xs
xsm
sm
md
lg

ลือสะพัด! พรรคขั้วกลางไม่เอา “บิ๊กตู่” จับตา “มือประสาน” จัดตั้งรัฐบาล!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



วงในลือสนั่น “พรรคขั้วกลาง” ตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า ตบเท้าไม่เอา “พล.อ.ประยุทธ์” เหตุต่อรองยาก และแค้นฝังหุ่นที่ถูกเล่นงานเรื่องคดีความ ขณะที่ "กลุ่มบ้านใหญ่" อย่าง สามมิตร และกลุ่มปากน้ำก็เจ็บแค้นเช่นกัน ด้าน “ไพศาล พืชมงคล” เผยอย่าประมาท “มือประสาน” ตั้งรัฐบาล คนนี้ไม่ธรรมดา! ขณะที่ “ผศ.วิชิต” ชี้หากสูตรหาร 100 ไม่ขัด รธน. พลังประชารัฐ และรวมไทยสร้างชาติ ซึ่งมีแนวโน้มเป็นพรรคขนาดกลางจะได้ประโยชน์ก็ต่อเมื่อมีผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์ที่โดดเด่น แต่ถ้าหาร 500 กระทบ ส.ส.บัญชีรายชื่อแน่นอน

ขณะที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังกวาดต้อน ส.ส.และสมาชิกพรรคพลังประชารัฐให้โยกย้ายไปสังกัด “พรรครวมไทยสร้างชาติ” พรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นใหม่เพื่อผลักดันให้ “พล.อ.ประยุทธ์” เป็นนายกรัฐมนตรี สมัยที่ 3

ก็เกิดข่าวลือสะพัดว่าบรรดา “พรรคขั้วกลาง” ซึ่งหมายถึงพรรคขนาดกลางและพรรคขนาดเล็กที่สามารถจับกับขั้วการเมืองใดก็ได้ ไม่ว่าจะซ้ายหรือขวา ต่างเห็นตรงกันโดยมิได้นัดหมายว่า พรรคขั้วกลางจะไม่สนับสนุน “พล.อ.ประยุทธ์” หรือพูดง่ายๆ ว่า หากมีการจับมือกันจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปีหน้า พรรคเหล่านี้จะไม่จับมือกับพรรครวมไทยสร้างชาตินั่นเอง

โดยแหล่งข่าววงในระบุว่า จากการหยั่งท่าทีทางการเมืองของพรรคการเมืองต่างๆ พบว่าบรรดาพรรคขั้วกลางต่างก็ไม่เอาบิ๊กตู่ ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย ภายใต้ร่มเงาครูใหญ่เนวิน ซึ่งมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นหัวหน้าพรรค พรรคสร้างอนาคตไทย ของกลุ่มสี่กุมาร ที่มี ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นั่งเป็นประธานพรรค พรรคไทยสร้างไทย ซึ่งมีชื่อ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นหัวหน้าพรรค พรรคเสรีรวมไทย ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช นอกจากนั้น กลุ่มบ้านใหญ่หลายมุ้งก็ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ เช่นกัน เนื่องจากบางพรรคมีมุมมองทางการเมืองที่สวนทางกับบิ๊กตู่ ขณะที่บางพรรคบางกลุ่มเคยมีความขัดแย้งรุนแรงกับแกนนำในพลังประชารัฐ บ้างก็เจอกับอิทธิฤทธิ์ของบิ๊กตู่ชนิดที่เรียกว่าแทบกระอัก จึง "แค้นฝังหุ่น" ไม่มีความจำเป็นต้องสนับสนุนกันอีกต่อไป

นายเนวิน ชิดชอบ ครูใหญ่พรรคภูมิใจไทย
สำหรับ “พรรคภูมิใจไทย” นั้นเจ็บใจที่โดนเล่นงานเรื่อง พ.ร.บ.กัญชา มาหลายรอบแล้ว ทั้งที่ทุกคนก็รู้ว่าเรื่องนี้เป็นนโยบายสำคัญที่พรรคพยายามผลักดันตามที่ได้หาเสียงไว้ นอกจากนั้น เมื่อปี 2559 ซึ่งเป็นช่วงการบริหารของรัฐบาล คสช. นางกรุณา ชิดชอบ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) บุรีรัมย์ ภรรยาของ นายเนวิน ชิดชอบ ครูใหญ่พรรคภูมิใจไทย ยังถูกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบงบการเงินของ อบจ.บุรีรัมย์ และยื่นเรื่องให้กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไต่สวน นางกรุณา และพวก โดยระบุว่า มีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่เบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้สมาคมกีฬาจังหวัดบุรีรัมย์รวม 20 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในการให้ประชาชนร่วมชมและเชียร์ทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

แต่ต่อมา ในเดือน มิ.ย.2562 ป.ป.ช.ตัดสินว่านางกรุณา และพวกไม่มีความผิด โดยการตัดสินดังกล่าวเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีขึ้นในวันที่ 24 มี.ค.2562 อันเป็นที่มาของรัฐบาลภายใต้การนำของพลังประชารัฐ ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี และมีภูมิใจไทยเป็นหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาล

แม้แต่กลุ่มบ้านใหญ่ในพรรคพลังประชารัฐก็โดนคดีเช่นกัน เช่น “อนงค์วรรณ เทพสุทิน” ภรรยาของ “นายสมศักดิ์ เทพสุทิน” หนึ่งในแกนนำกลุ่มสามมิตร ก็ถูก ป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหาในช่วงกลางปี 2563 กรณีทุจริตคดีฝายแม้ว วงเงินงบประมาณ 770 ล้าน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมื่อปี 2551 และ ป.ป.ช. ได้ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน ในปี 2555 ซึ่งหมายความว่า ป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหาหลังจากตั้งอนุกรรมการไต่สวนนานถึง 8 ปี กระทั่งนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ออกมาโวยวายว่าเรื่องนี้มีความไม่ชอบมาพากล

“เรื่องนี้เกิดจากมีการลงชื่อร้องเรียน แต่จากการตรวจสอบข้อเท็จจริง คนที่มีชื่อร้องเรียนได้ยืนยันกับผู้ตรวจสอบว่าตัวเขาเองไม่ได้ลงชื่อร้องเรียน กระบวนการสอบเหมือนจงใจจะชี้นำหรือหาเหตุผลในการจับผิดให้ได้หรือไม่ การพิจารณาเรื่องนี้ยาวนาน มีการเปลี่ยนอนุกรรมการหลายชุด จนผมนั้นเข้าใจว่าเรื่องนี้ได้ยุติไปแล้ว กระทั่งเวลาผ่านมา 12 ปี ป.ป.ช.เพิ่งมาแจ้งให้รับทราบว่า คุณอนงค์วรรณ เกี่ยวข้อง เนื่องจากเป็นรัฐมนตรีในขณะนั้น เรื่องนี้ยาวนานมาถึง 12 ปี คุณอนงค์วรรณ ไม่เคยถูกเชิญให้เข้าชี้แจงใดๆ เลย” นายสมศักดิ์ ระบุ

ทั้งนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่าการแจ้งข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช.ต่อนางอนงค์วรรณ เกิดขึ้นช่วงเดียวกันกับที่มีการต่อรองแย่งชิงเก้าอี้รัฐมนตรีภายในพรรคพลังประชารัฐ

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน หนึ่งในแกนนำกลุ่มสามมิตร
ขณะที่ “นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม” แกนนำซุ้มปากน้ำ ก็เพิ่งถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด เมื่อวันที่ 31 ต.ค.2565 ที่ผ่านมา จากกรณีเงินทอนวัดสมุทรปราการ มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท เมื่อครั้งที่นายชนม์สวัสดิ์ ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารจังหวัด (อบจ.) สมุทรปราการ ช่วงปี 2554-2556 โดย ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดนายชนม์สวัสดิ์ ทั้งวินัย และอาญา ซึ่งในคดีอาญานั้น ป.ป.ช.เห็นว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151 กรณีเป็นเจ้าหน้าที่มีหน้าที่จัดทำ จัดซื้อและใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ซึ่งมีโทษจำคุก 5-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับ 1แสน-4 แสนบาท และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 กรณีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า มติ ป.ป.ช.ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการเคลื่อนไหวย้ายพรรคของ “ซุ้มปากน้ำ” ในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือน ต.ค.2565 โดยแว่วว่ามีการเปิดดีลเตรียมย้ายจากพลังประชารัฐ ไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย เนื่องจากนายชนม์สวัสดิ์ เป็นญาติกับ พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีกีฬาและท่องเที่ยว พรรคภูมิใจไทย และส่วนตัว ชนม์สวัสดิ์ ก็รู้จักมักคุ้นกับเนวิน ชิดชอบ อยู่แล้ว

“สมศักดิ์ เทพสุทิน เมียก็โดนคดี เอาเชือกคล้องคอไว้หมด กลุ่มปากน้ำก็คดียังไม่จบ คนเราแค้นนานวันเข้าถึงจุดหนึ่งก็ระเบิด แม้แต่คดีตู้ห่าว จริงๆ แล้วเป้าหมายจริงๆ คือ พล.อ.ประวิตร และเพื่อยุบพรรคพลังประชารัฐ ส่วนธรรมนัส เป็นแค่ทางผ่าน เมื่อเป็นอย่างนี้จะไปกันได้หรือ ทุบหม้อข้าวตัวเอง ไปตั้งพรรคใหม่ ตอนนี้ ส.ว.ก็แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ทีมบิ๊กตู่ กับทีมบิ๊กป้อม ซึ่งทีมบิ๊กป้อม มี ส.ว.สนับสนุนมากกว่า เหตุที่ทั้งพรรคการเมือง และ ส.ว.ไม่เอาบิ๊กตู่ ก็เพราะใครเข้าไปหาแกก็ไม่ต้อนรับ เมื่อก่อนแกคุยด้วยที่ไหน แต่ลุงป้อม ใครไปหาแกก็เออออหมดแหละ” แหล่งข่าว ระบุ

นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ)
ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับที่ นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวในช่วงวันสองวันนี้ ว่า

“ชัดเจนแล้วว่า พล อ.ประยุทธ์ จะไปพรรครวมไทยสร้างชาติ ปัญหาข้อแรกสุดคือจะต้องได้ ส.ส 5% คือ 25 คน มิฉะนั้นพระจันทร์ดับแน่! จะเอา ส.ส. 25 คนมาจากที่ไหน? คือปัญหาใหญ่ที่จุกอกอยู่ในขณะนี้ และนี่คือที่มาของศึกแย่ง ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ จนมองหน้ากันไม่ติดแล้ว

กลุ่มพรรคการเมืองขั้วกลางก่อตัวแน่นขึ้นทุกวัน อย่าทำเป็นเล่นกับ "มือประสานงานฟอร์มรัฐบาล" ของพรรคขั้วกลาง ท่านบรรหาร พลิกล็อกเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2537 ก็มือนี้แหละ ไม่เบานะจะบอกให้ อ้าว...ทิศทางของพรรคการเมืองขั้วกลางคือ "ไม่เอาตู่"

แต่ลุงป้อม บารมียังมาก ความเชื่อถือในเรื่อง พบง่ายใจถึงที่ปรากฏมานานทำให้รักษา ส.ส เดิมไว้ได้ระดับ 60 คน ใครจะกลับเพื่อไทย ไปภูมิใจไทยไม่ว่ากัน! แต่ถ้าจะไปรวมไทยสร้างชาติก็ดึงขาไว้ก่อน การฟื้นตัวของกลุ่ม 16 ประสานกับบ้านใหญ่ "ฉายแสง" และ "ปากน้ำ" ทำให้กลุ่มตะวันออกของ รทสช. ไม่เจิดจ้าดังคาดหวัง”

ขณะนี้หลายฝ่ายจึงต่างจับตาว่า “มือประสาน” ในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้คือใคร? แต่ที่แน่ๆ จะต้องเป็นคนที่มากบารมี และมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับบรรดาพรรคขั้วกลาง

ผศ.วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
ด้าน ผศ.วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต วิเคราะห์ว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้ามีความเป็นไปได้สูงที่พรรคพลังประชารัฐจะเปลี่ยนจากพรรคขนาดใหญ่เป็นพรรคขนาดกลาง เนื่องจากขณะนี้มีเลือดไหลออกจำนวนไม่น้อย โดย ส.ส.ที่ไหลออกไปก็มีทั้ง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ และ ส.ส.เขต ซึ่งเสียรังวัดไปพอสมควรในเรื่องของการหาเสียง คนที่ย้ายออกไปเพราะเขารู้ว่าไม่สามารถชูผลงานในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาได้ พรรคไม่สามารถตอบโจทย์ตามที่ได้หาเสียงไว้ โดยพรรคซึ่งเป็นที่หมายใหม่คือรวมไทยสร้างชาติ เพราะคนที่ย้ายไปเชื่อว่าชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังขายได้ ตอนนี้สิ่งแรกที่ พล.อ.ประวิตร ทำก็คือพยายามต่อสายเพื่อรักษา ส.ส.เขตไว้ โดยเฉพาะกลุ่มตระกูลการเมืองต่างๆ ซึ่งถ้ารักษาไว้ได้สัก 5-6 ตระกูล ความเป็นพรรคขนาดกลาง ได้สัก 30 กว่าที่นั่งก็พอเป็นไปได้

ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาตินั้นขณะนี้ยังประเมินไม่ได้ว่าจะได้กี่เสียง เพราะอยู่ในช่วงของการรวมกำลังว่าจะมี ส.ส.ย้ายมาอยู่กับรวมไทยสร้างชาติกี่คน ตอนนี้เขาต้องการรวบรวม ส.ส.ให้ได้มากที่สุดก่อน ซึ่งหลังปีใหม่น่าจะเห็นความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งหากรวมไทยสร้างชาติได้ 25 เสียงขึ้นไป ระดับปาร์ตี้ลิสต์น่าจะมีความชัดเจนเพิ่มขึ้นด้วย เพราะอย่าลืมว่าการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งครั้งหน้าจะกาบัตร 2 ใบ ซึ่งไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่ารวมไทยสร้างชาติจะได้ ส.ส.เขตแล้ว ปาร์ตี้ลิสต์จะถูกเลือกไปด้วย

“พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่มั่นใจว่าไปอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติแล้วจะได้คะแนนเสียงมากพอที่จะเป็นนายกฯ หรือไม่ จึงยังไม่อยากเลือกตั้ง ยื้อเวลาออกไปก่อน รอดูว่า ส.ส.ที่ไหลเข้ารวมไทยสร้างชาติจะมีมากน้อยเพียงใด ทั้ง ส.ส.จากพลังประชารัฐ และประชาธิปัตย์ ซึ่งคิดว่าหลังปีใหม่น่าจะมีความชัดแจน แต่อย่างไรก็ต้องมีการเลือกตั้งอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นเกิดความวุ่นวายทางการเมืองตามมา” ผศ.วันวิชิต กล่าว


ส่วนผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ว่าการคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ สูตรหาร 100 ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ จะส่งผลอย่างไรต่อพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยรักษาชาติ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นพรรคขนาดกลาง นั้น ผศ.วันวิชิต ชี้ว่า ถ้าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อสูตรหาร 100 ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ พรรคเล็กจะไม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อมากนัก เพราะจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อจะเป็นไปตามสัดส่วนความนิยมที่คนเลือกพรรค ดังนั้น พรรคที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลจึงไม่จำเป็นต้องง้อพรรคเล็ก แต่พรรคเล็กต้องพยายามให้ตัวเองเป็นที่ต้องการโดยผนวกกับพรรคเล็กด้วยกันเพื่อให้มีอำนาจต่อรองมากขึ้น

ขณะที่พรรคขนาดกลางจะได้รับผลกระทบจากสูตรหาร 100 มากน้อยแค่ไหนนั้นขึ้นกับศักยภาพของพรรคว่ามีความโดดเด่นในส่วนของผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อมากน้อยเพียงใด ถ้าไม่โดดเด่นก็อาจจะได้คะแนนในส่วนนี้น้อย แต่ถ้าโดดเด่นจะช่วยดึงคะแนนให้พรรคได้

“ถ้าเป็นสูตรหาร 500 พรรคขนาดกลางจะมีผลกระทบในส่วนของ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ซึ่งตอนนี้พรรคขนาดกลางพยายามปรับตัวโดยการรวบรวม ส.ส.เขต หรือคนที่จะมีโอกาสได้เป็น ส.ส.เขตให้ได้มากที่สุด ที่ผ่านมา พรรคเหล่านี้อยู่ได้ พรรคขนาดกลางมักจะประนีประนอมเพื่อรักษาพรรคตนเองให้อยู่รอดต่อไป อย่างไรก็ดี ถ้าเป็นสูตรหาร 500 พรรครวมไทยสร้างชาติน่าจะได้ประโยชน์เพราะสามารถดึงบุคคลที่มีชื่อเสียงมาสังกัดพรรคได้เพราะเขามีโอกาสจะได้เป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์” ผศ.วันวิชิต ระบุ




กำลังโหลดความคิดเห็น