“ทนายเจมส์” เผยเดินหน้าฟ้อง “เจนนี่” สัปดาห์นี้ ยันหลักฐานชัด “เก้า” ถือลิขสิทธิ์ร่วมเพลงเลิกคุยทั้งอำเภอ แจงเก้าใจดี ฟ้องเรียกส่วนแบ่ง 30% ก่อน หากไม่ได้ข้อยุติเตรียมฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์ แบ่ง 50% พร้อมทั้งแจ้งลบคลิป เตือนเรื่องถึงยูทูป อาจถูกเรียกคืนรายได้ทั้งหมดจาก 350 ล้านวิว แถมโดนคดียักยอกทรัพย์ กรณีโกงค่าตัวออกรายการอีก 4 คดี ชี้โทษสูงสุดจำคุกถึง 12 ปี
เรียกว่างานเข้ากันรัวๆ สำหรับนักร้องสาวใต้ “เจนนี่-รัชนก สุวรรณเกตุ” เจ้าของค่ายเพลง “ได้หมดถ้าสดชื่น” ทั้งกรณีทิ้งพ่อบังเกิดเกล้า โดนแฉเรื่องอมเงินเด็กในค่าย ส่งผลให้มีศิลปินตัดสินใจออกจากค่ายแล้วถึง 5 คน คือ เปา-กิ่งกาญจน์ ส่องสว่าง อั๋น-ปาลิตา ก๊กใหญ่ อาร์-ชิษณุพงศ์ ใจดี เบบอล-พัชรพล ผิวผ่อง และบีม-โชคทวี ยายีรัมย์ ล่าสุด ยังมีกรณีคลิปเจ้าหนี้บุกทวงเงิน สารพัดเรื่องฉาวทำเอาชาวโซเชียลและประชาชนแห่แบนเจนนี่อย่างหนัก ถึงขั้นแอนตี้สินค้าที่เจนนี่โฆษณา ขอคืนสินค้าที่เจนนี่รีวิว ทำเอาเจ้าภาพผู้จัดคอนเสิร์ตหลายรายต้องประกาศเปลี่ยนตัวศิลปินจากเจนนี่ เป็นวงอื่นเพราะต้านกระแสแอนตี้ไม่ไหว
แต่กรณีที่คนจับตามากที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องปัญหาส่วนแบ่งรายได้จากยอดวิวยูทูปเพลง “เลิกคุยทั้งอำเภอเพื่อเธอคนเดียว” ระหว่างเจนนี่ กับ “เก้า-เกริกพล เพชรรัตน์” ที่มาช่วยฟิเจอริ่งและร่วมแสดง MV กับลิลลี่ ซึ่งเป็นน้องสาว โดยเก้าออกมาทวงสัญญาส่วนแบ่ง 30 : 70 แต่เจนนี่ยืนยันว่าสัญญาใจไม่มีจริง อีกทั้งยังมีกรณีโกงค่าตัวในการออกรายการทีวีหลายรายการที่เจนนี่รับค่าตัวมาหลักหมื่นแต่แบ่งให้เก้าแค่ 500 เกิดเป็นกระแสวิจารณ์อย่างหนัก ทั้งบรรดานักกฎหมายและผู้ใหญ่ในวงการต่างแนะนำให้สองฝ่ายพูดคุยกัน ขณะที่เจนนี่ตีมึนยืนยันไม่โกง ไม่เคลียร์ ไม่จ่าย กระทั่ง “ทนายเจมส์-นิติธร แก้วโต” ทนายที่คร่ำหวอดในการทำคดีให้ศิลปินดาราทั่วฟ้าเมืองไทย อาสาเข้ามาทำคดีให้เก้า-เกริกพล โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพราะเห็นใจในความซื่อของเก้า และครอบครัว สังคมจึงอยากรู้ว่าขณะนี้คดีดังกล่าวคืบหน้าไปถึงไหน มีการดำเนินการอะไรไปแล้วบ้าง
นิติธร แก้วโต ทนายเจ้าของคดีได้เปิดเผยในเรื่องนี้ว่า เนื่องจากเจนนี่ไม่มีท่าทีที่จะเจรจา ตนและผู้ใหญ่ฝ่ายเก้าจึงตัดสินใจดำเนินคดีทั้งกรณีส่วนแบ่งรายได้จากยูทูป และกรณีโกงค่าตัวในการออกรายการ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลหลักฐาน ซึ่งคาดว่าในสัปดาห์นี้คดีจะเริ่มเดินหน้า
สำหรับกรณีส่วนแบ่งรายได้จากยอดวิวยูทูปเพลงเลิกคุยทั้งอำเภอฯ นั้นจะดำเนินตามขั้นตอน ดังนี้ 1) ฟ้องเรียกส่วนแบ่งรายได้ตามข้อตกลง 30 : 70 ก่อน หากเจนนี่ไม่ยอมจ่ายหรือตกลงกันไม่ได้ จะดำเนินการในขั้นที่ 2 และ 3 ไปพร้อมกัน คือ ขั้นที่ 2) จะดำเนินการฟ้องตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ เรียกส่วนแบ่ง 50% ของรายได้จากยอดวิว ขั้นที่ 3) ดำเนินการเพื่อให้มีการลบคลิป เพลงเลิกคุยทั้งอำเภอฯ ซึ่งสามารถดำเนินการได้ 3 ช่องทาง คือ 1.ยื่นฟ้องศาลเพื่อให้มีคำสั่งให้เจนนี่ทำการลบคลิป 2.แจ้งผ่านระบบยูทูปให้ทำการลบคลิป และ 3.ส่งหนังสือถึงยูทูปให้ดำเนินการลบคลิปดังกล่าว
“เก้าเขาเป็นเด็กที่ซื่อมาก ถามเขาว่าในเมื่อเจนนี่ไม่เจรจา เราฟ้องตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ เรียกส่วนแบ่ง 50% เลยไหม เก้าบอกว่าไม่เอา เขาอยากได้แค่ 30% ตามที่ตกลงกันเท่านั้น เราเลยฟ้องเรียก 30% ก่อน ซึ่งจากยอดวิว 350 ล้านวิวก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 3 ล้านบาท แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ค่อยไปถึงขั้น พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ และแจ้งลบคลิป โดยส่วนตัวผมไม่อยากให้เรื่องถึงยูทูป ผมสงสารเด็กๆ ในค่ายเพราะถ้ามีการลบคลิปรายได้จะหายไปเยอะ เจนนี่ไม่มีเงินจ่าย เด็กๆ จะอยู่ยังไง เพราะนอกจากจะสูญรายได้ในอนาคตแล้วทางยูทูปอาจจะใช้ประเด็นเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์เรียกคืนรายได้จากยอดวิวเพลงเลิกคุยฯ ที่เคยจ่ายให้เจนนี่ทั้งหมดด้วย” นายนิติธร กล่าว
อย่างไรก็ดี ในส่วนของส่วนแบ่งรายได้จากยอดวิวยูทูปของเพลงคุยทั้งอำเภอฯ นั้น ทางด้านเว็บไซต์ Influencermarketinghub ซึ่งเป็น Agency ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการตลาดในวงการ Influencer ได้คำนวณว่าปัจจุบันเพลงนี้มียอดวิวกว่า 350 ล้านวิว สร้างรายได้มากถึง 647,851 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทย 20,251,822 บาท (อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ = 31.26 บาท) ดังนั้น ส่วนแบ่ง 30% จะอยู่ที่ประมาณ 6,075,546 บาท และหากฟ้องตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ เรียกส่วนแบ่งรายได้ 50% ก็จะอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านบาท
สำหรับประเด็นที่เก้าใช้ในการสู้คดีกรณีส่วนแบ่งรายได้ยูทูปเพลงเลิกคุยทั้งอำเภอฯ นั้น ทนายเจมส์ ชี้แจงว่า ทางเก้าจะสู้ในประเด็นลิขสิทธิ์ร่วมในการสร้างสรรค์ผลงาน MV โดยมีหลักฐานชัดคือเสียงร้องและภาพของเก้าที่ปรากฏใน MV อีกทั้งยังมีการไทอิน (Tie-in) สินค้าใน MV มีภาพเก้าทาครีมซึ่งเป็นสปอนเซอร์ของ MV นี้ และหลังจากถ่าย MV เสร็จเก้ายังได้ถ่ายโฆษณาครีมดังกล่าว ซึ่งมีคลิปโฆษณาเป็นหลักฐานเช่นกัน โดยที่เก้าไม่ได้รับค่าจ้างการไทอินและการโฆษณาแต่อย่างใด
ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเป็นการร่วมลงทุนในการสร้างสรรค์ MV โดยเก้าลงทุนด้วยเสียงร้อง การแสดง และชื่อเสียงในฐานะศิลปินจากเดอะวอยซ์ที่มีฐานแฟนคลับ หรือยอดผู้ติดตามถึง 8.84 แสนคน
นอกจากนั้น ยังมีคลิปที่เจนนี่ให้สัมภาษณ์รายการดันดาราว่า MV นี้เจนนี่ไม่ต้องลงทุนเพราะมีสปอนเซอร์ โดยเจนนี่ได้กำไรถึง 5 หมื่นบาท ก่อนที่เพลงจะออกเสียอีก จึงมีคำถามว่าเจนนี่เอาอะไรไปขายสปอนเซอร์ ถ้าไม่ใช่ชื่อเสียงและจำนวนฐานแฟนคลับของเก้า เพราะก่อนที่เพลงเลิกคุยทั้งอำเภอฯ จะออก ยังไม่มีใครรู้จักลิลลี่ซึ่งเป็นนักร้องนำและตัวลิลลี่ก็ยังไม่เคยมีผลงาน
อีกทั้งหากพิจารณาจากไทม์ไลน์ในการจ่ายเงินและทวงถามส่วนแบ่งรายได้ก็ชี้ให้เห็นว่าไม่ใช่การจ้างฟิเจอริ่งตามที่เจนนี่กล่าวอ้าง เพราะเจนนี่ให้เงินเก้า 1 หมื่นบาทหลังจากบันทึกเสียงร้องเสร็จ และก่อนวันที่จะถ่าย MV เจนนี่ได้โทร.บอกเก้าให้ซื้อเสื้อผ้าที่จะใช้ใส่ใน MV ซึ่งเมื่อรวมค่าเสื้อผ้า ค่าที่พัก และค่าเดินทางแล้วเก้าต้องควักเนื้ออีก 2 พันบาท เมื่อยอดวิวแตะ 10 ล้านวิว เก้าได้โทร.ไปคุยกับเจนนี่เรื่องรายได้ยูทูป แต่เจนนี่เพิกเฉย จากนั้นเมื่อยอดวิวขึ้นถึง 100 ล้านวิว พ่อเก้าจึงได้โทร.ถามถึงส่วนแบ่งรายได้อีกครั้ง เจนนี่จึงโอนเงินมาให้อีก 2 หมื่น ตรงนี้ชี้ให้เห็นว่าไม่ใช่การจ้างฟิเจอริ่ง เพราะหากเป็นการจ้าง เจนนี่จะต้องจ่ายค่าจ้างตามจำนวนที่ตกลงกันทันทีที่เก้าถ่าย MV เสร็จ ไม่ใช่ทิ้งเวลาไปจนยอดวิวขึ้นถึง 100 ล้านวิว
และการที่เก้าทวงถามส่วนแบ่งหลังจากยอดวิวขึ้นไป 10 และ 100 ล้านวิว ก็เพราะเป็นการสร้างสรรค์งานร่วมกันและส่วนแบ่งรายได้ที่ตกลงกันนั้นเป็นรายได้ที่จะมาจากยอดวิวในยูทปนั่นเอง
“การที่เจนนี่อ้างว่าจ้างเก้ามาฟิเจอริ่งนั้นฟังไม่ขึ้นเพราะเป็นไปไม่ได้ที่เก้าซึ่งมีชื่อเสียงจากเดอะวอยซ์ และมีฐานแฟนคลับเกือบ 9 แสนคน จะไปฟิเจอริ่งกับเด็กต่างจังหวัดที่ยังไม่เคยมีผลงานอย่างลิลลี่ด้วยค่าตัวเพียงหมื่นเดียว ทั้งที่เสียงร้องและการแสดงของเก้าที่ปรากฏใน MV จะเป็นผลงานที่คงอยู่และสามารถสร้างรายได้จากยูทูปไปตลอด และด้วยชื่อเสียงของเก้าไปออกงานแต่ละครั้งก็ได้เป็นหมื่นแล้ว ดังนั้น เจนนี่ต้องหาหลักฐานมายืนยันว่าถ้าไม่ใช่ข้อเสนอ 30% ของรายได้ยูทูป เจนนี่มีข้อเสนออะไรที่ทำให้เก้าตัดสินใจไปฟิเจอริ่งกับลิลลี่” ทนายเจมส์ กล่าว
ทั้งนี้ ในกรณีที่หากมีการฟ้องตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ นอกจากฝ่ายโจทก์คือเก้า จะเรียกส่วนแบ่ง 50% ของรายได้ยูทูปจากเจนนี่แล้ว คดีดังกล่าวยังมีโทษปรับ 1-8 แสนบาท หรือจำคุก 6 เดือน ถึง 4 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับอีกด้วย ซึ่งหากพิจารณาจากพยานหลักฐานต่างๆ ที่ทนายเจมส์ระบุแล้วถือว่าเป็นการเสี่ยงอย่างยิ่งถ้าเจนนี่จะสู้ในคดีนี้
ส่วนกรณีโกงค่าตัวในการออกรายการทีวีนั้น ทนายเจมส์ ระบุว่า หากในการฟ้องเรียกส่วนแบ่ง 30% ของรายได้จากยูทูปไม่สามารถตกลงกันได้ ก็จะมีการฟ้องดำเนินคดีข้อหายักยอกทรัพย์จากกรณีที่เจนนี่โกงค่าตัวในการออกรายการของเก้าด้วย
โดยภายในสัปดาห์นี้ตนจะไปขอหลักฐานการจ่ายเงินจากสถานีโทรทัศน์ หรือเจ้าของรายการทั้ง 4 รายการ และจะมีการแจ้งความเพื่อรักษาอายุความไว้ก่อน เนื่องจากอายุความจะเริ่มนับตั้งแต่วันที่รู้ว่ามีการยักยอก โดยจะดำเนินการแจ้งความที่ สน. ในท้องที่เกิดเหตุ 4 แห่งด้วยกัน และแยกเป็น 4 คดี
“เนื่องจากในการเดินสายออกรายการนั้น มี 4 รายการที่เก้าถูกเจนนี่โกงค่าตัว จึงนับเป็น 4 คดี เจนนี่อ้างว่าเก้าไม่มีหลักฐานว่าเจนนี่จ่ายแค่ 500 บาท ดังนั้น เจนนี่ก็ต้องไปหาหลักฐานมาว่าเจนนี่จ่ายให้เก้าเท่าไหร่ ขณะที่เก้ามีหลักฐานที่โพสต์ในเฟซบุ๊กว่าได้ 500 จริง คดีนี้นอกจากเจนนี่จะต้องคืนเงินค่าตัวที่โกงไปแล้ว แต่ละคดีจะมีโทษปรับไม่เกิน 6 หมื่น และจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ เมื่อรวมทั้ง 4 คดี โทษจำคุกสูงสุดอาจสูงถึง 12 ปีเลยทีเดียว”
ส่วนกรณีที่เด็กบางคนในค่ายได้หมดถ้าสดชื่นได้รับผลกระทบจากการร่วมงานกับเจนนี่ ไม่ว่าจะเป็นกรณีไม่ได้รับส่วนแบ่งรายได้จากยอดยิวในยูทูป หรือกรณีที่เจนนี่นำเนื้อร้องที่เด็กแต่งไปปรับแล้วใส่เครดิตผลงานเป็นชื่อเจนนี่นั้น ทนายนิติธร ชี้ว่า ถือว่าเข้าข่ายการละเมิดลิขสิทธิ์เช่นกัน โดยผู้ที่ได้รับความเสียหายสามารถยื่นฟ้องตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ได้ แต่เท่าที่ทราบขณะนี้ยังไม่มีเด็กคนไหนที่ต้องการจะฟ้องร้อง
“การทำคดีให้เก้าในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ช่วยให้เก้าได้รับส่วนแบ่งที่เป็นธรรมตามข้อตกลงเท่านั้น แต่ยังเป็นคดีตัวอย่างที่จะช่วยให้เด็กๆ ที่จะเข้าสู่วงการบันเทิงไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ทำให้คนที่คิดจะทำธุรกิจค่ายเพลงตระหนักว่าบ้านเรามีกฎหมายที่คุ้มครองศิลปินที่เป็นเจ้าของผลงาน อย่าคิดว่าไม่มีสัญญาจะทำอะไรก็ได้” ทนายเจมส์ กล่าว