xs
xsm
sm
md
lg

จับตา “กองทัพ” ส่งทหารประกบแกนนำ “เหนือ-อีสาน” หยุดหนุนพรรคการเมือง !

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


นักวิชาการชี้ 4 ปัจจัย พารัฐบาล คสช. ดิ่งเหว เกิดความขัดแย้งรุนแรง มวลชนลุกฮือขึ้นขับไล่ จากปัญหาความโปร่งใส แทรกแซงองค์กรอิสระ ใช้อำนาจโดยมิชอบ และการสืบทอดอำนาจ “ศ.ดร.บรรเจิด” ระบุ กรณีนาฬิกาหรูเป็นแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็ง แหล่งข่าวเผย รัฐส่งทหาร 7 พันนาย ประกบแกนนำเหนือ-อีสาน สกัดพรรคคู่แข่ง ด้าน “คมสัน” ชี้สถานการณ์ใกล้สุกงอม ขณะที่ “น.ต.ประสงค์” เตือน ทุกสีเสื้อจะจับมือกันล้มรัฐบา

นับเป็นสถานการณ์ที่น่าจับตายิ่งสำหรับการเมืองไทยในช่วงขาลงของรัฐบาล คสช. และกำลังเผชิญปัญหาวิกฤตศรัทธาอย่างหนัก อีกทั้งกระแสความไม่พอใจของภาคประชาชนที่คุกรุ่นอยู่ในขณะนี้ก็มีท่าว่าจะลุกลามบานปลายขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งหลายฝ่ายฟันธงตรงกันว่าอาจเป็นเชื้อไฟนำไปสู่ความรุนแรงซ้ำรอย 14 ตุลาฯ และพฤษภาทมิฬ !! ก็เป็นได้

สำหรับปัจจัยที่จะนำพารัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงนั้นจากการประเมินท่าทีพบว่า มี 4 ประเด็นหลัก ๆ ด้วยกัน อันได้แก่ ปัญหาการคอร์รัปชัน การแทรกแซงองค์กรอิสระ การใช้อำนาจโดยมิชอบ และการสืบทอดอำนาจ

“กรณีนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตรนั้นเป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ยังมีน้ำแข็งก้อนใหญ่อยู่ใต้ผืนน้ำ ซึ่งกลุ่มที่จะเป็นตัวแปรสำคัญคือกลุ่มที่เคยสนับสนุนรัฐบาล คสช. ผิดหวังกับการปฏิรูปและรู้สึกว่ารัฐบาลไม่มีความจริงใจในการแก้ปัญหา” ศ.ดร.บรรเจิดกล่าวปัจจัยแรกคือ ปัญหาความไม่โปร่งใส และความล้มเหลวในการปราบทุจริตคอร์รัปชัน จากคำมั่นสัญญาที่รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศว่าจะเข้ามาเพื่อขจัดปัญหาคอร์รัปชัน ทำให้คนไทยวาดหวังว่าจะได้เห็นการจัดการกับการทุจริตอย่างเป็นรูปธรรม แต่กลายเป็นว่ารัฐบาลชุดนี้กลับมีข้อครหาเรื่องการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการต่าง ๆ เสียเอง และกรณีไม่ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินนาฬิกาหรูของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ก็บังเอิญไปตอกย้ำเรื่องธรรมาภิบาลและความโปร่งใส ส่งผลให้ประชาชนหมดศรัทธาและลุกขึ้นมาตรวจสอบท้วงติงแต่รัฐบาลกลับนิ่งเฉย แม้แต่การออกมาตอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดูจะเหมือนเป็นการแก้ต่างให้หรือไม่?

จากกระแสตรวจสอบจึงกลายเป็นกระแสต่อต้านและขับไล่ ทั้งในรูปแบบการชุมนุมและลงมติผ่านโพลของกลุ่มต่างๆ ซึ่งประชาชนขานรับสนับสนุนให้ พล.อ.ประวิตรลาออก ตามที่เคยลั่นวาจาไว้ว่าหากประชาชนไม่อยากให้อยู่ก็พร้อมจะไป แต่เมื่อผลโพลออกมาเช่นนี้ “บิ๊กป้อม” กลับไม่ใส่ใจ แถมโฆษกกระทรวงกลาโหมยังให้สัมภาษณ์ชัดเจนว่า พล.อ.ประวิตรจะเดินหน้าทำงานต่อไป ! ส่งผลให้กระแสความไม่พอใจยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ศ.ดร.บรรเจิด สิงคเนติ ผู้อำนวยการหลักสูตรนิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
ศ.ดร.บรรเจิด สิงคเนติ ผู้อำนวยการหลักสูตรนิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้วิเคราะห์สถานการณ์ของรัฐบาลว่า รัฐบาลกำลังเผชิญกับวิกฤตศรัทธา ทั้งเรื่องผลงานและปัญหาความโปร่งใส ซึ่งในเรื่องของผลงานนั้นประชาชนผิดหวังกับการปฏิรูปด้านต่าง ๆ ที่รัฐบาลเคยรับปากไว้ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปตำรวจ การปฏิรูปการศึกษา ขณะที่ปัญหาความโปร่งใสนั้นมีหลากหลายกรณีที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่มาแตกหักจากกรณีนาฬิกาหรู

ด้าน นายคมสัน โพธิ์คง รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต บอกว่า ขณะนี้สถานการณ์บ้านเมืองอยู่ในขั้นที่สุกแล้วแต่ยังไม่งอม คนส่วนใหญ่ไม่พอใจการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและการปราบคอร์รัปชัน ซึ่งประชาชนมองว่ารัฐบาลที่อาสาเข้ามาปราบปรามคอร์รัปชันกลับคอร์รัปชันเสียเอง ปัจจุบันถูกพุ่งเป้าไปที่กรณีนาฬิกาหรู ถ้า พล.อ.ประวิตร ลาออกกระแสความไม่พอใจก็จะลดลง ตรงข้ามถ้าไม่ลาออกความไม่พอใจจะขยายวงกว้างขึ้น และกรณีของ พล.อ.ประวิตรก็อาจนำไปสู่สถานการณ์ที่สุกงอมหากมีประเด็นอื่นเข้ามาเสริม

ปัจจัยต่อมาคือ การแทรกแซงองค์กรอิสระ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มีการแทรกแซงและชี้นำการทำงานขององค์กรอิสระต่าง ๆ อย่างชัดเจน โดยเฉพาะสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) หน่วยงานหลักที่มีบทบาทในการยกร่างกฎหมายต่าง ๆ นอกจากจะถือกำเนิดมาจากการแต่งตั้งของ คสช.แล้ว ยังเห็นได้ชัดว่าการออกกฎหมายหรือการแก้ไขกฎหมายล้วนเป็นไปเพื่อสนองความต้องการของ คสช. โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ล่าสุด สนช.มีมติขยายเวลาบังคับใช้กฎหมายเลือกตั้งซึ่งส่งผลให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไป จากเดิมที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้ประกาศไว้ครั้งล่าสุดว่าน่าจะอยู่ในช่วง พ.ย. 2561 ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าภารกิจนี้มีเป้าหมายเพื่อการสืบทอดอำนาจของ คสช.
นายคมสัน โพธิ์คง รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
อีกองค์กรที่สังคมมองว่าถูกแทรกแซงอย่างหนักก็คือ ป.ป.ช. ซึ่งถูกแทรงแซงมาตั้งแต่ขั้นตอนการแต่งตั้ง โดย พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ อดีตหน้าห้องของ พล.อ.ประวิตร ขณะนั้นดำรงตำแหน่ง สนช. ได้รับใบสั่งให้ลาออก เพื่อไปนั่งเป็นประธานกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งที่ขาดคุณสมบัติ ยิ่งเมื่อ ป.ป.ช.ยิ่งเฉย ไม่ตรวจสอบกรณีนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตรที่ไม่มีการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สิน ก็ยิ่งทำให้เกิดข้อครหา แม้ภายหลัง ป.ป.ช.จะตั้งกรรมการสอบเรื่องนี้โดยที่ พล.ต.อ.วัชรพล ออกตัวว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่ก็ไม่สามารถล้างภาพความไม่เป็นกลางของ ป.ป.ช.ออกไปได้

ปัจจัยประการที่ 3 ซึ่งจะนำไปสู่ความรุนแรงทางการเมืองก็คือ การใช้อำนาจโดยมิชอบของรัฐบาล คสช. โดยเฉพาะการนำกฎหมายพิเศษ ม.44 มาบังคับใช้ในหลายกรณี และล่าสุดที่ก่อให้เกิดแรงต้านอย่างหนักก็คือการนำคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 และ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ มาใช้เพื่อสกัดกั้นการออกมาเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมกลุ่มต่าง ๆ ทั้งในรูปแบบของการจับกุมและข่มขู่คุกคาม ซึ่งเหตุที่สังคมมองว่าเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบก็เพราะเป็นการบังคับใช้กฎหมายแบบไร้เหตุผล และไม่ฟังเสียงประชาชน

โดยนอกจากกลุ่มที่เชียร์รัฐบาลแล้วเจ้าหน้าที่ได้รับคำสั่งให้จับกุมทุกกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหว  ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่กดดันให้ พล.อ.ประวิตรลาออก กลุ่มที่เรียกร้องให้จัดการเลือกตั้ง รวมทั้งกลุ่มที่ขอให้รัฐบาลช่วยแก้ไขปัญหาในเรื่องต่าง ๆ แม้แต่นิสิตนักศึกษาที่จัดขบวนพาเหรดล้อเลียนการเมือง ในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 72 เมื่อเร็ว ๆ นี้รัฐบาลยังส่งเจ้าหน้าที่ทหารจากกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจในและนอกเครื่องแบบเข้าไปตรวจสอบกดดัน อีกทั้งยังห้ามไม่ให้ขบวนพาเหรดล้อเรื่องนาฬิกา ห้ามเอ่ยชื่อองค์กร-ตัวบุคคล และห้ามทำหุ่นที่มีลักษณะคล้ายผู้นำทหาร-ผู้นำประเทศอีกด้วย ซึ่งแรงกดดันดังกล่าวทำให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยถึงกับต้องออกจดหมายปรามนิสิตจุฬาฯ หากแต่รัฐบาลหารู้ไม่ว่าการกระทำเช่นนี้ทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลกลายเป็นเผด็จการเต็มรูปแบบ และเท่ากับเป็นการ “เรียกแขก” ให้ออกมาร่วมต่อต้านรัฐบาลมากยิ่งขึ้น

ศ.ดร.บรรเจิด ชี้ว่า “รัฐบาลลืมนึกไปว่าสถานการณ์ตอนนี้ต่างจากช่วงที่ คสช.เข้ามาบริหารประเทศใหม่ๆ ประชาชนยังศรัทธาและมีความหวัง การใช้อำนาจพิเศษต่าง ๆ จึงไม่มีปัญหา แต่ปัจจุบันอยู่ในภาวะที่ประชาชนเสื่อมศรัทธา การใช้อำนาจพิเศษจับกุมผู้ชุมนุมจึงรังแต่จะเกิดกระแสต่อต้านเพิ่มมากขึ้น
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
ขณะที่ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตนายทหารผู้คร่ำหวอดในวงการการเมือง แสดงความวิตกต่อสถานการณ์ดังกล่าวว่า ขณะนี้ภาคประชาชนอึดอัด ไม่พอใจการใช้อำนาจตามอำเภอใจของรัฐบาล คสช. โดยกลุ่มองค์กรต่าง ๆ มีการออกแถลงการณ์ประณามการจับกุมผู้ชุมนุม ขณะที่ในโลกโซเชียลก็มีการแสดงความไม่พอใจต่อการใช้อำนาจของรัฐบาล

“ตอนนี้บ้านเมืองกลับเข้าสู่วงจรความไม่สงบซึ่งมีสาเหตุมาจากการใช้อำนาจของรัฐ รัฐบาลมองประชาชo ว่าเป็นผู้ก่อความไม่สงบและใช้อำนาจเกินขอบเขตกับผู้ชุมนุม ซึ่งถือว่าเป็นแนวคิดที่อันตรายมาก หากจะเกิดสถานการณ์รุนแรงก็ไม่ได้เกิดจากประชาชน แต่เกิดจากการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปควบคุมฝูงชน จากนี้ให้ระวังกลุ่มที่ไม่ถูกกัน ทั้งเหลืองทั้งแดงและสีอื่น ๆ จะจับมือกันเพื่อล้มล้างการใช้อำนาจโดยมิชอบของรัฐบาล แนวร่วมทุกกลุ่มจะไหลมารวมกันเพราะต่างอึดอัดในเรื่องเดียวกัน” น.ต.ประสงค์ระบุ

ปัจจัยสุดท้ายที่จะนำไปสู่ความรุนแรงก็คือ การสืบทอดอำนาจของ คสช. หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่าประเด็นนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ประชาชนลุกฮือขึ้นมาขับไล่รัฐบาล และมีความเป็นไปได้สูงที่ฝ่าย คสช.ก็จะไม่ยอมถอย ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการปะทะ และสถานการณ์อาจบานปลายถึงขั้นเกิด “การนองเลือด” เช่นเดียวกับเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เมื่อปี 2535

คสช.เปิดหน้าชัดเจนว่าสืบทอดอำนาจ ตอนนี้ทราบมาว่ามีการส่งทหารกว่า 7,000 นาย ลงพื้นที่ภาคเหนือและอีสานเพื่อประกบแกนนำในพื้นที่ กดดันไม่ให้สนับสนุนพรรคการเมืองอื่น ซึ่งอาจจะไม่ค่อยได้ผล เพราะนักการเมืองท้องถิ่น รวมถึงข้าราชการ มองว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าอำนาจอาจเปลี่ยนมือ แม้แต่ระดับบิ๊กใน คสช.บางคนก็ยังเกียร์ว่าง เพราะเขาก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าอำนาจที่มีอยู่จะยั่งยืน ตอนนี้ประชาชนกำลังสะสมความไม่พอใจที่มีต่อรัฐบาล คสช. แต่เชื่อว่ายังไม่มีอะไรรุนแรงเพราะยังไม่มีแกนนำที่จะออกมาไล่รัฐบาล แต่ถึงจุดหนึ่งเมื่อประชาชนทนไม่ไหวเขาจะลุกฮือและสถานการณ์ก็จะผลักดันให้เกิดแกนนำขึ้นมาเอง ส่วนจะถึงขั้นนองเลือดหรือไม่ก็ต้องดูหลังการเลือกตั้ง หากเลือกตั้งแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ กลับเข้ามาเป็นนายกฯ อีก ก็จะถูกขับไล่เหมือนกรณี พล.อ.สุจินดา คราประยูร และอาจซ้ำรอยพฤษภาทมิฬ” แหล่งข่าวระบุ



กำลังโหลดความคิดเห็น