xs
xsm
sm
md
lg

ขั้วอำนาจเก่าย้อนรอยเอาคืน“บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม”ใช้ Social คุ้ยเรื่องฉาว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ขั้วอำนาจเก่าพลิกเกม ปล่อยหลักฐานแฉผ่าน Social แทนวิธีการเดิมๆ ให้เพื่อไทย-ยิ่งลักษณ์-โอ๊ค-นปช. หยิบใช้ให้เป็นประโยชน์ ถล่มจุดอ่อนทั้งคนใกล้ตัว-พี่ใหญ่ เป้าหมายไม่ได้หวังผิด-ถูก แค่ย้อนหลักการรัฐบาลปราบปรามทุจริต คอร์รัปชัน บีบทุกฝ่ายเดินตามหลักจริยธรรม สื่อต้องตรวจสอบ ป.ป.ช.-สตง.ต้องทำหน้าที่ งานนี้ได้ผลทั้งขึ้นทั้งล่อง แถมสกัดเส้นทางกลับมาของประยุทธ์-ประวิตรหลังเปิดเลือกตั้ง

ความตื่นเต้นเรื่องของครอบครัวพลเอกปรีชา จันทร์โอชา อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม น้องชายพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทั้งเรื่องของฝายแม่ผ่องพรรณ และห้างหุ้นส่วนจำกัดของลูกชายพลเอกปรีชายังไม่ทันจางหาย ก็มีเรื่องใหม่เข้ามาเสียบต่อ

นั่นคือการเผยแพร่เอกสารค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอาเซียน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา อย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN - US Defense Informal Meeting) ระหว่างวันที่ 29 กันยายน ถึง 1 ตุลาคม 2559 ณ มลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา ของคณะพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ทั้งนี้เว็บไซต์ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ได้เผยแพร่ประกาศราคากลางจัดซื้อ-จัดจ้าง ประจำปี พ.ศ. 2559 จ้างการรับขนคนโดยสารทางอากาศโดยเครื่องบินพาณิชย์ ซึ่งรับผิดชอบโครงการโดย กองการต่างประเทศ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี วงเงินงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร 20,953,800 บาท โดยกำหนดราคากลาง (ราคาอ้างอิง) เมื่อวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา

การเดินทางในครั้งนี้เป็นเครื่องบินเช่าเหมาลำจากการบินไทย เที่ยวบิน TG 8886 รุ่น Boeing 747-400 บรรจุผู้โดยสาร 416 คน แต่คณะที่เดินทางไปมี 38 คน

รายละเอียดการคำนวณราคากลาง ค่าจ้างการรับขนโดยสารทางอากาศโดยเครื่องบินพาณิชย์ ประกอบด้วย 1.ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเครื่องบิน 3,835,200 บาท 2.ค่าเชื้อเพลิงอากาศยาน 10,776,000 บาท 3.ค่าอาหารและเครื่องดื่มระหว่างเที่ยวบิน 600,000 บาท 4.ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการปฏิบัติการภาคพื้น 2,636,400 บาท และ 5.ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ 3,106,200 บาท

กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ขึ้นมาทันที โดยเฉพาะการหยิบยกเอาค่าใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่มระหว่างเที่ยวบิน 6 แสนบาทขึ้นมาเป็นประเด็น แต่คำชี้แจงเพียงว่าเป็นอาหารไทยทั่วไปไม่ใช่อาหารพิเศษ กลับถูกโต้กลับด้วยรายการเมนูอาหารบนเที่ยวบินดังกล่าว มื้อแรกเป็นไข่ปลาคาเวียร์ เล่นเอาไปไม่เป็นทั้งขบวน

แม้จะมีเสียงชี้แจงจากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อีกแรง “ผมถามว่า 1. การไปประชุมเครื่องบินมีบินตรงหรือไม่ ไม่มีใช่มั้ย จริงๆ แล้วขี้เกียจตอบแทน ไปฟังเขาตอบก็แล้วกัน 2. เขาไปทำประโยชน์หรือเขาไปเที่ยว การไปประชุมก็ต้องดูว่ามีกี่การประชุม ไปคนเดียวพออย่างนั้นหรือ การไปประชุมที่ต่างประเทศจะต้องมีหลายคณะ ก่อนที่ระดับผู้ใหญ่จะประชุมก็จะมีระดับล่างเขาประชุมก่อน อย่ามาจับผิดจับถูกในเรื่องเหล่านี้ ใครอยากฟ้องร้องก็ไปฟ้องร้องเอา” แต่ดูจะไม่สามารถสยบแรงกระเพื่อมในส่วนนี้ได้

ขณะที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จะเข้าไปตรวจสอบเรื่องดังกล่าว โดยส่งสายตรวจงบประมาณแผ่นดิน เข้าไปเก็บข้อมูลจาก 2 หน่วย คือ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
ค่าใช้จ่ายในการเดินทางของคณะพลเอกประวิตร
อาจไม่ผิด แต่ไม่เหมาะ

“เรื่องผิดคงจะไม่ผิด เพราะเป็นไปตามระเบียบและขั้นตอนที่มี แต่เป็นเรื่องของความเหมาะสมมากกว่า ไม่มีใครปฏิเสธว่าการบินไทยไม่มีเที่ยวบินตรงไปสหรัฐฯ เพราะที่ผ่านมาการบินไทยเคยเปิดเส้นทางแต่ประสบปัญหาขาดทุนจนต้องยกเลิก คนไทยที่จะไปสหรัฐฯ ก็ต้องบินแบบต่อเครื่องทั้งนั้น แม้กระทั่งคณะของนายกรัฐมนตรีต้องไปต่อเครื่องที่ญี่ปุ่น” ฝ่ายการเมืองรายหนึ่งกล่าว

ส่วนปลายทางที่ฮอนโนลูลู อาจต้องบินเพิ่มหลายต่อนั้น แต่ถ้ามีการวางแผนการเดินทางดีๆ ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะการประชุมอย่างนี้ต้องแจ้งล่วงหน้ากันเป็นเดือน อีกทั้งการเช่าเหมาลำเพื่อบินตรงรวดเดียวต้องใช้เครื่องบินขนาดใหญ่ 416 ที่นั่ง กับคณะเดินทาง 38 คน กับเก้าอี้ว่าง 378 ที่นั่ง ปมนี้จึงถูกนำมาขยายผล
งานนี้ไม่ต้องรอผลการตรวจสอบจาก สตง. เพราะถ้าผลออกมาว่าไม่ผิด ก็เท่ากับเป็นตราประทับผ่านให้พลเอกประวิตร

บททดสอบหน่วยงานตรวจสอบ

นับแต่ตั้งรัฐบาลโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีความพยายามที่จะทดสอบรัฐบาลชุดนี้ในเรื่องของความสื่อสัตย์สุจริต ตามนโยบายของพลเอกประยุทธ์มาแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ครั้งแรกเป็นเรื่องของโครงการอุทยานราชภักดิ์ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคิรีขันธ์ โดยเมื่อ 6 กันยายน 2559 มติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 เสียง เห็นว่าโครงการดังกล่าวเป็นการดำเนินการถูกต้องตามระเบียบปฏิบัติทุกประการ เรื่องนี้ถือว่าจบ

ครั้งที่ 2 เป็น 3 เรื่องของครอบครัวพลเอกปรีชา จันทร์โอชา อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม เรื่องแรกเป็นการรับบุตรชายคนเล็ก นายปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา อายุ 25 ปี เข้ารับราชการตำแหน่งรักษาราชการนายทหารปฏิบัติการกิจการพลเรือน สังกัดกองทัพภาคที่ 3 ยศร้อยตรี รับเงินเดือนจำนวน 15,000 บาท พูดง่ายๆ คือพ่อเซ็นอนุมัติรับลูกเข้าทำงานราชการทหาร

ทั้งนี้สำนักข่าวอิศราได้อ้างข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Veera Somkwamkid เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น ระบุหนังสือของ ป.ป.ช.ว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่า พฤติการณ์ของพลเอกปรีชา ที่บรรจุนายปฏิพัทธ์เข้ารับราชการและแต่งตั้งยศเป็นว่าที่ร้อยตรี เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามที่กล่าวหา จึงมีมติไม่รับไว้ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง

แต่ให้แจ้งเป็นข้อสังเกตไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่าในกรณีเช่นนี้ ผู้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ควรต้องพิจารณาทำคำสั่งให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ด้วย โดยหากเห็นว่าคนเป็นคู่กรณีอันต้องห้ามมิให้กระทำการพิจารณาทางปกครอง ก็ควรเสนอผู้บังคับบัญชาขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งให้รับทราบและมีคำสั่งต่อไป

ส่วนเรื่องฝายแม่ผ่องพรรณ ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งนางผ่องพรรณ จันทร์โอชา ภรรยาพลเอกปรีชา จันทร์โอชา ในนามนายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ไปเป็นประธานเปิด พร้อมด้วยการใช้เครื่องบิน C 130 ของกองทัพอากาศ รวมถึงเรื่องห้างหุ้นส่วนจำกัด คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น ของนายปฐมพล จันทร์โอชา บุตรชายคนโตของพลเอกปรีชา จันทร์โอชา รับงานก่อสร้างในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 ที่พลเอกปรีชาเคยเป็นแม่ทัพอยู่ ทั้ง 2 เรื่องนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ

เรื่องที่ 3 คือค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปประชุมที่สหรัฐฯ ของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เบื้องต้นทางสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจสอบแล้ว
ภาพจากเฟซบุ๊ก CSI LA
อำนาจเก่าใช้ Social พลิกเกม

ตอนนี้เป็นการเลือกใช้วิธีย้อนรอยการทำงานของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ที่เน้นไปที่การปราบปรามทุจริต คอร์รัปชัน ซึ่งคดีใหญ่คงหนีไม่พ้นการเอาผิดในโครงการรับจำนำข้าวกับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลที่แล้ว ขณะนี้มีคำสั่งทางปกครองเรียกค่าเสียหายกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และพวก 2 หมื่นล้านบาท นางสาวยิ่งลักษณ์ถูกให้ชดใช้ 35,717 ล้านบาท ไม่นับรวมคดีอาญาที่อยู่ในการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

การปล่อยข้อมูลต่างๆ ของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีทีมงานที่ทำเรื่องนี้โดยเฉพาะ เสมือนกับเป็นการทำหน้าที่พรรคฝ่ายค้านในรัฐบาลปกติที่ต้องตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล เพียงแต่เลือกใช้สื่อ Social Network เป็นตัวปล่อยหลักฐานออกมา ซึ่งได้ผลและขยายไปในวงกว้างอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้ทีมงานของพรรคเพื่อไทยเปลี่ยนวิธีทำงานใหม่ ใช้สื่อออนไลน์เป็นหัวหอกในการรุก โดยใช้เฟซบุ๊กที่มีคนติดตามมากและนำเสนอเนื้อหาในทิศทางเดียวกันมาทำหน้าที่แทน ใช้ 2-3 เพจสลับกันป้อนข้อมูล จะเห็นได้ว่าข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้ปล่อยผ่านพรรคเพื่อไทย คุณยิ่งลักษณ์ โอ๊ค พานทองแท้ หรือแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ชุดที่เคยตอบโต้รัฐบาลเหล่านี้มีหน้าที่แค่หยิบเอาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาขยายผลต่อเท่านั้น

คนในปล่อยข้อมูล

หากสังเกตให้ดีจะพบว่าข้อมูลเหล่านี้ล้วนเป็นข้อมูลภายในเช่น เรื่องการแต่งตั้งลูกชายพลเอกปรีชา ซึ่งเป็นเอกสารลับ ต้องคนในเท่านั้นที่นำออกมาได้ ในวงการทหารสายของทักษิณหรือของเพื่อไทยก็ยังมีอยู่ไม่น้อย หรือบางเรื่องที่มีการเผยแพร่ในเว็บไซต์ของหน่วยงานราชการอย่างเรื่องฝายผ่องพรรณพัฒนา หรือรายละเอียดค่าใช้จ่ายเที่ยวบินของพลเอกประวิตร ทันทีที่มีการเผยแพร่จะถูกนำมาขยายผลทันที แสดงให้เห็นว่ามีทีมงานที่จับจ้องข้อมูลเหล่านี้มาตลอด รอแค่ให้ฝ่ายรัฐเองเปิดเผยออกมาก่อน

อย่างเมนูอาหารที่มีเสิร์ฟไข่ปลาคาเวียร์บนเที่ยวบินดังกล่าวนั้น ถ้าไม่ใช่คนในใครจะเอาออกมาได้ เพียงแค่รอให้หัวหน้าคณะออกมาปฏิเสธก่อนว่ามื้ออาหารบนเครื่องเป็นอาหารไทยธรรมดา แล้วนำหลักฐานออกมาหักล้าง
งานประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอาเซียน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา ภาพ:สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์
บีบทุกส่วนยึดจริยธรรม

เมื่อข้อมูลหลุดเหล่านี้ไม่ได้ออกมาจากฝ่ายของเพื่อไทย แต่ผ่านเฟซบุ๊กสาธารณะ ทำให้การขยายผลทำได้ง่าย รวดเร็ว และเป็นข้อมูลจริง เท่ากับเป็นการบีบให้หลายภาคส่วนที่เคยเห็นด้วยกับแนวทางการบริหารประเทศของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ก็ต้องนำเสนอหรือตรวจสอบต่อตามหลักจริยธรรมด้านวิชาชีพ อย่างสื่อก็ต้องตรวจสอบ หรือองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันก็ต้องออกมาแสดงบทบาท

นอกจากนี้ยังเป็นการบีบให้หน่วยงานอย่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ต้องเข้ามาทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลชุดนี้ด้วย และผลการตรวจสอบก็จะกลายเป็นที่จับตาของคนในสังคมว่า 2 หน่วยงานนี้จะทำหน้าที่ในเรื่องนี้อย่างไร รวมไปถึงบทบาทของพลเอกประยุทธ์ด้วยที่มุ่งมั่นปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน เมื่อเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ในรัฐบาลของตัวเองจะมีท่าทีอย่างไร

ไม่ว่าผลสอบจะออกมาถูกหรือผิด ฝ่ายอำนาจเก่าได้ประโยชน์ทั้งสิ้น หากผิดเท่ากับรัฐบาลชุดนี้ทำสิ่งไม่ถูกต้อง หากพบไม่ผิดก็จะเกิดข้อครหาเรื่องการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่แตกต่างกับในรัฐบาลปกติที่เคยบริหารประเทศมา

ตอนนี้ภาคส่วนที่เคยชื่นชอบการทำงานของรัฐบาลนี้ เมื่อเห็นข้อมูลที่ออกมาอย่างนี้ หากมีใจเป็นธรรมก็ต้องถอยออกมาระดับหนึ่ง หรือหน่วยงานเอ็นจีโอบางส่วนที่เคยต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ต้องออกมาทำหน้าที่เรียกร้องให้มีการตรวจสอบรัฐบาลชุดนี้เช่นกัน

ได้ผลเกินคาด

จะเห็นได้ว่าทั้งเรื่องครอบครัวพลเอกปรีชาและเรื่องพลเอกประวิตร ทำเอาพลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ออกอาการหลุดหลายครั้ง เท่ากับเป้าหมายของทีมงานที่ปล่อยข้อมูลเหล่านี้ออกมาทำสำเร็จ คือบีบพลเอกประยุทธ์ไปในตัวที่เน้นนโยบายปราบปรามทุจริตคอร์รัปชัน

ที่ผ่านมาพลเอกประวิตรออกมาโต้แทนเรื่องของครอบครัวพลเอกปรีชา จันทร์โอชา โดยตลอด ครั้งนี้เลยถูกแฉเสียเอง ต้องดูต่อไปว่าหากเกิดเรื่องขึ้นมาอีกใครจะเป็นผู้ออกมาสยบเรื่องร้อนเหล่านี้ และหากรัฐบาลจัดการได้ไม่ดีอาจเกิดความไม่เข้าใจกันได้ระหว่างบุคคลสำคัญในรัฐบาล เพราะเรื่องดังกล่าวต้องพิจารณากระแสสังคมด้วยเช่นกัน

“ตอนนี้ทุกอย่างเข้าทางขั้วอำนาจเก่าเกือบทั้งหมด อย่างเรื่องเที่ยวบินฮอนโนลูลู ก็ถูกขยายความไปยังผู้ประกาศสาวของช่อง 5 ที่ถูกซุบซิบกันมาตลอด แม้เจ้าตัวจะแสดงหลักฐานว่าไม่ได้ร่วมเดินทางไปกับคณะดังกล่าว แต่อีกฝ่ายก็นำรายชื่อผู้ร่วมเดินทางที่มีชื่อของผู้ประกาศดังกล่าวมาตอบโต้”

ทีมงานที่ทำ น่าจะมีเรื่องที่รอการเปิดเผยมากกว่านี้ เพียงแต่รอจังหวะและเวลาที่เหมาะสมในการปล่อยข้อมูลออกมาสู่สาธารณะ เพียงแค่นี้ก็ทำให้ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลลดลงได้ และยังเป็นอีกหนึ่งการสกัดเส้นทางของคณะนายทหาร หลังจากเปิดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ทั้งเรื่องนายกรัฐมนตรีคนนอกของพลเอกประยุทธ์ หรือการตั้งพรรคการเมืองที่พลเอกประวิตรอาจร่วมขบวนในอนาคต

กำลังโหลดความคิดเห็น