คณบดีสำนักวิชาเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง แนะวิธีชะลอความแก่ ลดการเหี่ยวย่น หน้าตาแจ่มใส และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค ต้องปฏิบัติตามหลัก 4 ประการ ชี้ เป็นการดูแลจากภายในสู่ภายนอก ไม่ต้องเสียเงินมาก แต่มีอายุยืนยาว สุขภาพดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ด้วย ส่วนการดูแลผิวพรรณ ถึงขั้นหน้าเด้ง กระชากวัย มีหลายวิธีให้เลือก ไม่จำเป็นต้องจ่ายเป็นล้านด้วย Stemcell
เรามักจะเห็นโฆษณาผลิตภัณฑ์หลาย ๆ แบรนด์ นิยมใช้คำว่า Anti-aging โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องสำอางไม่ว่าจะเป็นครีมลบรอยเหี่ยวย่น ใช้แล้วผิวใส ขาว เนียน ทำให้เราเข้าใจว่า Anti-aging คือ เรื่องของความสวยที่ใช้ในการชะลอความแก่ ความงามของผิวพรรณ โดยเฉพาะใบหน้า แต่ความเป็นจริง Anti-aging กลับเป็นศาสตร์ของการดูแลสุขภาพ ที่เรียกกันว่า เวชศาสตร์ชะลอวัย ซึ่งไม่ได้มุ่งเน้นแต่เฉพาะผิวพรรณ หรือแค่ความงามภายนอก แต่กลับเป็นศาสตร์ที่มุ่งเน้นความสำคัญจากภายในสู่ภายนอก
ขณะที่ความเป็นจริง Anti-aging หรือ การชะลอความแก่ เริ่มตั้งแต่คุณแม่ที่เตรียมตัวให้กับลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ จนกระทั่งก้าวสู่วัยชรา ส่วนวิธีการของเวชศาสตร์ชะลอวัย และฟื้นฟูสุขภาพ (Anti-aging and Regenerative Medicine) ซึ่งเป็นหนึ่งในสาขาทางการแพทย์สมัยใหม่ ที่มุ่งเน้นการป้องกันและฟื้นฟูภาวการณ์เสื่อมตามวัย จะให้ได้ผลนั้นมีหลักการสำคัญที่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้จากการแนะนำของ ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์ ธัมม์ทิวัตถ์ นรารัตน์วันชัย คณบดีสำนักวิชาเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ซึ่งจบด้าน Anti-aging ในยุโรป และสหรัฐอเมริกา ได้บอกเคล็ดลับ 4 ประการ ในการชะลอวัย
อย่างไรก็ดี เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ เป็นศาสตร์ที่มีประโยชน์และเสริมการรักษาทางการแพทย์เกือบทุกแขนงเพื่อยืดอายุ ชะลอความชราและป้องกันโรค และรักษาโรคที่เกิดจากความเสื่อมที่เคยรักษาไม่ได้ เพียงแต่ประคับประคองอาการ และโรคที่คร่าชีวิตคนให้สามารถรักษาได้ เช่น โรคสมองเสื่อม โรคพาร์กินสัน โรคหัวใจ ความดัน เบาหวาน และ โรคมะเร็ง ส่วนผิวหนัง ศาสตร์ Anti-aging ที่เกี่ยวพัน เช่น การกินอาหารเสริม เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) เพื่อสุขภาพแข็งแรง ผิวพรรณสวย หรือทางด้านสูติ ก็เอาความรู้เกี่ยวกับเรื่องฮอร์โมนเข้าไปปรับใช้ และอีกหลายแขนง ซึ่ง Anti-aging มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
“Anti-aging จึงเป็นศาสตร์ที่ผูกพันกับไลฟ์สไตล์ของคน ตั้งแต่เป็นทารกจนย่างเข้าวัยชรา ภายใต้เงื่อนไข ทำอย่างไรเราจะมีอายุยืนยาว สุขภาพดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้”
Anti-aging ดีจากภายในสู่ภายนอก
ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์ ธัมม์ทิวัตถ์ บอกว่า Anti-aging ถ้าเป็นศัพท์ทั่ว ๆ ไป คือ การต้านความชรา ถ้าเอ่ยถึงความแก่ คนไทยส่วนใหญ่มักดูเป็นสิ่งไม่สุภาพ รับไม่ได้ จึงเปลี่ยนจาก การต้านความชรา เป็นเวชศาสตร์ชะลอวัย ซึ่งคนไทย ถ้าพูดถึง Anti-aging มักจะนึกถึงแต่การดูแลผิวพรรณ ความสวยความงาม ซึ่งเป็นเรื่องของการให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ภายนอก แต่ในทางกลับกัน ถ้าเป็นมุมมองของฝรั่ง Anti-aging เขาจะดูจากภายในสู่ภายนอก ปัจจุบันคนไทยมีความเข้าใจศาสตร์นี้ และรู้ว่าการที่เราจะมีสุขภาพดีได้นั้น ต้องดีมาจากภายในสู่ภายนอก
สำหรับสิ่งที่บ่งบอกถึงความแก่ชราของมนุษย์ คือ ริ้วรอย หรือ ความเหี่ยวย่น ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมชาติ แม้ความแก่ชราจะเป็นสิ่งที่ทุกคนจะปฏิเสธไม่ได้จากกฎธรรมชาติ แต่กระนั้น ปัจจัยบางอย่าง อาจก่อให้เกิดภาวะแก่ก่อนวัย อาทิ ด้านพันธุกรรม แสงแดด หรือสารอนุมูลอิสระ
ขณะเดียวกัน หากเรารู้จักการดูแลรักษาสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรง จากปัจจัยหลาย ๆ อย่าง อาทิ อาหารการกิน การออกกำลังกาย จิตใจแจ่มใส ไม่เครียด รู้จักฝึกสมาธิ การตรวจสุขภาพ การเสริมสร้างวิตามิน เกลือแร่ หรือ ฮอร์โมน ซึ่งเป็นกระบวนการดูแลจากภายในสู่ภายนอก และป้องกันตัวเอง ไม่ให้เราเกิดโรคภัยต่าง ๆ ที่อาจจะเป็นต้นเหตุของการเสียชีวิตได้ ซึ่งถือเป็นเป้าหมายสำคัญของศาสตร์ด้านนี้ ที่จะช่วยลดสาเหตุการตายจากโรคยอดฮิตในปัจจุบัน อาทิ โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดตีบตัน โรคหัวใจ โรคสมองเสื่อม โรคมะเร็ง เป็นต้น
เคล็ดลับชะลอความแก่
คณบดีสำนักวิชาเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า ศาสตร์นี้ถือเป็นศาสตร์แห่งไลฟ์สไตล์ที่ผูกพันกับวิถีชีวิตคนเรา ทุกช่วงเวลาเริ่มได้ ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ โดยเริ่มจากแม่ ดูแลตัวเองดี กินอาหารให้ครบ ส่งผลให้เด็กในครรภ์สุขภาพดี พอคลอดออกมา เด็กก็จะมีสุขภาพดี พอโตขึ้น ก็ให้เด็กรู้จักกินอาหารที่ดี รู้จักการออกกำลังกาย ก็จะส่งผลให้เด็กสุขภาพดี และพอถึงวัยผู้ใหญ่ จนเข้าถึงวัยชรา ด้วยพฤติกรรมหรือการดำเนินชีวิตที่ดีและอย่างระมัดระวัง ด้วยเคล็ดลับ 4 ประการที่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้
ประการที่ 1 อาหารการกิน คือต้องรู้หลักการในการกินอย่างไร ไม่อ้วน ไม่ก่อโรค และกินแล้วสุขภาพดี โดยการกินตามสัดส่วน Anti-aging จะมีสัดส่วน คือ 60% เปอร์เซ็นต์ เป็นคาร์ โบไฮเดรต เน้นผัก ผลไม้ อีก 15 - 20% เป็นโปรตีน (ไวต์โปรตีน) และ 15 - 20% เป็นไขมัน จะแบ่งเป็นไขมันอิ่มตัว และไม่อิ่มตัว อย่างละครึ่ง ส่วนที่เหลือจะเป็นวิตามิน เกลือแร่ สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) และฮอร์โมน ทั้งนี้ ถ้าเทียบเป็นแคลอรี ก็ประมาณ 30 แคลอรี/กก./วัน ขณะที่น้ำประมาณ 43.5 CC/กก./วัน (เช่น น้ำหนัก 50 กก. ก็กินวันละ 2 - 2.5 ลิตร) เป็นต้น
ประการที่ 2 การออกกำลังกายในเชิงป้องกัน (Anti-aging exercise) โดยเป็นการออกกำลังกายอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 45 - 60 นาที ซึ่งเป็นการออกกำลังกายแบบปานกลาง ไม่หักโหมมากเกินไป โดยแบ่งการออกกำลังกายเป็น 1. แอโรบิก (Aerobic Exercise) คือ การวิ่งปานกลาง ไม่หักโหม 2. แอนแอโรบิก (Ananerobic) คือการออกกำลังกายเพิ่มกล้ามเนื้อ 3. Stretches คือ การยืดกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นการออกกำลังกายก่อน หรือ หลังการออกกำลังกาย เพื่อลดการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย
ประการที่ 3 การดูแลสภาพจิตใจ เป็นหนึ่งในหลักการของ Anti-aging โดยยึดหลักธรรมะ ฝึกสมาธิ หรือ ใช้ดนตรีบำบัด (Music Therapy) เข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะดนตรีบำบัดเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการนำดนตรีเข้ามาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาและรักษาสุขภาวะของร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ เพื่อช่วยให้เกิดการผ่อนคลาย ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลง หรือ แต่งเพลง ซึ่งดนตรีบำบัดจะใช้กับคนป่วยและคนปกติก็ได้
กรณีคนป่วยมีการนำดนตรีบำบัดกับผู้ป่วยที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง ในการพัฒนาด้านจิตใจและอารมณ์ของผู้ป่วยได้
ในเรื่องของกิจกรรมในศาสตร์ของดนตรีบำบัด มีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลง ร้องเพลง หรือแต่งเพลง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ปลดปล่อยอารมณ์ รวมไปถึงการนั่งสมาธิ การสวดมนต์ การใช้ดนตรีบำบัด จึงถือเป็นกิจกรรมที่ฝึกสมอง (Brain Exercise) จิตใจที่ดีที่สุด โดยเฉพาะการกระตุ้นสมองด้านขวาให้รู้จักคิดซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเอง
“การดูแลจิตใจเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเรามีความสุข หน้าตาก็จะผ่องใส เราจะเห็นว่าพระที่ฝึกสมาธิเป็นประจำจนได้ความสงบถึงขั้นฌาน ท่านจะหน้าตาผ่องใส และคนทั่วไปถ้ารู้จักนำเรื่องของศีล สมาธิ หรือดนตรีบำบัดมาใช้ จิตใจก็จะสงบ เสียงเพลงก็ทำให้เกิดความสนุกสนาน หน้าตาก็ผ่องใส อ่อนกว่าวัยได้เหมือนกัน”
ประการที่ 4 การตรวจสุขภาพ Check up เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะจะทำให้เรารู้ว่าร่างกายเรามีปัญหาอะไรบ้าง ซึ่งถือเป็นการตรวจในระดับปกติ มีไขมัน มีความเสี่ยงเป็นโรคอ้วน โรคหัวใจ เบาหวาน ไทรอยด์ กระดูกพรุน การขาดฮอร์โมนบางตัว สิ่งเหล่านี้มีผลต่อร่างกายทั้งสิ้น
แต่ถ้าเราต้องการตรวจพิเศษลึกไป เช่น การหาค่าระดับของวิตามิน ระดับสารอาหาร ระดับสารต้านอนุมูลอิสระในเรื่องของ Anti-aging หรือตรวจในระดับยีน (หน่วยพันธุกรรม) ซึ่งจะลึกลงไปอีกเพื่อหาความเสี่ยงของโรค หรือแพ้ยาอะไรก็จะมีค่าใช้จ่ายที่สูง
“ตรวจพิเศษถ้าเรารู้ว่าขาดสารหรือวิตามินตัวใด ก็จะทำให้เราเสริมตัวนั้นได้ ซึ่งจะช่วยชะลอความชราและความเสี่ยงต่อโรคได้ด้วย”
Anti-aging เตือนภัยโรค
ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์ ธัมม์ทิวัตถ์ บอกว่า แม้ธรรมชาติจะบอกเราว่าอายุที่มากขึ้นเป็นมูลเหตุหนึ่งที่ทำให้คนเราแก่ชรา แต่ความจริงแล้วยังมีหลายปัจจัย ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เราแก่ (โดยเฉพาะแก่ก่อนวัย) ไม่ว่าจะเป็นพันธุกรรม จากสารอนุมูลอิสระ หรือ การใช้ร่างกายสมบุกสมบันเกินไปก็ตาม รวมทั้งการใช้พฤติกรรม หรือไลฟ์สไตล์ที่ผิด ๆ ฯลฯ ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ ล้วนทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม และเป็นบ่อเกิดของโรคได้ ทั้งนี้ แม้การตรวจกับหมอปกติ จะสามารถบอกอาการของโรคได้และเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าตรวจเช็กร่างกายโดยแพทย์เวชศาสตร์ ชะลอวัย (Anti-aging) ซึ่งเป็นการตรวจร่างกายที่ละเอียดกว่า และเป็นสาขาแพทย์เฉพาะทางที่รวมเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดเข้ามาใช้เพื่อยืดอายุ ชะลอความชรา หรือ เตือนภัย โรคร้ายที่จะมาเยือนได้ เช่น การตรวจยีน เพื่อดูว่ามีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคอะไร ตรวจดูสุขภาพลำไส้ หรือ มะเร็งได้ เป็นต้น
จากภายในสู่ภายนอกผิวใสด้วยมือหมอ
แม้ Anti-aging จะเป็นการรวมหลายศาสตร์ทั้งภายในและภายนอก ทั้งนี้ จากภายในที่ดี ก็จะไปสู่ภายนอก เช่น ผิวพรรณ ความงาม ซึ่งศาสตร์ความงามจะเป็นหน้าที่ของหมอผิวหนัง ที่จะปรุงแต่งให้ชะลอการเหี่ยวย่น ให้คงสภาพผิวให้นานที่สุด ด้วยหลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการฉีดโบท็อกซ์ การฉีดฟิลเลอร์ หรือ สารเติมเต็ม เครื่องเลเซอร์ชนิดต่าง ๆ เครื่องร้อยไหม การทรีตเมนต์ การทานอาหารเสริม
ด้วยความเชื่อที่ว่า ถ้าเซลล์ของเราเซลล์หนึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยวิตามินเกลือแร่ต่าง ๆ เซลล์จะทำงานได้ดีที่สุด นอกจากผิวพรรณจะสวย ยังปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ เพราะการที่เซลล์เต็มเปี่ยมไปด้วยอาหาร วิตามิน เกลือแร่ต่างๆ ทำให้เซลล์ฟังก์ชันดี และมีระบบภูมิคุ้มกันโรคที่ดีด้วย
อยากสวยกระชากวัย ต้องทำให้พร้อม
ส่วนที่มีการกล่าวถึงสเต็มเซลล์เข้ามาเกี่ยวข้องในการรักษาโรคและการนำสเต็มเซลล์มาดูแลผิวพรรณ โดยเชื่อว่า สามารถจะเปลี่ยนแปลงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ได้อีกครั้งนั้น ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์ ธัมม์ทิวัตถ์ กล่าวว่า แม้สเต็มเซลล์จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในประเทศไทยยังไม่ยอมรับ และถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายอยู่ จึงไม่อยากที่จะนำมาเกี่ยวข้อง
“เป็นช่วงที่เรารอความชัดเจน หรือ ช่วงเวลาในอนาคต แต่เราก็สามารถ Anti-aging ได้ ในราคาถูก โดยไม่ต้องเสียเงินเป็นแสนเป็นล้าน ในการใช้สเต็มเซลล์เข้าไปดูแล”
วิธีการ Anti-aging ที่ดีที่สุด ก็คือ การเดินตามเคล็ดลับ 4 ประการ ที่กล่าวมาแล้วทั้งจากการกินอาหาร การออกกำลังกาย การทำจิตใจให้เป็นสุข การตรวจสุขภาพ และถ้าเราเริ่มตั้งแต่วันนี้ คือ เริ่มตั้งแต่การควบคุมพฤติกรรมการกิน ควบคุมอาหาร ไม่ให้อ้วน บางคนกินอ้วนมาก ลดอาหารไป 50% เป็นเดือน ๆ ก็ยังอยู่ได้ ดังนั้น การควบคุมพฤติกรรม การกินให้น้อยลง การออกกำลังกาย นอกจากหุ่นจะดี โรคภัยไม่ถามหา และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ควรปฏิบัติ
“ถ้าเราเริ่มจากที่แม่ตั้งท้อง ที่ดูแลจนคลอดออกมา และเด็กสุภาพดี และมีการเติบโตสู่ช่วงวัยรุ่น วัยหนุ่มสาว วัยผู้ใหญ่ และการสู่วัยชรา ซึ่งทุกอย่างก็มีเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย เรื่องของอารมณ์ เรื่องของจิตใจ ซึ่งเป็นการปฏิบัติตนให้มีสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ นี่คือ หลักสำคัญของ Anti-Aging ที่ทุกคนควรทำ”
ดังนั้น หากทุกคนยึด 4 เคล็ดลับที่ผสมผสานควบคู่ไปด้วยกัน จะทำให้เราชะลอความชราและความเสื่อมออกไป ด้วยการมีอายุยืนยาว สุขภาพดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ด้วย