นำทางให้กับนักแข่งมาแล้วถึง 5 ปี เช่นเดียวกับรถแข่งของมานะ ที่ได้รับการปรับปรุงสมรรถนะให้ดียิ่งขึ้น และ “เจ้าหนึ่ง” ก็ได้มีส่วนร่วมในการโมดิฟายด์ เครื่องยนต์ร่วมกับทีมช่างของโรงงานด้วย
ความมั่นใจในการลงสนามเป็นปีที่สามของ มานะ พรศิริเชิด นั้นเรียกได้ว่าเต็มร้อยเพราะนอกจากเนวิเกเตอร์ คู่ใจคนใหม่และรถที่มีความแข็งแกร่งและสมรรถนะแรงกว่าเดิมแล้วการที่เขาได้ขับตามเส้นทางดาการ์เมื่อปีที่แล้วทำให้เจ้าตัวรู้ดีว่าความยากง่ายของแต่ละสเตจนั้นเป็นอย่างไรและควรวางแผนเพื่อให้ถึงดาการ์ให้สำเร็จด้วยวิธีใด
ทั้งนี้เส้นทางของการแข่งขันนั้นจะเริ่มต้นที่เมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกสเป็นสเตจแรก ถึง ปอร์ติเมา ซึ่งช่วงเริ่มต้นนี้จะเป็นการเผชิญหน้ากับเส้นทางทะเลทรายและพื้นที่ที่เป็นป่าและโขดหิน จากนั้นนักแข่งทุกรายต้องพบกับสภาพที่ยากลำบากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสเปเชี่ยลสเตจ ที่ยาวถึง 6,000 กิโลเมตร และ มาราธอน สเตจ ที่ต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากในการบังคับรถนี่ยังไม่รวมถึงการเดินทางข้ามทะเลทรายอันเวิ้งว้างก่อนจะถึงจุดหมายที่นักแข่งทุกหลายใฝ่ฝัน ณ เมืองดาการ์
จากนี้คงต้องติดตามกันว่าแชมป์หลายสมัยอย่างมิตซูบิชิจะถูกท้าทายจากคู่ปรับเก่าอย่าง โฟล์คสวาเก้น ได้หรือไม่ และ ชื่อของ “เจ้าหนึ่ง” มานะ พรศิริเชิด จะอยู่ในลิสต์ของผู้เข้าสู่เส้นชัยอย่างที่หวังได้แค่ไหน วันที่ 20 มกราคม 51 นี้จะได้เห็นผลกัน