xs
xsm
sm
md
lg

‘7 ปัจจัย’ หนุนทองคำมีแต่ขึ้น! แนะคนซื้อ ‘สั้น-กลาง-ยาว’ ได้ผลตอบแทนเลิศ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



‘2 กูรู’ ผู้คร่ำหวอด‘ทองคำ-เศรษฐกิจโลก’ ชี้ใครอยากลงทุน ควรเลือก‘ซื้อ-ขาย’ ทองคำช่วงไหน‘จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี’ นายกสมาคมค้าทองคำ บอกอยู่ในวงการทองคำมา 70 ปี เพิ่งจะเคยเห็นความผันผวนแนะคนมีเงินเย็นทยอยสะสมทองจริง อย่าเล่น Gold Futuresเสี่ยงสูง มองเป้า 58,000 โอกาสลงลึกไม่มี ด้าน รศ.ดร.สมชายภคภาสน์วิวัฒน์ แจง‘7 ปัจจัย’ หนุนทองคำมีแต่ขึ้น ทั่วโลกทิ้งดอลลาร์ ไล่เก็บทองคำ ยอมรับดอลลาร์ยังมีความสำคัญสกุลเงินอื่นแทนที่ได้ยาก แนะผู้บริโภคให้เก็บทองเหมือนเก็บที่ดินเพราะเป็นช่วงขาขึ้น ย้ำโลกกำลังเปลี่ยนโครงสร้าง ปัญหาต่างๆ ไม่จบง่ายๆ ทองคำคือ Against insanity ป้องกันภัยจากความไม่แน่นอนได้ดี!

ความเคลื่อนไหวของราคาทองคําในตลาดโลก (Gold Spot) ปี 2025 สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All-Time High) สูงเกินระดับ 3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยทองคำในประเทศทำนิวไฮเมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา เพียงวันเดียวบวกไปถึง 1,250 บาท ราคาทองคำแท่งขายออกบาทละ 54,800 รับซื้อที่ 54,700 ส่วนทองรูปพรรณขายออกบาทละ 55,600 รับซื้อที่ 53,711.88 ขณะที่ราคา Spot อยู่ที่ 3,477 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ปรากฏว่าในวันที่ 23 เม.ย. ถึงเวลา 14.43 น. ราคาทองปรับขึ้น-ลง 32 ครั้ง ทองคำแท่งขายออกบาทละ 52,600 รับซื้อ 52,500 ส่วนทองรูปพรรณ ขายออก 53,400บาท รับซื้อ 51,559.16 ลดลง 1,850 บาท ราคา Spot อยู่ที่ 3,318.00 ค่าเงินบาทอยู่ที่ 33.47

อย่างไรก็ดี การพุ่งขึ้นสูงของราคาทองคำครั้งนี้เกินความคาดหมายของกูรูทองคำ ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่า ราคาSpot จะขยับไปถึง 3,300-3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศ มีโอกาสขยับไปที่บาทละ 53,000 ในช่วงปลายปี 2568

ทั้งนี้ในการปรับขึ้น-ลง แรง ๆ ของราคาทองนั้นย่อมมีผลกับบรรดานักเก็งกำไร และผู้ที่เลือกที่จะออมทองทั้งระยะสั้น กลาง ยาว ทั้งสิ้น เพราะทองคำถือเป็นสินทรัพย์ที่มั่นคงปลอดภัยที่สุดในยามเกิดวิกฤต ต่างก็ลุ้นกันว่า ควรจะขาย หรือ ควรจะเข้าซื้อ ในช่วงไหนอย่างไร เพื่อจะได้ผลตอบแทนที่ดีและไม่กลายเป็นแมลงเม่า เหมือนนักลงทุนในตลาดหุ้น

‘จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี’ นายกสมาคมค้าทองคำ บอกว่าได้มีการประเมินกันใหม่ เพราะการปรับขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก มันรวดเร็วเกินที่คาดหมายกันมาก เดิมช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ได้เห็นราคาทองคำโลก (Spot) แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เหนือบริเวณ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และวันนี้ (26 มี.ค.) มีการปรับตัวขึ้น-ลง 9 ครั้ง ทองคำ Spot อยู่ที่ 3,018.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ค่าเงินดอลลาร์ต่อบาทอยู่ที่ 33.99 ส่วนทองคำในประเทศยังคงทำนิวไฮ โดยทองแท่งขายออกที่ 48,550.00 บาท และรับซื้อที่48,450.00 ขณะที่ทองรูปพรรณขายออกบาทละ 49,350 และรับซื้อ 47,572.08 แต่เมื่อวันที่ 22 เม.ย.ทะลุไปแล้ว ทอง Spot เกิน 3,400 ส่วนในประเทศ ก็ขยับไปถึง 55,000 บาทต่อบาททองคำ

“ช่วงสัปดาห์นี้ราคามันพุ่งเร็วมาก มีการปรับขึ้น-ลงวันละหลาย ๆ ครั้ง เพราะทั่วโลกมีความกังวล จากการที่ทรัมป์ออกนโยบายต่าง ๆ ที่ไม่ชัดเจน ทำให้ทั่วโลกเทขายดอลลาร์ และเปลี่ยนมาตุนทองคำแทน จึงคาดว่าราคา Spot น่าจะไปที่ 3,600 ขึ้นไป”



กราฟราคาทองคำเรียลไทม์(Realtime) 24 ชั่วโมง แสดง 3 วันย้อนหลัง
สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับนักลงทุนคนไทย โดยเฉพาะคนที่มีเงินเย็นและต้องการออมเพื่อสร้างความมั่นคงจริง ๆ อยากแนะนำว่าอย่าไปซื้อ Gold Futures แม้จะมองว่าเป็นการทยอยซื้อ ซึ่งใช้เงินซื้อทีละน้อย ๆ ได้ แต่การซื้อ Gold Futures จะมีความเสี่ยงสูงซึ่งเกิดจากความผันผวนทั้งราคาทองคำและอัตราแลกเปลี่ยน เหมาะกับนักเก็งกำไรที่เข้าใจและชำนาญมากกว่า

“มีเงินเย็น ไปซื้อทองคำจริง ๆ มาเก็บไว้จะปลอดภัยกว่า เงินน้อยก็ทยอยซื้อทีละสลึงก็ได้ เชื่อว่าปลายปีนี้ราคาทองคำน่าจะไปถึงบาทละ 58,000”

ที่สำคัญพฤติกรรมของคนทั่วโลกเปลี่ยนไป เพราะปกติถ้าทองคำขึ้นมาราคาสูง ๆ คนจะนำทองออกมาขาย แต่ขณะนี้ คนทั่วโลกกลับคิดเหมือนกันหมด ว่าทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยจึงหันมาซื้อทองเก็บสะสมกัน

“ช่วงนี้เงินบาทเราแข็งค่า อยู่ที่ 33 กว่า ๆ ทำให้ราคาทองคำในประเทศปรับขึ้นไม่เต็มที่ แต่ถ้าเงินบาทเราไม่แข็งค่า คงไปไกลกว่านี้อีกเพราะราคาทองสัมพันธ์กับค่าเงิน หากเงินบาทแข็งค่าขึ้น 1 บาท จะมีผลต่อราคาทองประมาณ 1,600 บาท”

นายกสมาคมค้าทองคำ ย้ำว่า คนที่มีเงินเย็น ให้ดูจังหวะเข้าซื้อทอง ซึ่งจริง ๆ การตัดสินใจซื้อ ขอให้มองระยะยาว ราคาทองยังเป็นช่วงขาขึ้น เพราะธนาคารกลางและคนทั่วโลก มีแต่ทิ้งพันธบัตรหรือขายพันธบัตรอเมริกาออกไปแล้วนำเงินที่ได้มาซื้อเป็นทองคำเก็บไว้มากกว่า และเป็นช่วงที่ดอลลาร์อ่อนค่า แต่ขณะนี้ไม่ว่าดอลลาร์จะอ่อนค่าหรือไม่ คนทั่วโลกก็เลือกซื้อทองคำ ก็ขอย้ำให้ซื้อทองจริง อย่าไปซื้อ Gold Futures ซึ่งราคาจะผันผวน ต้องระมัดระวังเรื่องนี้จริง ๆ

“เราคิดว่าทองคำในประเทศจะไปที่ 58,000 บาท ส่วนดอลลาร์ก็น่าจะอยู่ที่ 32 กว่า ๆ แต่ไม่ถึง 33 ถ้าจะซื้อให้ซื้อทองแท่งดีกว่า เพราะขายได้เต็ม ๆ ส่วนคนที่มีทองเก็บสะสมอยู่แล้ว ทั้งทองแท่ง ทองรูปพรรณ ถ้าเป็นเงินเย็น ไม่รีบร้อนใช้เงิน ก็ไม่ควรขาย”

ขณะเดียวกัน ราคาทองก็อาจมีการปรับฐาน ลงมาพักบ้าง แต่คาดว่าไม่ลึก และถ้าจะให้ลงมาลึก ๆ ก็ต้องมีข่าวอะไรที่มีผลกระทบแรง ๆ ซึ่งปัจจุบันไม่น่าจะมีอะไร เพราะ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ไม่ยอมเสียหน้า ที่จะยอมลดมาตรการต่าง ๆ ที่ประกาศออกไปแล้ว เวลานี้ก็ให้เวลา 90 วันเพื่อให้แต่ละประเทศมาเจรจา ก็น่าจะเป็นช่วงขาขึ้นของราคาทองต่อไป

“แต่ต้องไม่ลืมว่า ทรัมป์ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่แน่นอน ก็อาจจะมีช่วงทำให้ราคาทองสวิง แต่เชื่อว่าลงไม่ลึก ซึ่งแบงก์ชาติทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วย ต่างก็พากันขายดอลลาร์ เก็บทองคำแทน เพราะแต่ละประเทศก็มองว่า ทองคำจะขึ้นไปอีก คนมีเงินเย็นทยอยซื้อไว้ ส่วนคนที่ซื้อไว้แล้ว รอปลายปี ค่อยนำออกมาขายจะดีกว่า”

นายกสมาคมค้าทองคำ บอกอีกว่า อยู่ในวงการทองคำมากว่า 70 ปี ไม่เคยเห็นว่าราคาทองคำมันผันผวนได้ถึงขนาดนี้ ทั้งหมดเป็นผลมาจาก ‘ทรัมป์’ โดยตรงที่ทำให้ราคาผันผวน ขึ้น-ลง เปลี่ยนแปลงวันละหลาย ๆ ครั้ง อย่างวันที่ 22 เม.ย.ขึ้น-ลงถึง 36 ครั้ง ช่วงเช้า 5 นาทีเปลี่ยนแปลงครั้งหนึ่ง ทำให้เชื่อว่าโอกาสที่ราคาทองย่อลงมาลึก ๆ น่าจะยาก แต่คาดว่าราคามีแต่ขึ้นไปเรื่อย ๆ

‘จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี’ นายกสมาคมค้าทองคำ
ด้าน รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง ระบุว่า ‘7 ปัจจัย’ ที่ทำให้ราคาทองคำขึ้นสูงประกอบด้วย


ประการที่ 1 เกิดจากภาวะวิกฤต ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และการเมือง ในเรื่องความมั่นคงของโลก ทอง เป็นสิ่งป้องกันความไม่แน่นอน เพราะ ทองเป็น Against insanity เป็นการป้องกันภัยจากความไม่แน่นอน จึงได้รับความนิยมสูง

“ทำไมทองขึ้นมาติดต่อกัน ลองสังเกตดู 4-5 ปีที่ผ่านมา เราเจอความไม่แน่นอน เช่น โควิด เหตุการณ์ในยูเครน รัสเซีย ราคาพลังงาน เหตุการณ์ในตะวันออกกลาง หลังสุด เรื่องของภาษีทรัมป์ นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งว่า ทำไมคนจึงหันมาซื้อทองเป็นเครื่องมือประกันความไม่แน่นอน”

ประการที่ 2 ประเทศต่าง ๆ กำลังไม่ไว้ใจและไม่พอใจอเมริกา เพราะอเมริกาใช้เงินดอลลาร์เป็นเครื่องมือเป็นอาวุธ คว่ำบาตรหรือแทรกแซง ตอกย้ำอิทธิพลของค่าเงินดอลลาร์มากเกินไป ทำให้ใครต่อใครที่ถือครองอยู่ โดยเฉพาะธนาคารกลางประเทศต่างๆ ก็ลดเงินสำรองที่เป็นดอลลาร์ และเริ่มขายออกไปเรื่อย ๆ และหันไปซื้อทองคำแทน

ประการที่ 3 ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เกิดปรากฏการณ์ ที่โดยปกติแล้ว ถ้าเกิดวิกฤต คนจะมาซื้อทอง และพันธบัตร แต่จากนโยบายของทรัมป์ที่ไม่แน่นอน ทำให้ทั่วโลกเกิดความไม่ไว้วางใจต่อเศรษฐกิจอเมริกา และเริ่มเห็นภาวะเศรษฐกิจถดถอย (recession) จากความไม่แน่นอน ด้านนโยบายอเมริกา ทั้งด้านความมั่นคงและการค้า ทำให้คนแห่ทิ้งพันธบัตรของรัฐบาล ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องจ่ายในการกู้ยืมเงิน เพิ่มขึ้นรวดเร็ว ดังนั้นแทนที่ทั่วโลกจะซื้อพันธบัตร กลับขายทิ้งพันธบัตรอายุ 30 ปี

เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดในช่วง 20 ปี ราคาพันธบัตรลดลง แต่ผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น ทั้งที่ปกติ ผลตอบแทนพันธบัตรจะลดลง เนื่องจากราคาพันธบัตรสูง แต่นี่กลับตรงกันข้าม คนขาย ราคาพันธบัตรลดลง ผลตอบแทนสูง นี่ก็แสดงว่า คนกำลังเป็นห่วงว่า อเมริกากำลังมีเศรษฐกิจอยู่ในภาวะที่มีปัญหา เวลานี้อเมริกามีหนี้สาธารณะสูงถึง 120% ของจีดีพี ซึ่งถ้าคนไม่ไว้ใจ นาน ๆ เข้า ดอลลาร์จะอ่อนตัวลง เมื่อเทียบกับเงินยูโร คนก็จะแสวงหาความมั่นใจ หันมาซื้อทองคำ แทนที่จะซื้อตัวพันธบัตร”

ประการที่ 4 ประเทศต่างๆ กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ให้อเมริกาใช้ดอลลาร์ เป็นอาวุธ เพราะอเมริกาอาศัยเครื่องมือตัวหนึ่งที่เรียกว่าระบบ SWIFT เป็นเครื่องมือในการเชื่อมโยงธนาคารกลางและใช้ดอลลาร์เป็นตัวในการส่งข้อมูลในการชำระเงิน

“อเมริกาใช้ตัวนี้ในการเล่นงานประเทศอื่นๆ มีการแซงก์ชัน ปฐมภูมิ คือ เล่นงานประเทศ เช่น รัสเซีย อิหร่าน และอีกทางทุติยภูมิ ใครค้าขายกับอิหร่าน ก็โดนเล่นงาน ประเทศต่างๆ จึงมีความรู้สึกว่า ต้องสร้างกลไกตัวใหม่ที่หลีกเลี่ยงการใช้ SWIFT ลงไป เท่ากับว่าเป็นการลดการพึ่งพาดอลลาร์และหันมาใช้ตัวใหม่

ประการที่ 5 ประเทศต่างๆ กำลังพัฒนา digital เงินสกุลของตัวเอง ซื้อขายผ่าน Blockchain ทาง GOOGLE นี่เป็นอีกส่วนที่เข้ามาทดแทนเงินดอลลาร์ เงินดอลลาร์อ่อนตัวลง และทั่วโลกจึงหันมาซื้อทองคำแทน

ประการที่ 6 ประเทศต่างๆ มีการรวมกลุ่ม ใช้เงินสกุลประเทศสมาชิก แทนที่จะใช้เงินดอลลาร์ เช่น ไทยซื้อของจากมาเลเซียใช้ริงกิต ริงกิตใช้ไทย มีการขยายเขตการค้าเสรี ทำให้เกิดการป้องกันภัย ลดการใช้ดอลลาร์ลง และสิ่งที่จะมาแทนที่คือ ทองคำ

ประการที่ 7 คนจีนเป็นคนที่ชอบทองคำอยู่แล้ว นอกเหนือจากธนาคารกลางของจีน มีการซื้อทองอย่างต่อเนื่องแล้ว ชาวจีนก็มาซื้อทอง นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้ทองคำเกิดการขยายตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันหลายปี จนราคาอยู่ในระดับสูงสุด

รศ.ดร.สมชาย ระบุว่า ราคาทองคำในระยะกลางและยาว ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น เพราะทั่วโลกลดการใช้ดอลลาร์ และสิ่งที่จะเข้ามาแทนที่คือทองคำ เงินสกุลยูโร ก็จะเป็นส่วนหนึ่ง ที่สำคัญสถานการณ์ต่าง ๆ มีความไม่แน่นอนสูงมาก หากย้อนไป 4-5 ปี เราจะเห็นมีเรื่องของไข้หวัดนก เรื่องสงครามยูเครน โควิดระบาด นโยบายรีดภาษีทรัมป์ เหตุการณ์เหล่านี้เป็นกลไกอธิบายได้ชัดว่าเมื่อเกิดความไม่แน่นอน สิ่งที่ป้องกันความไม่แน่นอน ก็คือ ทองคำ

“เวลานี้ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย มากกว่าดอลลาร์และพันธบัตรอเมริกา นี่ก็เป็นเหตุผลที่ชี้ชัดว่าทำไมพันธบัตรอเมริกาเสื่อมลง เพราะความไว้ใจของคนลดลง เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีที่ราคามันลดลงจริง ๆ”

รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์


อย่างไรก็ตาม แม้ดอลลาร์จะถูกลดบทบาท แต่ดอลลาร์ยังเป็นสกุลเงินที่มีความสำคัญมาก สกุลเงินอื่นที่จะมาแทนที่ดอลลาร์ ยังคงเป็นเรื่องลำบาก โดยสัดส่วนสกุลเงินต่าง ๆ ในทุนสำรองระหว่างประเทศทั่วโลกที่เป็นเงินตราต่างประเทศ ประกอบด้วย 5 สกุล ดอลลาร์สหรัฐ 55% ยูโร 20 กว่า% หยวน 2-3% เยน และปอนด์ 4-5% ที่เหลืออื่น ๆ จะเป็นทองและเงินIMF

ส่วนที่เหลือ จะเป็นทองกับเงิน IMF ที่เรียกว่า Special Drawing Rights (SDRs) ถือเป็นส่วนหนึ่งของเงินสำรอง ซึ่งดอลลาร์อาจจะลด จาก 50 กว่า% เหลือ 40 กว่า% ส่วนสกุลเงินยูโร อาจเพิ่มขึ้นมา 25-26% แต่บทบาทสำคัญ ยังคงเป็นเรื่องของทองคำ

รศ.ดร.สมชาย ย้ำว่า ราคาทองคำในระยะสั้น 3-6 เดือน ยังมีความผันผวน หากตัดสินใจซื้อไปแล้วถ้าราคาเปลี่ยนแปลงเร็วคนที่ต้องการออมจะรู้สึกแย่ได้ แต่ถ้าจะมองกันในระยะกลางคือ 3-4 ปี หรือระยะยาว 5-10 ปี ก็ต้องบอกว่าทองคำยังอยู่ในช่วงขาขึ้น
“แต่ใด ๆ ในโลกนี้ไม่มีอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์ มันมีแนวโน้มจะขึ้น แต่ทุกอย่างย่อมมีความเสี่ยง ถ้าซื้อขายใกล้ๆ มันมีความผันผวนเยอะ ซื้อขายไกลๆ ความเสี่ยงมี แต่แนวโน้มทองคำจะขึ้น มีมากกว่า”

ดังนั้นไม่ว่า ‘ทรัมป์’ และประเทศจีน จะสามารถเจรจากันได้หรือไม่ก็ตาม แต่จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของอเมริกา ซึ่งเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) หรือไม่ จะยังไม่จบแค่ทรัมป์ กับจีน คุยกันได้ เพราะทั่วโลกยังมีความเสี่ยงอีกหลายเรื่อง ทั้งเรื่องแนวนโยบายความมั่นคงของทรัมป์ สงครามยูเครน ที่ยังไม่จบง่ายๆ

“คนที่คิดจะลงทุนไม่ต้องไปมองเรื่องของค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนแค่ไหน ให้มองไปที่ทองคำเพียงอย่างเดียว และต้องไม่ลืมว่าโลกกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงระดับโครงสร้าง ฉะนั้น อะไร ๆ ไม่จบง่ายๆ

แต่ถ้าเกิดวิกฤตหนักๆ คือเศรษฐกิจต่าง ๆ ย่ำแย่ระยะยาว คนก็จะรู้สึกว่าแม้กระทั่งทองก็ยังไม่แน่นอน คนก็จะทิ้งทอง มาเก็บเงินสด คือ ทุกอย่างมันมีความเสี่ยงทั้งนั้น ดูจากวอร์เรน บัฟเฟตต์ (warren buffett) ถือเงินสดมากกว่าด้วยซ้ำ”

ประเด็นสำคัญที่สุด รศ.ดร. สมชาย กล่าวทิ้งท้ายว่า ใครคิดอยากจะลงทุนทองคำ ต้องติดตามอ่านข้อมูล ดูเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจโลก และต้องคิดว่าการออมทองคำเป็นสินทรัพย์ป้องกันความไม่แน่นอน เปรียบเสมือนการซื้อที่ดินเก็บไว้ในระยะยาวจะได้ผลตอบแทนดีที่สุด!!

ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่


Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j


กำลังโหลดความคิดเห็น