“เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์” แนะแผนการฟื้นฟูและพัฒนาประเทศหลังโควิด-19 ต้องกู้เงินดอกเบี้ยต่ำในต่างประเทศ 3 ล้านล้านบาท พัฒนา 4 ด้าน ชู “จุดแข็ง-จุดขาย” ด้านการท่องเที่ยวผสมผสานสุขภาพ ที่พิสูจน์ได้แพทย์และพยาบาลไทยเจ๋งที่สุด จากการติดเชื้อโควิด-19 กลุ่มแรกต้องดึงมหาเศรษฐีจีนเที่ยวไทย การันตี “ปลอดโรค ปลอดภัย” พร้อมดึงคนเก่งทั่วโลกมาลงทุนใน EEC แต่ต้องยอมให้ได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาฯ ขณะเดียวกัน สร้างต้นแบบเกษตรผสมผสาน 4 แห่ง และโครงการปลูกน้ำ ที่จะนำไปสู่โครงสร้างการเกษตรใหม่ที่จะทำให้เกษตรกรไม่จนอีกต่อไป เพื่อก้าวสู่ยุคธุรกิจเกษตรอัจฉริยะครบวงจรที่คนรุ่นใหม่สนใจ!
นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) กล่าวว่า รัฐบาลต้องใช้วิกฤตโควิด-19 ที่เกิดขึ้น จากมาตรการล็อกดาวน์ สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจเดือนละมากกว่า 5 แสนล้านบาท รวม 2 เดือน ความเสียหายอยู่ที่ 1 ล้านล้านบาท แปรเปลี่ยนเป็นโอกาสด้วยการดึงศักยภาพของประเทศไทยผลักดันให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก
เพียงแต่ว่ารัฐบาลต้องกล้าตัดสินใจลงทุนทั้งเรื่องของการสร้างทุนมนุษย์ ดึงคนเก่งจากทั่วโลกเข้ามาร่วม และนำจุดแข็งที่มีอยู่โดยเฉพาะเรื่องของการท่องเที่ยว และภาคการเกษตร ถือเป็นสมบัติของชาติ หรือที่ “เจ้าสัว” เรียกว่า “น้ำมันในดิน” ใช้หล่อเลี้ยงชีวิตมนุษย์ ปรับกระบวนทัศน์ใหม่ ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพตรงความต้องการของตลาด และในที่สุดจะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้สูงตามไปด้วย
แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกัน เครือซีพีก็ได้มีส่วนร่วมด้วยการบริจาคในรูปแบบต่างๆ มีมูลค่า 700 ล้านบาท พร้อมกันนั้น ได้มีการวางแผนดำเนินการต่ออีก 4 โครงการ คือ 1.โครงการปลูกน้ำ เป็นการพัฒนาแหล่งน้ำ ระบบชลประทานเป็นแก้มลิง 4.0 2.โครงการเกษตรผสมผสาน เป็นโครงการต้นแบบ 4 ประสาน เป็นความร่วมมือ 4 ฝ่าย คือ รัฐบาล เอกชน สถาบันการเงิน และเกษตรกร เพิ่มรายได้เกษตรกรให้มีรายได้สูงอย่างยั่งยืน 3.โครงการแพลตฟอร์มออนไลน์ เป็นการเรียนทางไกลและแพทย์ทางไกล และ 4.โครงการวิจัยสู้ภัยโควิด-19 เป็นการวิจัย Test Kit, วัคซีน และยารักษาโรค
ที่สำคัญ เจ้าสัวธนินท์ ยืนยันว่า ประเทศไทยจะรอช้าไม่ได้อีกแล้ว จะต้องรีบดำเนินการฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศจากพิษโควิด-19 เพราะวันนี้ประเทศไทยสว่างแล้ว ทั้งที่ประเทศไทยควรมีผู้ป่วยและเสียชีวิตจากเชื้อโควิด-19 มากที่สุดในอาเซียน เพราะมีคนมาเที่ยวในไทยปีละ 40 ล้านคน แต่กลับมีผู้ป่วยน้อยและมีผู้เสียชีวิตเพียง 50 กว่าคน
จากข้อมูลล่าสุด (14 พ.ค.) มีผู้ป่วยสะสมเพียง 3,018 ราย มีผู้เสียชีวิต 56 ราย
นี่คือ การพิสูจน์แล้วว่า แพทย์ไทย และระบบสาธารณสุขของไทย เก่ง และดีเยี่ยม!
ทั้งที่ช่วงการประกาศปิดเมือง ปิด กทม. มีคนเดินทางจากกรุงเทพฯ กลับไปต่างจังหวัด ที่ถือว่าเป็นจุดอันตรายที่สุดในช่วง 2 สัปดาห์นั้น เวลาผ่านไป 2 สัปดาห์ กลับไม่มีปัญหา ไม่มีคนป่วยเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง ดังนั้น หากรัฐบาลจะเปิดเมือง ก็ไม่น่าจะมีผู้ป่วยทะลักแบบเกาหลี และญี่ปุ่น
ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลจะใช้ในการฟื้นฟูประเทศในเวลานี้ เจ้าสัวธนินท์ บอกว่า จะต้องใช้จุดแข็งที่เรามีอยู่อันดับแรก คือ ด้านการท่องเที่ยว ผสมผสานกับสาธารณสุข นำเสนอออกไปสู่ทั่วโลกให้เห็นว่าประเทศไทยมีดีอย่างไร ทุกคนเข้ามาท่องเที่ยว มาพักผ่อนในประเทศไทยจะปลอดโรค ปลอดภัย ไม่ต้องเครียดเหมือนที่อยู่ในประเทศของตัวเอง ซึ่งอยู่ท่ามกลางการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 โดยจะสามารถมาพักผ่อนและท่องเที่ยวทั้งครอบครัวได้
นั่นคือ การผลักดันการท่องเที่ยวสู่การเป็นศูนย์กลางการแพทย์และสุขภาพ!
ทั้งนี้ เพราะประเทศไทยมีศักยภาพพร้อม มีโรงแรมที่พักระดับ 5 ดาว มีแหล่งท่องเที่ยวสวยงามทั่วประเทศ มีเสน่ห์ด้านการบริการ และมีโรงพยาบาลเอกชนที่มีชื่อเสียง ซึ่งมหาเศรษฐีหลายประเทศนิยมมารักษาอยู่แล้ว
เจ้าสัวธนินท์ บอกว่า เราจะต้องดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ ระดับเศรษฐี 5 ล้านคน มาใช้บริการทางการแพทย์ในไทย ทั้งการตรวจร่างกาย เช็กร่างกาย การเสริมความงาม การผ่าตัด ซึ่งเป็นการเปิดตลาดท่องเที่ยวใหม่ที่มีการใช้จ่ายสูง เฉลี่ย 2 แสนบาทต่อคน จะสร้างรายได้ 1 ล้านล้านบาทต่อปี
แต่การจะผลักดันให้คนกลุ่มนี้เข้ามาท่องเที่ยวและดูแลสุขภาพในไทยได้นั้น รัฐบาลจะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้คนต่างชาติมีความมั่นใจในเรื่องนี้ว่าประเทศไทยมีความพร้อมอย่างไร เข้ามาเที่ยวในประเทศไทย ไม่มีการติดเชื้อโควิด-19 แน่นอน
“ทีมไทยแลนด์ ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ที่อยู่แต่ละประเทศต้องทำหน้าที่บอก และสร้างความเชื่อมั่น จากนั้น สมาคมท่องเที่ยว บริษัททัวร์ ก็ต้องเดินหน้าดึงกลุ่มทัวร์เข้ามา ปฏิบัติตามมาตรการที่ถูกต้อง พาไปท่องเที่ยวที่ปลอดภัย ไม่ใช่ปล่อยให้ไปเที่ยวสุ่มสี่สุ่มห้า คือ ต้องรักษาชีวิตเขาให้ปลอดภัย จนกระทั่งส่งกลับบ้านเขา”
โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติระดับเศรษฐี ที่เจ้าสัวธนินท์ แนะนำให้รีบเจาะตลาดเป็นกลุ่มแรก คือ กลุ่มมหาเศรษฐีในประเทศจีน จำนวน 20% หรือ 280 ล้านคน มีฐานะร่ำรวย คนกลุ่มนี้มาเที่ยวเมืองไทยแน่ๆ เพราะการที่เขาอยู่ประเทศจีนในเวลานี้ก็เหมือนติดคุก เพราะไปไหนก็ไม่ได้ ดังนั้น การมาเมืองไทยก็เหมือนการมาพักผ่อนโดยตรง
“เชื่อผม หลักจากนี้การท่องเที่ยวจะบูมมาก เพราะปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และการ WFH ทำให้จากนี้ไปจะทำงานที่ไหนก็ได้ คนจีนมาเที่ยวภูเก็ต ก็ทำงาน ส่งงานได้ ประชุมออนไลน์เห็นหน้ากันได้ทั่วโลก ซึ่งตรงนี้จะทำให้คนนิยมท่องเที่ยวไปด้วย ทำงานไปด้วยได้”
เจ้าสัวธนินท์ บอกว่า รัฐบาลต้องกู้เงิน 3 ล้านล้านบาท เพื่อการฟื้นฟูประเทศ แต่ควรจะกู้ต่างประเทศ เป็นการกู้ระยะยาว 30 ปี เพื่อใช้ในการ 1.ฟื้นฟูและพัฒนาในเรื่องของภาคการเกษตร ให้มีรายได้สูงขึ้น 2.ใช้ในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว 3.ใช้ในการวางระบบสาธารณสุข สร้างบุคลากรทางการแพทย์ หมอ พยาบาล โรงพยาบาลรองรับการเป็นศูนย์กลางการแพทย์และสุขภาพของโลก 4.ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ หรือให้การช่วยเหลือบริษัทเอกชนที่มีคุณภาพ เพื่อผลักดันธุรกิจและดูแลการจ้างงาน อย่างน้อยช่วย 70% ช่วยให้พนักงานไม่ตกงาน
“ควรจะออกพันธบัตร ไปกู้เงินดอกเบี้ยถูกๆ จากทั่วโลก เพื่อมาปล่อยให้เอกชนดอกเบี้ยต่ำได้ด้วย ไม่ใช่ออกพันธบัตรมากู้จากคนไทย ซึ่งเป็นบ่อเดียวกัน ทำให้ไม่มีอะไรเพิ่มเติมได้”
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีจุดแข็งที่จะดึงนักธุรกิจ นักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์เศรษฐกิจของโลก โดยเฉพาะเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC ต้องดึงคนเก่งเข้ามาลงทุน มาทำงานประมาณ 5 ล้านคน เพื่อให้เขามาช่วยสร้างธุรกิจใหม่ๆ ดึงเงินตราเข้าประเทศ
“คนกลุ่มนี้มาก็จะมีการพัฒนาด้านอื่นตามมา อสังหาริมทรัพย์ก็จะโตขึ้น โรงเรียนนานาชาติก็จะเติบโต โรงพยาบาล ก็จะเป็นที่ต้องการ การจับจ่ายใช้สอยก็ดี เพราะพวกนี้จะมาเป็นครอบครัว เพียงแต่ว่าเราต้องกล้าที่จะแก้กฎหมายที่เอื้อต่อการลงทุน ซึ่งวันนี้ไทยพร้อมมาก ระบบขนส่งเราก็พร้อม”
โดยเฉพาะเรื่องอสังหาริมทรัพย์ เจ้าสัวธนินท์ บอกว่า เราต้องให้เขาซื้อที่อยู่อาศัยเป็นกรรมสิทธิ์ได้ ซึ่งถ้าประเทศไทยชักชวนคนร่ำรวยจำนวนล้านคน คนกลุ่มนี้จะนำเงินเข้ามา 3 แสนล้านบาทไทย เมื่อถึงระยะเวลา 10 ปี เราก็จะได้ 3 ล้านล้านบาทไทย ซึ่งประเทศไทยจะดีขึ้นทันที
“ให้ต่างชาติได้กรรมสิทธิ์ไปเถอะ อย่าไปต่อต้าน เพราะเขาซื้ออสังหาฯ บ้านเรา ก็ต้องทำตามระเบียบ กฎหมายของบ้านเรา เราก็จะคุมเขาอยู่แล้ว ไม่ต้องไปกลัว เขาหอบที่ดินหนีหายไปไม่ได้หรอก คนพวกนี้จะถูกหล่อหลอมด้วยวัฒนธรรมบ้านเราที่ดีที่สุด ผมเห็นต่างชาติมาอยู่เมืองไทย จะรักเมืองไทยและกลายเป็นคนไทย ไม่มีใครอยากกลับไปบ้านตัวเอง”
ดังนั้น การท่องเที่ยวและสุขภาพจึงเป็นจุดขายที่เจ้าสัวธนินท์ บอกต้องเร่งผลักดันเป็นอันดับแรก เพราะจะสร้างเม็ดเงินได้เร็ว จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็วเช่นกัน
เจ้าสัวธนินท์ บอกอีกว่า สิ่งที่เครือซีพีมีแผนที่จะดำเนินการต่อซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาภาคการเกษตร และทำให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้นแบบยั่งยืนนั้น เบื้องต้น “ซีพี” จะสร้างโมเดลต้นแบบเป็นโครงการเกษตรผสมผสาน 4 แห่ง ที่มีความคล้ายโครงการเกษตรกรรมหมุนเวียนทันสมัย ผิงกู่ ประเทศจีน ซึ่งเป็นโครงการ “ไก่ไข่ครบวงจร 3 ล้านตัว” ที่ซีพีเข้าไปดำเนินการและตอบโจทย์ความต้องการของรัฐบาลจีนได้ ทั้งในด้านการเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร อาหารปลอดภัย และรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ที่จะทำในไทยจะมีความทันสมัยกว่าผิงกู่ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา
“จะลงทุนภายในปีนี้ แต่ละแห่งอาจจะมีการเลี้ยงหมู 3 แสนตัว เลี้ยงไก่ ล้านตัว มีการปลูกพืชต่างๆ มีโรงเชือดถูกสุขลักษณะ คือจะเป็นเกษตรครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เป็นโรงเรียนธุรกิจการเกษตรที่จะเปิดให้เกษตรกรเข้ามาเรียนรู้ มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ การมีส่วนร่วม กระจายรายได้ สร้างความมั่นคงทางอาหารให้แก่ประเทศไทย”
อย่างไรก็ดี การที่ซีพีเติบโตมาจากธุรกิจการเกษตร จึงเข้าใจถึงปัญหาและอุปสรรคของเกษตรกรไทย ที่ต้องอยู่ภายใต้ความเสี่ยงสูง ทั้งเรื่องเงินทุน ภัยธรรมชาติ และราคาสินค้าเกษตรที่ไม่แน่นอน และยังต้องเผชิญกับปัญหาที่ดินทำกิน ระบบชลประทานไม่เพียงพอ ขาดการจัดการน้ำ จึงขาดแคลนน้ำในภาคเกษตร รวมไปถึงการแห่ปลูกข้าว ปลูกพืชต่างๆ ที่ไม่ตรงกับความต้องการของตลาด ทำให้ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ เกษตรกรยากจนและมีหนี้สินที่ยากต่อการจัดการ
ซีพี จึงเสนอโครงการปลูกน้ำ เพื่อแก้ปัญหาระบบชลประทาน เนื่องจากประเทศไทยมีฝนตกปีละจำนวนมาก ซึ่ง 60% กลับถูกปล่อยไหลลงสู่ทะเล ขณะที่น้ำใต้ดินอีกจำนวนมากก็ไหลลงสู่ทะเลเช่นกัน ซีพี จึงมีโมเดลปลูกน้ำ จะมีการขุดดินสร้างเป็นอ่างเก็บน้ำ โดยดินที่ขุดออกมานั้นจะมีการนำไปสร้างเป็นเนินปลูกต้นไม้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ส่วนในพื้นที่โครงการปลูกน้ำ ก็สามารถเลี้ยงสัตว์ ทำเกษตรผสมผสาน ที่สามารถเลือกปลูกพืชที่มีมูลค่าสูงที่ต้องใช้น้ำปริมาณมากได้ และอ่างเก็บน้ำก็สามารถนำปลาไปเลี้ยงสร้างรายได้อีกทางหนึ่ง
“โครงการปลูกน้ำ ซีพี กำลังเลือกสถานที่ทำโมเดลต้นแบบ แต่โครงการนี้จะสำเร็จได้รัฐบาลต้องเข้ามาช่วยในการผลักดันให้เกิดขึ้นหลายๆ แห่งจึงจะช่วยเกษตรกรได้ทั่วถึง”
“เจ้าสัวธนินท์” ย้ำว่า ทั้ง 2 โครงการ คือ โครงการเกษตรผสมผสานที่ทันสมัย และโครงการปลูกน้ำ หากสำเร็จจะทำให้โครงสร้างภาคการเกษตรของไทยเปลี่ยนแปลงไปทันที ต่อไปเกษตรกรจะมีรายได้สูงขึ้น จะเลือกปลูกพืชที่ตรงกับความต้องการของตลาด เป็นสินค้าที่มีมูลค่า ไม่ทำให้เกิดภาวะพืชล้นตลาด และหากจะปลูกข้าวก็จะเลือกข้าวพันธุ์ดี เป็นที่ต้องการของทั่วโลก ราคาก็จะสูง และที่สำคัญเกษตรกรไทยจะเป็น Smart Farm ที่ดึงคนรุ่นใหม่เข้ามาทำธุรกิจนี้ได้ด้วย
นี่คือ การปฏิรูปโครงสร้างทางการเกษตร ที่จะช่วยให้เกษตรกรหลุดพ้นจากความยากจน และสร้างมูลค่าสินค้าภาคการเกษตรที่ไทยผลิตได้ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ที่จะนำไปสู่การเป็น “ครัวโลก” ซึ่งเป็นแหล่งผลิตอาหารที่สมบูรณ์และยั่งยืนต่อไป!