xs
xsm
sm
md
lg

“ทักษิณ”สิ้นมนต์ขลัง ต่างชาติหนุน “บิ๊กตู่”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เกมพลิกเมื่อมหาอำนาจตอบรับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเวทีระดับโลก ทั้งโอบามา-บัน คี มูน ชื่นมื่น ยกไทยเป็นประธานกลุ่ม G77 แถมปรับสถานะการใช้แรงงานเด็กเป็นบวก สะท้อนทิศทางบวกประเทศไทย หักล้างความเชื่อ “ทักษิณ” ที่เคยหวังใช้ต่างชาติกดดันไทย แถมคดีบึ้มราชประสงค์โยงคนเสื้อแดงยิ่งฝังเพื่อไทยจมดิน โอกาสกลับมายิ่งใหญ่ไร้วี่แวว

ยิ่งนานวันการคาดการณ์ของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและนายใหญ่แห่งพรรคเพื่อไทย ก็ยิ่งผิดคาดมากขึ้นทุกขณะ เพราะสิ่งที่ประเมินเอาไว้ว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะเสื่อมลงไปเองทั้งจากการไม่ยอมรับจากนานาชาติ เนื่องจากเข้ามาด้วยการยึดอำนาจและไม่มีความเป็นประชาธิปไตย รวมไปถึงการตัดนโยบายประชานิยมที่เคยเป็นเครื่องมือสำคัญของพรรคจนประชาชนเสพติด และหวังว่าเมื่อรัฐบาลใหม่ไม่สามารถแก้ปัญหาปากท้องได้ ในที่สุดประชาชนก็จะไม่ยอมรับ

หลังการยึดอำนาจได้ไม่นานนัก ดูเหมือนแรงกดดันจากต่างประเทศจะเป็นไปในทางที่นายใหญ่แห่งพรรคเพื่อไทยคาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ประกาศตัดความช่วยเหลือต่างๆ ตามมาด้วยองค์กรระหว่างประเทศที่ให้ใบเหลืองประเทศไทยในเรื่องประมง องค์กรการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ขึ้นธงแดงประเทศไทย รวมถึงสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ออกโรงมากดดันประเทศไทย

แถมทีมเศรษฐกิจในช่วงแรกของ ม.ร.ว.ปรีดิยาทร เทวกุล ยังไม่สามารถเรียกความมั่นใจภาคธุรกิจให้ฟื้นขึ้นมาได้ สมทบด้วยภาวะภัยแล้งน้ำไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูก ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามที่ทักษิณ ชินวัตร คาดการณ์เอาไว้

จึงเป็นที่รับรู้กันในหมู่คนเสื้อแดงและคนในพรรคเพื่อไทยว่า “นายใหญ่สั่งไม่ต้องเคลื่อนไหว ปล่อยให้ คสช.เสื่อมไปเอง”
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จับมือกับนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในงานประชุมสหประชาชาติ ที่สหรัฐอเมริกา
มหาอำนาจกลับลำ

แต่การเดินทางไปประชุมสหประชาชาติระดับผู้นำเพื่อรับรองวาระการพัฒนาภายหลัง ปี 2015 และการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 70 ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 23 กันยายน-1 ตุลาคม 2558 ได้สะท้อนถึงท่าทีของสหรัฐฯ ที่มีต่อประเทศไทย

เดิมที่เคยมีกระแสข่าวว่าพลเอกประยุทธ์ ไม่สามารถเดินทางไปสหรัฐฯ ได้ เนื่องจากเป็นรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากประชาธิปไตย แต่การเดินทางไปร่วมประชุมที่สหรัฐฯ ในครั้งนี้ ทำให้ได้เห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงท่าทีของนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ พร้อมภริยา และนายบัน คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติ ที่ให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรีของไทย

ตามมาด้วยการเลือกให้ประเทศไทยเป็นประธานกลุ่ม G77 โดยกลุ่ม G77 เป็นองค์กรระหว่างรัฐบาลของประเทศกำลังพัฒนา 134 ประเทศ ที่ใหญ่ที่สุดในสหประชาชาติ โดยเป็นเวทีให้ประเทศกำลังพัฒนาส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาร่วมกัน นับเป็นครั้งแรกที่ไทยดำรงตำแหน่งดังกล่าวหลังเป็นสมาชิกร่วมก่อตั้งจี 77 มาตั้งแต่ปี 2507 สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ และเป็นการแสดงความพร้อมและบทบาทนำของไทยในการสานต่อความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนา

ก่อนหน้านี้นายพิศาล มาณวพัฒน์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน กล่าวรายงานถึงความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ และความร่วมมือระหว่างกันต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า มีทิศทางที่ดีขึ้น เป็นสัญญาณทางบวก โดยดูจากความร่วมมือต่างๆ ที่มีมากขึ้นเกือบเท่าระดับปกติ ทั้งในระดับประชาชนและรัฐบาลท้องถิ่น ภาพลักษณ์ของไทยในสายตาของคนอเมริกัน มองว่าประเทศไทยไม่มีปัญหาและมีความเชื่อมั่นต่อความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น

เมื่อการประชุมเสร็จสิ้นลง กระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกา ได้ออกรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์และการจัดการการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบเลวร้ายที่สุด (Findings on the Worst Forms of Child Labor) ประจำปี ค.ศ. 2014 ซึ่งประเมินความพยายามและผลการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวของ 140 ประเทศทั่วโลก

ปรับประเทศไทยขึ้นจากระดับที่มีความก้าวหน้าปานกลาง (Moderate Advancement) ในปีก่อน เป็นระดับที่มีความก้าวหน้าอย่างสำคัญ (Significant Advancement ซึ่งเป็นระดับสูงสุด) เนื่องจากไทยสร้างความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรมสำคัญๆ 5 ประการ ได้แก่

1) แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ ซึ่งสะท้อนความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาแรงงานเด็ก

2) ออกกฎกระทรวงแรงงานกำหนดอายุขั้นต่ำของแรงงานในภาคเกษตรและภาคประมง

3) จัดสรรงบประมาณของรัฐบาลไทยเพื่อยุติการใช้แรงงานเด็กและสนับสนุนโครงการต่างๆ ของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

4) ตรวจแรงงานเชิงรุกโดยทีมสหวิชาชีพ

5)ปฏิบัติตามแผนระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2552-2557 และฉบับที่ 2 พ.ศ. 2558-2563
ทักษิณ ชินวัตร ใช้แนวทางต่อสู้โลกล้อมไทยมาตลอด
ผลบวกที่จะตามมา

“ผลของการเดินทางไปครั้งนี้ของพลเอกประยุทธ์ ภาพที่ออกมาเป็นบวกกับประเทศไทยมาก รวมถึงท่าทีของผู้นำสหรัฐฯ ที่มีต่อผู้นำของไทย ไทยได้รับความไว้วางใจให้เป็นประธาน G77 อีกทั้งกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ มีการปรับสถานะเรื่องการใช้แรงงานเด็กให้มาอยู่ในระดับที่ดีขึ้น ย่อมเป็นเรื่องดีกับประเทศที่เดิมกังวลกันว่าต่างประเทศจะไม่ยอมรับรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์” ทีมที่ปรึกษารัฐบาลกล่าว

เมื่อท่าทีของผู้นำสหรัฐฯ ออกมาในทิศทางนี้ องคาพยพต่างๆ ที่อาจมองประเทศไทยในทางไม่ดีก็น่าจะเปลี่ยนไป อย่างทูตสหรัฐฯ คนใหม่ ที่แข็งกร้าวกับไทยต่อจากคนก่อนก็อาจต้องลดระดับความแข็งกร้าวลง

นอกจากนี้ยังเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกมาถึงปัญหาต่างๆ ภายในประเทศที่เราถูกองค์กรระหว่างประเทศจับตาอยู่ เมื่อเราเร่งแก้ปัญหาต่างๆ ตามที่ได้รับการท้วงติง การพิจารณาต่างๆ อาจไม่ติดขัดเหมือนที่ผ่านมา

ดังนั้นความหวังของอดีตนายกฯ ทักษิณ ที่ใช้นโยบาย “โลกล้อมประเทศไทย” โดยหวังจะใช้นานาชาติกดดันรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จนยากที่จะบริหารประเทศต่อไปและต้องรีบคืนอำนาจให้กับประชาชน จากนั้นพรรคเพื่อไทยจะกลับมาบริหารประเทศอีกครั้ง จึงอาจต้องผิดหวังกับการคาดการณ์ในข้อนี้

เพราะถึงวันนี้สหรัฐฯ ก็รู้ว่าทักษิณไม่ใช่ศูนย์กลางของอำนาจในประเทศไทยอีกต่อไป การกดดันไทยมากๆ ย่อมไม่เกิดผลดี เพราะท้ายที่สุดจะเท่ากับเป็นการเปิดทางให้จีนและรัสเซียเข้ามาสร้างอิทธิพลในภูมิภาคนี้ได้มากขึ้น

ล่า “อ๊อด” ฝังเพื่อไทย

ประการต่อมาคดีวางระเบิดบริเวณศาลพระพรหม สี่แยกราชประสงค์ เมื่อ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา ความคืบหน้าของคดี นับตั้งแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวนายอาเด็ม คาราดัก และนายเมียไรลี ยูซูฟู จนรับสารภาพว่านายอาเดมเป็นผู้นำระเบิดไปวาง นายยูซูฟูเป็นผู้จุดชนวนระเบิด แม้ทั้งสองจะเป็นชาวต่างชาติและยังไม่บอกถึงเหตุผลจูงใจในการลงมือ

แต่ภายใต้ขบวนดังกล่าวยังพบมีคนไทยเข้าร่วมด้วยและออกหมายจับ 2 รายคือนางวรรณา สวนสัน ผู้เช่าห้องพักไมโมนา การ์เด้นโฮม ย่านมีนบุรี ซึ่งได้ขอความร่วมมือให้ทางการตุรกีช่วยดำเนินการจับกุมพร้อมทั้งเสนอให้กระทรวงการต่างประเทศยกเลิกหนังสือเดินทาง

อีกรายที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังดำเนินการจับกุมตามหมายจับลำดับที่ 10 คือ นายอ๊อด พยุงวงศ์ หรือ ยงยุทธ พบแก้ว เป็นผู้พบเจอกับนางวรรณา และเมียไรลีที่ไมโมนา การ์เด้นโฮม

ทั้งนี้ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่านายอ๊อดเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่สมานเมตตาแมนชั่น ย่านบางบัวทอง ในปี 2553 และเหตุระเบิดที่มีนบุรี 2557 เคยเป็นการ์ดของคนเสื้อแดงในช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมือง ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่าเหตุระเบิดในครั้งนี้อาจมีการเมืองภายในประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง จากเดิมที่คาดการณ์ว่าอาจเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ทางการไทยส่งชาวอุยกูร์กลับจีนและชาวตุรกีจำนวนหนึ่งไม่พอใจจนเข้าไปทำลายสถานทูตไทยที่ตุรกี

ร้อนถึงแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติอย่างนายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ต้องออกมาตั้งข้อสังเกตถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจและปฏิเสธถึงความเกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดง

เรื่องนี้คงต้องเป็นไปตามการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่คดีนี้มีจุดที่น่าสังเกตตั้งแต่การเข้ามาเป็นทนายความให้ของนายชูชาติ กันภัย ที่เคยว่าความให้กับคนเสื้อแดงมาก่อน โดยช่วงแรกได้ออกมาให้ข้อมูลจากนายอาเด็มที่ขัดแย้งกับข้อมูลของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่สุดท้ายออกมายอมรับว่าลูกความของเขาเป็นผู้นำระเบิดไปวางที่จุดเกิดเหตุ

แถมมาเจอนายอ๊อดเข้ามาเกี่ยวข้องอีก ทำให้ถูกตีความกันว่าเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับการเมืองภายในประเทศ แน่นอนว่าเพียงแค่นี้คนไทยทั่วไปก็ประเมินออกว่าอาจโยงไปถึงใคร จริงหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

แต่ตอนนี้ภาพของขั้วอำนาจเก่ากลายเป็นลบขึ้นมาทันที ไม่ว่าจะเป็นจากฝั่งของคนที่ไม่ชอบหรือชอบ เพราะมีผู้เสียชีวิต 20 ราย ผู้บาดเจ็บอีกร้อยกว่าราย นับเป็นเหตุที่รุนแรงที่สุดในเมืองหลวง นอกจากจะเป็นการทำลายชีวิตของคนบริสุทธิ์แล้ว ยังเป็นการทำลายการท่องเที่ยวของประเทศ ท่ามกลางเศรษฐกิจของประเทศฝืดเคือง

เมื่อความหวังของแรงกดดันจากนานาชาติเริ่มเปลี่ยนไป ยอมรับรัฐบาลชุดนี้มากขึ้น ด้านภายในประเทศก็ถูกจับจ้องว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ลอบวางระเบิด ยิ่งทำให้สถานการณ์ของพรรคเพื่อไทยในวันนี้ตกที่นั่งลำบากมากขึ้นทุกขณะ
นายอ๊อด พยุงวงศ์ ผู้ต้องหาเป็นผู้สนับสนุนและจัดหาอุปกรณ์ประกอบระเบิดในเหตุการณ์วางระเบิดแยกราชประสงค์ และท่าเรือสาทร
เกิดใหม่ยังยาก

“ทุกอย่างเข้าล็อกทั้งหมดตามเป้าหมาย จัดการเครือข่ายทักษิณ เปลี่ยนผ่านประเทศไทย ปฏิรูปประเทศ ตอนลงลงอย่างพระเอก” คนในพรรคเพื่อไทยกล่าว

พร้อมทั้งยอมรับว่าสถานการณ์ของพรรคเพื่อไทยตอนนี้ยิ่งแย่ลงไปอีก ต่างชาติเปลี่ยนท่าทีหันมาตอบรับรัฐบาลนี้มากขึ้น เรื่องระเบิดถูกโยงว่าเกี่ยวข้องกับการเมืองภายในประเทศ เมื่อบวกรวมกับเหตุการณ์ก่อนหน้าเรื่องคดีจำนำข้าวของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ เตรียมดำเนินการกับโอ๊ค พานทองแท้ ในคดีเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย

แค่นี้เพื่อไทยก็เกิดใหม่ยากแล้ว ความหวังที่จะให้มีการเลือกตั้งเร็วขึ้นแล้วเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาลเหมือนเดิม เพื่อหวังเปลี่ยนแปลงในคดีความที่เกิดขึ้นกับผู้นำพรรคและบุคคลในพรรคนั้น ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป

แม้จะมีความพยายามต่อสู้ในช่องทางที่มีอย่างกรณีคุณยิ่งลักษณ์ฟ้องต่ออัยการสูงสุดนั้น ในทางปฏิบัติคนที่อยู่ในวงการกฎหมายก็ประเมินออกว่าไม่มีผลที่จะทำให้การตัดสินของคดีล่าช้าออกไป เพราะเป็นการฟ้องบุคคล ตอนนี้บางท่านก็เกษียณอายุราชการ มีคนใหม่เข้ามารับหน้าที่แทน หากมีคำพิพากษาออกมาในด้านลบต่อพรรคเพื่อไทยงานนี้คงจบ

หรือหากพรรคเพื่อไทยยังคงอยู่ แต่โอกาสที่จะกลับมาครองเสียงข้างมากเหมือนกับครั้งที่ผ่านๆ มาคงเป็นไปได้ยาก ไม่มีจุดขายจากคนในตระกูลชินวัตรเข้ามานำทัพ หากเข้ามาแล้วเป็นฝ่ายค้าน คงไม่สามารถแก้ไขอะไรที่เป็นบวกกับพรรคได้อีกต่อไป เมื่อมองในแง่ของการลงทุนแล้วถือว่าไม่คุ้มค่า และโอกาสที่นายใหญ่จะถอดใจมีความเป็นไปได้สูง

กำลังโหลดความคิดเห็น