xs
xsm
sm
md
lg

ตีแผ่ MOU แร่แรร์เอิร์ธ ‘ไทย-สหรัฐฯ’ ชี้ทางการทูตไทยไม่ได้รับเกียรติแถมใช้เป็นแหล่งรับของเน่า?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



MOUแร่แรร์เอิร์ธ‘ไทย-สหรัฐฯ’ชวนให้คิด! คนใน กต.ชี้‘ทางการทูตเหมือนเราไม่ได้รับเกียรติ’ แม้ทางกฎหมายไม่มีผลยกเลิกได้แต่รัฐไทยลืมมองการเมืองระหว่างประเทศ ไทยเซ็นกับใคร จับตาสหรัฐฯใช้ไทยเป็นแหล่งรับของเน่า นำเข้าแร่แรร์เอิร์ธจากพม่า ส่งเข้าโรงแต่งแร่ในไทย จนได้‘หัวแร่’ส่งไปประเทศอื่นหรือสหรัฐฯ ด้าน ‘เลขาธิการมูลนิธิชีววิถี’ แจงMOU ของไทยต่างกับสหรัฐฯทำกับชาติอื่นยกประโยชน์ชาติให้สหรัฐฯก่อน เสมือนการชักศึกเข้าบ้านเทียบกับการให้ตั้งฐานทัพน้อย ๆ เพราะแร่ใช้ผลิตยุทโธปกรณ์ด้านความมั่นคง แถมก่อมลพิษยิ่งกว่าเหมืองทองคำหลายเท่าส่วน‘นิติพล ผิวเหมาะ’ พรรคประชาชนถามMOU ฉบับนี้ไทยได้อะไร แต่เสียสิทธิ์เป็นผู้เล่นหรือผู้เลือกรายใหม่เพราะผูกกับสหรัฐฯไปแล้วทั้งที่แร่แรร์เอิร์ธ เป็นแร่สำคัญของโลก ควรศึกษารอบคอบ!

สังคมตั้งข้อกังขากรณีรัฐบาลนำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และรมว.มหาดไทย หลังลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือแร่หายากของโลก หรือ แร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth) กับประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อความร่วมมือด้านห่วงโซ่อุปทานแร่หายาก เมื่อวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา เหตุใดกระบวนการดังกล่าวจึงเป็นความลับ และเร่งด่วนด้วยการประชุม ครม.นัดพิเศษเมื่อวันที่ 23 ต.ค.ที่ผ่านมา และเมื่อประชุมแล้วทำไมไม่มีการแถลงมติ ครม.เหมือนทุก ๆ ครั้ง

“ทุกอย่างดูลุกลี้ลุกลน ทำไมไม่บอกประชาชน อยู่ ๆ ก็มีข่าว mou แรร์เอิร์ธ มาเฉย ทั้งที่เป็นเรื่องใหญ่ควรพิจารณารอบคอบเพราะมันคือทรัพยากรของชาติ ประชาชนที่จะได้รับผลกระทบจากการทำแร่ควรรู้ ถามว่าหน่วยงานที่ควรจะเป็นต้นเรื่องอย่างกรมเหมืองฯ มีความพร้อมแล้วหรือ ทั้งในมุมกฎหมายควบคุม กระบวนการผลิตแร่และการดูแลปัญหาสิ่งแวดล้อม ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์รัฐบาลกลั่นกรองดีหรือยัง ทำไมต้องเป็นกระทรวงการต่างประเทศที่ชงเรื่องนี้เข้า ครม.”

อย่างไรก็ดี ทั้งนายกฯอนุทิน และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม รวมทั้งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ต่างก็ออกมาอธิบายและชี้ให้เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ได้มีผลเสียกับประเทศไทย และยังย้ำด้วยว่า MOU ฉบับนี้ประเทศไทยก็สามารถยกเลิกได้


แหล่งข่าวจากกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า ประเด็นที่สังคมตั้งคำถามและมองว่าการทำ mou แรร์เอิร์ธ ครั้งนี้ดูเป็นเรื่อง งุบงิบทำกัน ดังนี้

ประเด็นที่ 1 ทำไมรัฐบาลอนุทิน ต้องรีบทำและใคร่อยากรู้ว่าเรื่องนี้มีการไปแอบเจรจากับ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ตั้งแต่รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร หรือมีการเจรจาในรัฐบาลอนุทิน ซึ่ง ครม.เข้ารับตำแหน่ง 19 กันยายนที่ผ่านมา เพราะเรื่องแบบนี้ในทางปฏิบัติรัฐบาลต้องมีการคุยกันก่อน และหน่วยงานก็ต้องรับรู้ จึงจะนำเข้า ครม.

“แต่เรื่องนี้เรียกว่าผ่านเข้า ครม. นัดพิเศษ ทำให้สังคมมองว่ารัฐบาลงุบงิบทำ ไม่บอกประชาชน ซึ่งส่งผลกระทบด้านภูมิรัฐศาสตร์เหมือนเราหนุนสหรัฐฯ โดยไม่มองจีนซึ่งเป็นมิตรที่ดี จะมีอะไรมาเล่นงานเราหรือไม่ อีกทั้งการผลิตแร่มันกระทบสิ่งแวดล้อมมาก ทั้งรัฐบาลอิ๊งค์ หรือรัฐบาลอนุทิน ยังไม่แก้ปัญหาพม่า ที่ปล่อยสารพิษจากการทำแร่ลงมาให้ประชาชนเราเดือดร้อน กลับไปรับของใหม่ซึ่งยังไม่มีการเตรียมพร้อมรับมือ”

ประเด็นที่ 2 ทำไมไทยเป็นประเทศเดียวที่โดนเซ็น แต่กัมพูชาไม่มี ขณะที่ทรัมป์ มาเป็นสักขีพยานในการเซ็นสัญญาสันติภาพ

“ในทางการทูต เหมือนเราไม่ได้รับเกียรติ”!

อีกทั้งที่ผ่านมาการทำ mou ของสหรัฐฯกับประเทศอื่น ทั้ง มาเลเซีย อินเดีย ออสเตรเลีย เมื่อมาเปรียบเทียบกับไทยจะพบว่าเราถูกกดดันมากคือ เราไม่มีสิทธิ์ไปขายคนอื่น ต้องให้สหรัฐฯเป็นรายแรกที่จะซื้อไม่ซื้อ และยังมีอีกหลายข้อที่บ่งชี้

ประเด็นที่ 3 รัฐมนตรีพาณิชย์ บอกว่า ไม่มีผลทางกฎหมาย คือ ทางกฎหมาย ไม่มีจริง แต่ประเด็นที่ไทยจะต้องมองในทางการต่างประเทศคือ ไทยเซ็นกับใคร

“เราเซ็นmouกับสหรัฐฯนะ อยู่ดีๆ เราจะมาผิดคำพูดได้อย่างไร สหรัฐฯกดดันเราตายพอดี ตรงนี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เข้าใจของ รมต.พาณิชย์”

ประเด็นที่ 4 MOU แร่แรร์เอิร์ธ ควรเป็นเรื่องของหน่วยงานไหน ในภาวะปกติข้อตกลงระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ จะเป็นหน่วยร่าง แต่ต้นทางควรจะเป็น ก.ทรัพยากรธรรมชาติฯ ซึ่งมีคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ และกระทรวงอุตสาหกรรมมีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ต้องเอาเรื่องเข้า ครม. แต่การเจรจา หรือเงื่อนไข ก็ต้องเป็นหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ เพราะต้องเจรจา เพื่อให้เราไม่เสียผลประโยชน์ เช่น ต้องขายใครก่อน หรือให้ใครสำรวจก่อน แต่เรื่องนี้มันแปลกเหมือนเป็นการบังคับให้เราต้องผูกขาดกับสหรัฐฯ รายเดียว ตรงนี้ทำให้คนตั้งข้อสงสัยได้

“เรื่องสิ่งแวดล้อม ต้องบอกให้ชัดว่าจะทำอย่างไร ทำในสถานที่ปิด หรือเปิดอย่างออสเตรเลีย ทำในสถานที่ปิด แต่ในพม่าเปิด ก็ฟุ้งไปหมด”


ขณะเดียวกันทางสำนักงานกฤษฎีกา เข้ามาดูในเชิงกฎหมาย คือไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายเท่านั้น แต่เรื่องนี้มันเป็นการผูกพันทางการเมืองระหว่างประเทศ!

“เรื่องนี้นายกฯ อนุทิน รู้ดีที่สุด ทำไม ก.ต่างประเทศต้องเป็นคนชงเรื่อง กระบวนการที่เกิดขึ้นทำให้เชื่อว่าเป็นการปิดบังประชาชน เรายอมเขมรก็หลายเรื่อง ทำไมต้องมายอมเรื่องแร่อีก”

แหล่งข่าว ระบุว่า ความเสียหายจากการเซ็น MOU ครั้งนี้ จะเกิดขึ้นต่อเมื่อสหรัฐฯ เข้ามาทำเหมืองแร่ ซึ่งจะต้องขอประทานบัตร ตอนนั้นน่าจะมีปัญหาเรื่องของสิ่งแวดล้อม แต่เท่าที่รับรู้ไม่น่าจะเข้ามาทำเหมืองแร่ เพราะแร่แรร์เอิร์ธ ในบ้านเรามีน้อย ไม่คุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ที่จะทำเหมืองและยื่นขอประทานบัตร ตามพระราชบัญญัติแร่2560 ที่กรมเหมืองฯ แต่จะเป็นการนำเข้าแร่แรร์เอิร์ธจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีแร่จำนวนมาก ซึ่งคาดว่าแร่น่าจะทะลักจากพม่าเพื่อเข้าโรงแต่งแร่ในไทยที่มีอยู่ 4-5 โรง หรือจะมีการตั้งโรงแต่งแร่ใหม่ ซี่งจะต้องมีกระบวนการควบคุม ต้องไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ต้องมีแผนผัง กรรมวิธีแต่งแร่ ควบคุมการทิ้งมูล กากต้องชัดเจนว่าทิ้งและเก็บอย่างไร

“ถ้าแร่ทะลักจากประเทศต้นทางที่ไม่รักษาสิ่งแวดล้อม ประเทศทางยุโรปเขาจะไม่รับเข้าโรงแต่งแร่ แต่ไทยจะรับใช่หรือไม่ ทำให้คนมองว่าสหรัฐฯใช้ไทยเป็นแหล่งรับของเน่า และเราจะเป็น Supply chain เป็นห่วงโซ่ไหวหรือไม่ ขณะที่สหรัฐฯ ได้ประโยชน์”

แหล่งข่าวย้ำว่า เมื่อเรามองเห็นปัญหาตั้งแต่ต้นทาง ก็ต้องส่งข้าราชการไปพูดคุย เงื่อนไขทั้งหมด และไทยยังไม่มีกฎระเบียบที่จะควบคุมได้ทั้งหมด ยิ่งแร่ที่มาจากต้นทางมีปัญหา และสั่งให้กระทรวงการต่างประเทศไปเจรจา หากกระทรวงจะค้าน แต่ถ้านายกฯ อนุทิน เลือกที่จะทำMOU แล้วก็เชื่อว่า นายกฯ อนุทินต้องแบกรับเรื่องนี้ไปเต็ม ๆ

“สิ่งที่เราต้องรับมือหลังทำMOU ก็ต้องดูว่าสหรัฐฯ จะ Active รีบมา survey อย่างไร ส่วนเราตั้งรับอย่างเดียว เพราะเราจะเป็นส่วนหนึ่งของ supply chain ถ้าจะไปขุดอะไร ต้องใช้เวลานาน สหรัฐฯ ใช้ไทยเป็นทางผ่าน คือทำในโรงแต่งแร่ของไทย เมื่อได้หัวแร่ แล้วก็ส่งไปอีกประเทศหนึ่ง หรือสหรัฐฯ ไทย เราเป็น supply chain วันนี้มั่นใจว่าสหรัฐฯ มีเส้นทางหมดแล้ว”

ด้าน วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ เลขาธิการมูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) ระบุว่า ได้ศึกษาการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเรื่องแร่ของสหรัฐฯ กับไทย และประเทศต่าง ๆ รวม 10 ประเทศ พบว่า ข้อตกลงของไทยมี “ลักษณะพิเศษหรือเฉพาะ” และจุดที่ “คล้ายกับประเทศอื่น” ประเด็นของลักษณะเฉพาะที่แตกต่างเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่สังคมควรรับรู้คือ MOU ที่ร่วมกับไทยมี “โอกาสแรกในการลงทุน (first opportunity to invest)” ซึ่งตีความได้ว่า ให้โอกาสแก่สหรัฐฯ ก่อนในการลงทุน อีกทั้งเน้นการส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูปในประเทศไทย (rather than solely exporting raw materials) ไม่ได้มองว่าไทยเป็นเพียงแหล่งวัตถุดิบอย่างเดียว แต่ต้องการแปรรูปเพิ่มมูลค่าในประเทศ นั่นหมายถึงสหรัฐฯ อาจวางให้ไทยเป็นฐานการแปรรูป วัตถุดิบจากประเทศข้างเคียง เช่น พม่า (เป็นการแย่งแหล่งวัตถุดิบจากที่เคยส่งไปยังจีนเป็นหลัก) ก็เป็นไปได้

“เมื่อสหรัฐฯ ได้สิทธิ์แรกไปแล้ว หมายถึงว่าถ้าเค้าสำรวจเจอ โดยที่ไทยก็ยังไม่รู้ว่าแร่นี้บ้านเรามีมากน้อยแค่ไหน การที่เราปล่อยให้สำรวจไปทั่วก่อน เหมือนเรายกประโยชน์ชาติให้เขามีสิทธิ์ก่อน”


วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ เลขาธิการมูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI)
แต่ที่น่าสนใจคือถ้าสำรวจแล้วไทยไม่มีแร่นี้เพียงพอ ประเทศไทยจะเป็นพื้นที่ที่สหรัฐฯ จะดึงแร่จากประเทศข้างเคียงมาแปรรูปในประเทศซึ่งอดีตทูตในยุโรปและอเมริกามองว่าการที่สหรัฐฯ จะนำแร่จากที่อื่นเข้ามาแปรรูปเป็นการดี จะได้ไม่เกิดมลภาวะในประเทศไทย และจะจัดการมลภาวะได้ง่าย

“จริง ๆ มันไม่ใช่ เพราะกระบวนการทั้งการขุดเจาะ และการแปรรูป จะเลี่ยงเรื่องมลพิษได้ยากมาก ก็จะเป็นปัญหามลพิษซ้อนเข้าไปอีก และไม่ใช่แค่นั้น เรากำลังชักศึกเข้าบ้านอย่างไม่รู้ตัว เพราะการเชิญสหรัฐฯ เข้ามาก็เหมือนกับต้องเผชิญหน้ากับจีน”

สิ่งที่ต้องตามดูคือบริเวณภาคเหนือ ผ่านมาทางตะวันตกทางกาญจนบุรี และลงมาทางใต้ กระบี่ พังงา ภูเก็ต ที่มีพื้นที่ติดชายแดนพม่า ล้วนเป็นพื้นที่ที่อาจจะมีแร่แรร์เอิร์ธ ปะปนอยู่ก็ได้ และตอนนี้ก็มีข่าวว่าแถว ๆ ตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา ที่เคยมีเหมืองเก่า เริ่มมีคนสนใจที่จะไปยื่นขอสัมปทานขุดแร่ ทำให้ชาวบ้านมีความกังวลเพราะไม่ต้องการให้เหมืองไปเกิดที่นั่นและต้องการให้พื้นที่นั้นเป็นแหล่งท่องเที่ยวมากกว่า

“ตะกั่วทุ่ง พังงาบริเวณนั้นทั้งหมด ที่เคยเป็นเขตเหมืองเก่าดีบุก เป็นที่สนใจเพราะพื้นที่ไหนมีแร่ดีบุก จะมีแร่หายากซึ่งมีหลายตัวก็ไม่รู้ว่าบริเวณนั้นเป็นตัวไหน ดังนั้น การเจอ ก็ไม่เหนือความคาดหมาย”

‘วิฑูรย์’ ย้ำว่าถ้าทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ จะก่อให้เกิดมลพิษมากกว่าการทำเหมืองทองคำอัครา ที่เคยปรากฏในอดีตเป็นเท่า ๆ ตัว เพราะกระบวนการผลิต ต้องขุดเจาะเข้าไปในหิน และนำสารเคมีอัดเข้าไปให้มันละลาย มันจะมีสภาพเละกว่าเหมืองทองคำ ซึ่งต้องไปดูสภาพเหมืองที่ทำในจีนและพม่า เพราะเหมืองชนิดนี้ มันจะกระจัดกระจายอยู่ในแหล่งหิน แหล่งแร่ เช่นที่พม่าจะมีการเจาะพรุน 200-300 แห่ง ทำให้ควบคุมมลพิษได้ยาก ซึ่งจะแตกต่างกับแหล่งแร่ทองคำที่จะมีสภาพเป็นแอ่ง

“จะบอกว่าบริษัทที่รับประทานบัตร จะต้องตั้งกองทุนสิ่งแวดล้อม ตาม พ.ร.บ.แร่ เพื่อนำเงินตรงนั้นมาใช้แก้ปัญหา ผมบอกได้เลยมันไม่คุ้มหรอก สหรัฐฯ รู้ว่าจะลงทุนคุ้มหรือไม่ เริ่มสำรวจก่อนซึ่งไม่ต่างจากการขุด ต้องใช้สารเคมี ทดสอบเพื่อดูปริมาณ ถ้าเจอ ก็จะหนัก ปัญหา พ.ร.บ.แร่ ของเรา คือแร่จะเป็นทรัพยากรของรัฐ ทีนี้ชาวบ้านที่ใช้สิทธิ์ในพื้นที่หน้าดินอยู่ ก็อาจถูกขุดขึ้นมาคือ ที่ที่ชาวบ้านทำมาหากินอยู่ดีๆ ปลูกทุเรียน เป็นแหล่งท่องเที่ยว ก็อาจถูกยึดไปได้ง่ายๆ”

ทั้งนี้ในทางกฎหมายบ่อแร่เป็นสมบัติของชาติ การที่สหรัฐฯ ได้สัมปทาน ก็จะกระทบกับสิทธิและการใช้ประโยชน์พื้นดินของพื้นที่นั้นไปเลย และต้องติดตามเรื่องนี้ด้วยเพราะถ้ารู้ว่าตรงไหนจะมีแร่ก็จะมีการกว้านซื้อที่ดินเกิดขึ้น ซึ่งบรรดานายหน้าค้าที่ดินจะรู้เร็วมาก แต่ยังเชื่อว่าสหรัฐฯ สนใจการตั้งโรงงานแปรรูปมากกว่าเพราะไทยอยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบที่ใหญ่ที่สุด คือแร่ที่พม่า

“สหรัฐฯ จะแย่งชิงการใช้ประโยชน์แร่แรร์เอิร์ธได้ ก็ต้องมีโรงถลุงแร่ หรือจะตั้งโรงแต่งแร่ จะตั้งในพม่าก็ไม่ได้ เพราะเป็นเขตอิทธิพลของจีนอยู่แล้ว และยังไม่มีความสัมพันธ์กับชนกลุ่มน้อยในพม่าเช่นประเทศจีน ทางออกเดียวต้องตั้งโรงงานถลุง หรือโรงแต่งแร่ในไทยแน่ ๆ ส่วนคนไทยก็ไม่มีความรู้ในการถลุง จึงเปิดโอกาสให้สหรัฐฯ เข้ามาสำรวจใช้ประโยชน์”


เลขาธิการมูลนิธิชีววิถี บอกอีกว่า การทำMOU แร่แรร์เอิร์ธ ครั้งนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์ที่ดูจะรุนแรงเปรียบเสมือนรัฐบาลกำลังชักศึกเข้าบ้าน คล้าย ๆ กับการอนุญาตให้มาตั้งฐานทัพน้อย ๆ ที่สังคมเคยต่อต้านกันมาแล้วเพราะไปดึงสหรัฐฯ เข้ามาอยู่ในเกมอำนาจในไทย เพราะแร่แรร์เอิร์ธ เกี่ยวข้องกับการนำไปใช้ผลิตยุทโธปกรณ์ในด้านความมั่นคง การควบคุมทางอากาศ พลังงาน และเรื่องอื่น

“สหรัฐฯ พลาดมาหลายปี ที่ปล่อยให้จีนยึดกุมแร่แรร์เอิร์ธไปแล้ว พอเศรษฐกิจมันเปลี่ยน สั่งงานเป็นรูปแบบไฟฟ้า และยุทธปัจจัยอื่นๆ สหรัฐฯ ก็ต้องหาทางยึดครองวัตถุดิบตัวนี้ให้ได้เช่นกัน ไทยจึงเป็นเป้าหมาย เรื่องนี้พรรคฝ่ายค้านต้องดึงเรื่องนี้ไปอภิปรายในสภาเพื่อได้แง่มุมเพิ่มขึ้น”

รวมทั้งสภาฯ ควรจะต้องเข้าไปศึกษาลงลึกในรายละเอียด ในการเจรจาตกลง การที่สหรัฐฯ จะเข้ามาสำรวจโดยไม่รู้ข้อมูลฐานความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรของประเทศไทยได้อย่างไร เชื่อว่าสหรัฐฯ จะวิเคราะห์ ประเมินล่วงหน้าด้วยการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมดำเนินการไปแล้วก็อาจเป็นได้

ด้าน ‘นิติพล ผิวเหมาะ’ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ซึ่งสนใจเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมและเป็น กมธ. การที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนฯ บอกว่า MOU แร่แรร์เอิร์ธ สังคมต้องตั้งคำถามกับรัฐบาลอนุทิน ว่าทำไมถึงดูลุกลี้ลุกลนเพราะการเดินทางไปเจรจาสันติภาพนั้น ทำไมถึงมีเรื่อง MOU แร่แรร์เอิร์ธกลายเป็นประเด็นสำคัญไปแล้ว ทั้งที่เรื่องแรร์เอิร์ธ เป็นเรื่องของอนาคตในการจัดการทรัพยากรของประเทศและเป็นทรัพยากรที่ทั่วโลกมีความต้องการสูงมาก เพราะเกี่ยวข้องกับการนำไปใช้ในเทคโนโลยีสมัยใหม่ และเรื่องนี้เหตุใดจึงไม่นำเข้าสภาฯ ซึ่งคนในสภาไม่มีใครรับรู้เรื่องนี้

“สิ่งที่น่าห่วงจะส่งผลระยะยาวกับประเทศ ถ้าไม่มีแผนรองรับในเรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นตามมา เพราะการทำเหมืองต่างๆ จะมีปัญหามลพิษในระหว่างการทำมากและทำแล้วจะฟื้นฟูอย่างไร ผมอยู่ กมธ.เหมืองแร่ และสนใจด้านสิ่งแวดล้อมมาก จึงเข้าใจถึงผลกระทบด้านมลพิษที่ไทยสะสมมาตลอด

‘นิติพล ผิวเหมาะ’ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน
ดังนั้นการที่ไทยจะให้สหรัฐฯ มีสิทธิ์ในการสำรวจ มีสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของชาติไทยในวันข้างหน้า โดยที่เราไม่มีแผนอะไรรองรับเลยหรือ และการที่รัฐบาลออกมาพูดว่า MOU เป็นเพียงบันทึกข้อตกลง ยังไม่มีกฎหมายบังคับอย่างจริงจัง มองรวม ๆ ก็อาจจะยกเลิกได้

แต่อยากจะตั้งคำถามชวนให้คิดไปยังรัฐบาลและประชาชนทุกคนว่า การไปเซ็นMOU แร่แรร์เอิร์ธ ครั้งนี้เราได้อะไร แต่ที่เห็นเราเป็นฝ่ายเสียแน่ ๆ คือ เรากำลังเสียสิทธิ์ให้สหรัฐฯ มาสำรวจแร่หายากในประเทศไทย ขณะที่ไทยเองก็ไม่มีเทคโนโลยี แต่ถ้าสหรัฐฯ เข้ามาสำรวจแล้วพบว่ามีแร่ชนิดนี้ที่ทั่วโลกกำลังต้องการก็ต้องพึ่งสหรัฐฯ เท่านั้น แล้วไทยจะสามารถยกเลิกMOU ฉบับนี้ได้หรือ?

ประเด็นที่รัฐบาล บอกว่าทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นเป็นความจริง แต่ก็ต้องถามกลับไปว่าไทยเสียโอกาสในการเป็นผู้เล่นหรือผู้เลือกที่สำคัญในการกำหนดทิศทางในอนาคต เพราะแร่แรร์เอิร์ธ เป็นแร่สำคัญที่โลกกำลังต้องการใช้

“หรือสหรัฐฯ หรือใครแอบไปสำรวจก่อนหรือเปล่า เพราะประเทศไทยก็มีแผนที่ใต้ดินว่าเรามีแร่อะไรอยู่ตรงไหน ทำให้เขามั่นใจระดับหนึ่งจึงทำMOU และถ้าสำรวจแล้วเจอเรามายกเลิกMOU ภายหลังแต่ในนั้นระบุว่าสิ่งที่ทำมาก่อนถือเป็นการผูกพันไปแล้ว ถึงบอกว่าไทยได้อะไรจากการเซ็นบ้าง”




ปัจจุบันสภาฯ ปิดสมัยประชุมไปแล้ว ถ้าเป็นช่วงสภาฯ เปิด พรรคประชาชน ต้องนำเรื่องนี้เป็นญัตติด่วนเข้าสภาให้มีการชี้แจงกันไปแล้ว ซึ่งทางออกเวลานี้ก็ต้องใช้วิธีการพูดในเวทีต่าง ๆ และปัญหามลพิษที่จะเกิดขึ้นก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าปัญหามลพิษที่เกิดจากการทำเหมืองทอง เพราะเมื่อมีการทำลายธรรมชาติที่สมบรูณณ์ สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป ผลที่ตามมา คือ มันปนกับอากาศ ปนกับแหล่งน้ำ ปนทุกอย่างกับสภาพโดยรวม ซึ่งเราคาดไม่ได้ว่าจะส่งผลกระทบแบบใด

“เราสามารถเอาเหมืองที่ตะกั่วป่า เป็นโมเดลศึกษาได้ เพราะตะกั่วป่ายุคทำเหมืองจะเฟื่องฟูมาก แต่พอหมดยุค ตะกั่วป่าแทบไม่มีคนรู้จัก เราก็ทำการศึกษาทั้งก่อนทำเหมืองต้องทำอย่างไร ระหว่างทำ ทำอย่างไร และหลังทำต้องทำอย่างไร”

‘นิติพล’ ย้ำว่าไม่ได้คัดค้านหรือขัดขวางไม่ให้เซ็นMOU เพราะประเทศต้องพัฒนา แต่สิ่งสำคัญเราต้องทำแบบรอบคอบ ควรมีการศึกษารอบด้าน และรู้ว่าเราจะได้ประโยชน์อะไรแท้จริงในการไปทำMOU ซึ่งวันนี้ยังมองไม่เห็น แต่มีสิ่งที่รับรู้คือการกระทำแบบลุกลี้ลุกลนของรัฐบาลนั่นเอง!

ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่


Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j



กำลังโหลดความคิดเห็น