xs
xsm
sm
md
lg

ทำเนียบศูนย์พักพิงบิ๊กราชการขั้ว “ทักษิณ” ใครไม่ร่วมมือระวัง “บิ๊กตู่” เช็กบิลรอบใหม่!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

จับตาสำนักนายกรัฐมนตรี กลายเป็นแหล่งรวม “บิ๊กข้าราชการ” ขั้วอำนาจเก่า ที่ไร้อำนาจ-อิทธิพลอีกต่อไป แต่คนกลุ่มนี้จะกลายเป็นผู้ช่วย คสช.ปฏิบัติการชี้เบาะแส เอาผิด “คนโกงชาติ” ได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันใครไม่ร่วมมือ ระวังโดนก๊อก 2 ถูกรื้อคดีเก่าๆ ที่ก่อไว้ ตามนโยบาย “บิ๊กตู่” ใครทำผิดใช้กฎหมายเช็กบิลแน่!

หลังการยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะหัวหน้า คสช. เร่งดำเนินการแก้ไขระดับต้นๆ คือการจัดทัพข้าราชการระดับสูงใหม่ในหลายๆ องค์กร เพราะข้าราชการ คือบุคคลสำคัญและเป็นมือเป็นไม้ที่ทำให้ระบอบทักษิณเข้มแข็ง เติบโตมาทุกวันนี้

ดังนั้นเมื่อ คสช.มีคำสั่งโยกย้ายคนเหล่านี้ จึงมีเสียงโห่ร้องดีใจกันอย่างออกหน้าออกตา โดยเฉพาะการส่งข้อความในโซเชียลมีเดีย อย่างไลน์กลุ่ม ที่ถือว่าเป็นกลุ่มปิดเฉพาะพวกตนนั้น ต่างแสดงความเห็นกันอย่างสนุกสนาน ทั้งที่เป็นข้อความ รูปภาพที่แสดงออกถึงความดีใจที่บิ๊กข้าราชการถูกย้ายมาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี ตามที่ คสช.ระบุไว้เพื่อความเหมาะสม

วันนี้ภายในสำนักนายกรัฐมนตรี จึงเป็นแหล่งพักพิงให้คนในขั้วอำนาจเก่า ได้อยู่รวมกันเพื่อให้ทุกท่านหลุดพ้นวงโคจร “อำนาจ-บารมี” ในการให้คุณระบอบทักษิณ และให้โทษฝ่ายตรงข้ามอีกต่อไป

เด้ง 3 บิ๊ก “บิ๊กตู่” ได้คะแนนอื้อ
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
อันดับที่ 1 เด้ง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว โดยเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม หลังยึดอำนาจเพียง 2 วัน คสช.ได้ออกคำสั่งที่ 7/2557 ให้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี และให้ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รอง ผบ.ตร. มารักษาราชการในตำแหน่ง ผบ.ตร.แทน ซึ่งมีผลทันที

ด้วยคำสั่งแบบฟ้าผ่าทำให้ พล.ต.อ.อดุลย์ ต้องหลุดจากวงโคจรตำรวจ โดยไม่ได้แม้กระทั่งจะเดินทางไปพบเพื่อนตำรวจเพื่อกล่าวคำอำลา จึงทำได้เพียงเขียนจดหมายน้อย บอกทุกๆ คนว่า “ไม่เสียใจ” แต่ก็ขอฝากให้ตำรวจทุกคนรักษาสิ่งดีๆ ของหน่วยไว้

คำสั่งย้ายของ คสช.และจดหมายน้อยฉบับนี้ของ พล.ต.อ.อดุลย์ จึงมีความหมายต่ออารมณ์และความรู้สึกของตำรวจเป็นอย่างยิ่ง
“ช่วงแรกที่ ผบ.ตร.ถูกย้าย ตำรวจส่วนใหญ่จะรู้สึกต่อต้านฝ่ายทหาร เพราะพวกเขาจะรัก ชื่นชม ผบ.ตร.มาก โดยเฉพาะตำรวจที่จบจากนักเรียนนายร้อย ซึ่ง ผบ.ตร.ให้การสนับสนุนโรงเรียนมาก ผลงานในพื้นที่ภาคใต้ตำแหน่ง ผบช.ภ.9 โดดเด่นมาก ไม่เคยมีประวัติเสียหายในเรื่องการทุจริต และก็ไม่ได้เป็นตำรวจที่ทำงานเพื่อเอาใจนักการเมือง”

แต่ด้วยสถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังต้องการความสามัคคี ปรองดอง และการเดินหน้าขับเคลื่อนของ คสช.ทั้งในเรื่องเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือประชาชน และการประกาศ Road map ในการปฏิรูปประเทศออกมาชัดเจน รวมถึงการได้ผู้นำอย่าง พล.ต.อ.วัชรพล ทำให้ความรู้สึกต่อต้านการย้าย พล.ต.อ.อดุลย์ ของบรรดาตำรวจต่างแปรเปลี่ยนเป็นความร่วมมือร่วมใจในการปฏิรูปประเทศต่อไป

ขณะที่ฝ่าย กปปส.จะรู้สึกดีใจ สะใจ ที่ พล.ต.อ.อดุลย์ถูกย้ายเพราะในช่วงกว่า 6 เดือนที่มีการชุมนุมขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์-พรรคเพื่อไทย นั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กลับเป็นองค์กรที่คอยปกป้องรัฐบาล และยังถูกกล่าวหาว่าให้การช่วยเหลือกลุ่มคนเสื้อแดง หรือแม้กระทั่งมีเหตุการณ์ยิงระเบิดเข้าใส่ผู้ชุมนุมในหลายๆ พื้นที่ จนมีคนเจ็บและคนตายเป็นจำนวนมาก แต่ตำรวจกลับหาคนผิดมาลงโทษไม่ได้

และวันนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ก็ยังคงเป็นรองหัวหน้า คสช. ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะหัวหน้าฝ่ายกิจการพิเศษ ตามโครงสร้าง คสช. ด้วยการมาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะเกษียณราชการ 30 กันยายน ปี 2557
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
อันดับที่ 2 เด้ง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดย คสช.ได้ออกคำสั่งที่ 8/2557 ให้นายธาริตมาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี แล้วให้ พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ รอง ผบ.ตร. ปฏิบัติหน้าที่อธิบดีดีเอสไอ อีกหน้าที่หนึ่งมีผลทันทีเช่นกัน

สำหรับดีเอสไอ ถือเป็นหน่วยงานที่ได้รับการกล่าวขานมากที่สุดว่าเป็นหน่วยงานที่สร้างขึ้นมาเพื่อสนองคนการเมือง ดังนั้นเมื่อมีคำสั่งย้ายนายธาริต จึงเป็นที่ถูกอกถูกใจไม่ใช่เฉพาะคนนอกอย่างกลุ่ม กปปส.เท่านั้น แต่สำหรับคนดีเอสไอแล้ว พวกเขาบอกได้ว่า “ถูกใจที่สุด”

ทั้งนี้เพราะ ดีเอสไอ เป็นหน่วยงานที่มีดาบ มีอำนาจและเครื่องมือพิเศษในการป้องกันอาชญากรรมร้ายแรง ถ้าได้อธิบดีที่อิงแอบนักการเมือง จะทำให้องค์กรเสียหาย รวมไปถึงการสั่งคดีความว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้องก็ถูกการเมืองสั่งการทั้งสิ้น

โดยในช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ นายธาริต ในฐานะเลขานุการ ศอ.รส. ก็ช่วยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ต่อสู้กับคนที่ต่อต้านรัฐบาลทั้ง ส.ว. และ กปปส. เต็มที่ ซึ่งนอกจากคดีกบฏแล้ว นายธาริตยังทำหนังสือแจ้ง พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ในคดีพนักงานอัยการได้สั่งฟ้องนายสุเทพอีกหนึ่งข้อหาคือก่อการร้าย ซึ่งข้อหาก่อการร้ายเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงินอีกด้วย

หลังการประกาศกฎอัยการศึก นายธาริตก็สั่งลูกน้องไปจับ ดร.เสรี วงษ์มณฑา แกนนำ กปปส.ถึงสนามบิน โดยอ้างเป็นการดำเนินการตามหมายจับ

แต่สุดท้ายนายธาริตก็ต้องถูก คสช.สั่งย้ายให้มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีหมดสิทธิ์ใช้อำนาจไปจัดการฝ่ายตรงข้ามได้แล้ว
พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกระทรวงกลาโหม
อันดับที่ 3 พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกระทรวงกลาโหม คสช.มีคำสั่งที่ 9/2557 ให้มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยให้ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า พล.อ.นิพัทธ์ ได้ขึ้นเป็นปลัดกลาโหม ในรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยยิ่งลักษณ์ทำหน้าที่เจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วยตัวเอง

อีกทั้งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็มีภารกิจสำคัญในเรื่องความมั่นคงมอบหมายให้ พล.อ.นิพัทธ์ ดูแล โดยเฉพาะกรณีปราสาทพระวิหาร รวมไปถึงนโยบายดับไฟใต้

แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าในสถานการณ์ที่ยิ่งลักษณ์และรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล ถูกม็อบ กปปส. ไล่ล่า พวกเขาล้วนได้รับการสนับสนุน และปกป้องจาก พล.อ.นิพัทธ์ ให้ใช้สำนักงานปลัดกลาโหมเป็นที่ทำงานโดยมีทหารมาดูแลรักษาความปลอดภัยทุกครั้ง

ด้วยสถานการณ์ดังกล่าวหรือไม่ ที่อาจจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ คสช.ไม่ไว้วางใจและเกรงว่าจะกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของ คสช.ในการปฏิรูปประเทศ จึงต้องเด้ง พล.อ.นิพัทธ์ มาปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักนายกรัฐมนตรีอีกคนหนึ่ง
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
อันดับที่ 4 เด้ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง โดย คสช.ออกคำสั่งที่ 11/2557 ย้าย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาฯ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยให้ นายภาณุ อุทัยรัตน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย มาปฏิบัติหน้าที่แทน มีผลทันที

การสั่งย้ายครั้งนี้ แหล่งข่าวระบุว่า เป็นที่เข้าใจได้เนื่องจากพื้นที่ภาคใต้เป็นพื้นที่ที่ทหารรับรู้และเข้าใจปัญหามาก และในวันที่มีการปฏิวัติรัฐประหาร ก็ยังมีเหตุการณ์ระเบิดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่หากมองย้อนไปเส้นทางการเติบโตในชีวิตราชการแล้ว จะพบว่า พ.ต.อ.ทวี มีความใกล้ชิดกับระบอบทักษิณ ในทุกๆ รัฐบาล และในยุคที่นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี พ.ต.อ.ทวีก็ขยับขึ้นเป็นอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ

“เขามาสะดุดอีกครั้งในรัฐบาลประชาธิปัตย์ปี 2552 ถูกย้ายไปเป็นรองปลัดยุติธรรม แต่พอสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ได้รับแต่งตั้งไปเป็นผู้อำนวยการ ศอ.บต.”

กระทั่งวันที่ 24 พฤษภาคม คสช.จึงมีคำสั่งย้าย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง มาปฏิบัติงานที่สำนักนายกรัฐมนตรีเช่นกัน

เด้ง “ธงทอง” โยก “ม.ล.ปนัดดา” เสียบแทน
นายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
อันดับที่ 5 เด้งนายธงทอง จันทรางศุ โดย คสช.ออกประกาศคำสั่งฉบับที่ 27/2527 ให้นายธงทอง จันทรางศุ พ้นจากปฏิบัติหน้าที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี แต่คงปฏิบัติราชการที่สำนักนายกฯ และให้หม่อมหลวงปนัดดา ดิสกุล รองปลัดกระทรวงมหาดไทย มาปฏิบัติหน้าที่ปลัดสำนักนายกฯ อีกหน้าที่หนึ่ง
สำหรับการเด้งนายธงทองนั้น ดูจะเป็นที่ถูกอกถูกใจมวลมหาประชาชน เฉกเช่นเดียวกับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะสังคมต่างคาดหวังว่าเขาจะเป็นบุคคลที่รักและปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ดีที่สุด แต่ตรงข้ามกลับมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการทำงานของเขาดูจะเป็นการสนองรัฐบาลชินวัตร ผู้ซึ่งถูกตั้งคำถามว่ามีพวกล้มเจ้าอยู่ร่วมก๊วนจนถึงวันนี้

แม้กระทั่ง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช นายกสภามหาวิทยาลัยมหิดล ได้โพสต์ข้อความ “สารถึง รศ.ดร.ธงทอง จันทรางศุ” ผ่านทางชุมชนออนไลน์ www.gotoknow.org เมื่อวันที่ 26 มกราคม ที่ผ่านมา เรียกร้องให้ รศ.ดร.ธงทอง ลาออกจากตำแหน่งปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี แล้วกลับมาทำงานรับใช้ชาติ โดยในข้อความยังระบุว่า “ผมได้ข่าวมาว่า ตอนนี้การบริหารงานของภาครัฐทำโดยคนที่เป็น bureaucrat ไม่ถึง 10 คน และคนสำคัญคนหนึ่งคือท่านปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี รศ.ดร.ธงทอง จันทรางศุ จึงขออนุญาตส่งสารไปยังท่านว่า ลาออกจากตำแหน่งหัวโขนเสีย กลับมาทำงานรับใช้ชาติในฐานะนักวิชาการดีกว่า แล้วจะได้ช่วยกันปฏิรูปประเทศไทย”

เสียงเรียกร้องของนายกสภามหาวิทยาลัยมหิดล และเสียงมวลชนกลุ่มต่างๆ เป็นจริงขึ้นทันที เมื่อ คสช.เข้ายึดอำนาจและได้เรียกนายธงทอง เข้ารายงานตัวและมีการกักตัว ซึ่งระหว่างเดียวกันนั้น คสช.ได้ออกคำสั่งที่ 27/2557 ให้นายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี พ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และให้ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รองปลัดกระทรวงมหาดไทย มาปฏิบัติหน้าที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ควบอีกตำแหน่ง

โดยชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ถือเป็นข้าราชการต้นแบบ โดดเด่นทั้งในเรื่องความซื่อสัตย์ สุจริต และความจงรักภักดีต่อหน้าที่และสถาบันได้ชัดเจนที่สุด

ส่วนนายธงทอง ตั้งแต่วินาทีที่ คสช.มีคำสั่งเด้ง เขาก็ไม่ใช่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป แต่เป็นเพียงข้าราชการคนหนึ่งปฏิบัติราชการที่สำนักนายกฯ เท่านั้น
นายชูเกียรติ รัตนชัยชาญ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
อันดับที่ 6 เด้งนายชูเกียรติ รัตนชัยชาญ ตามคำสั่ง คสช. ที่ 28/2557 ให้นายชูเกียรติ รัตนชัยชาญ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยให้ได้รับเงินเดือนทางสังกัดเดิมไปพลางก่อน และให้ นายดิศฑัต โหตระกิตย์ รองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา มีผลตั้งแต่ 28 พฤษภาคม 25557 เป็นต้นไป

แหล่งข่าวกล่าวว่า กรณีของนายชูเกียรตินั้น น่าจะเกี่ยวพันกับโครงการรับจำนำข้าวที่สำนักงานกฤษฎีกา ได้ทำหนังสือตอบไปยังรักษาการรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่า สามารถกู้เงินมาใช้ในโครงการรับจำนำข้าว เพื่อจ่ายเงินให้ชาวนาได้ ซึ่งมีผลให้รัฐใช้เอกสารนี้ไปเร่งหาเงินกู้มาใช้ในโครงการรับจำนำข้าวต่อไป

“เอกสารตอบกลับมีข้อน่าสนใจ 2-3 ขั้นตอนที่ต้องตรวจสอบว่าเห็นชอบโดยคณะกรรมการหรือออกโดยสำนักเลขาฯ กฤษฎีกา และเอกสารนี้ใช้เวลาพิจารณาเพียง 1 วัน มันรวดเร็วมาก”

ดังนั้น การเด้งนายชูเกียรติ รัตนชัยชาญ มาปฏิบัติงานที่สำนักนายกรัฐมนตรี จึงเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ในการตรวจสอบการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งนายชูเกียรติก็น่าจะเป็นคนที่รู้เรื่องดีที่สุดเช่นกัน

เด้งอีก 3 บิ๊ก “อสส.-ปลัดไอซีที-เลขาฯสภา”
นายสุวิจักขณ์ นาควัชระชัย เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
อันดับที่ 7 เด้งนายสุวิจักขณ์ นาควัชระชัย โดย คสช.มีประกาศคำสั่งที่ 62/2557 ให้นายสุวิจักขณ์ นาควัชระชัย เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร มาปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักงานปลัดสำนักนายกฯ และให้รองเลขาธิการสภาผู้แทนฯ ที่มีอาวุโสสูงสุดมาปฏิบัติราชการแทน

กรณีการเด้งนายสุวิจักขณ์นั้น เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้ทำให้บรรดาคอการเมืองแปลกใจ เพราะที่ผ่านมาเขาถูกเสียงครหาถึงความไม่โปร่งใสในการใช้งบประมาณของรัฐสภามาอย่างต่อเนื่อง เช่นการจัดซื้อตู้น้ำดื่มตู้ละ 7 หมื่นบาท การจัดซื้อนาฬิกาติดฝาผนังจำนวน 200 เรือน ใช้งบประมาณถึง 15 ล้านบาท จนปรากฏเป็นข่าวฉาวในหน้าหนังสือพิมพ์รายวันหลายฉบับว่าราคาสูงเกินจริง รวมถึงการใช้งบประมาณไปดูงานในต่างประเทศ และในเรื่องของการปล่อยให้นักการเมืองเข้ามาควบคุมการแต่งตั้งคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ ที่เต็มไปด้วยเครือญาติหรือคนสนิทนักการเมือง และปล่อยให้มีการจัดประชุมแต่ละคณะหลายครั้งต่อสัปดาห์ เป็นเหตุให้มีค่าใช้จ่ายในการประชุมสูง

ขณะเดียวกันในช่วงที่เกิดความขัดแย้งทางการเมืองรุนแรงนั้น นายสุวิจักขณ์ กลับแสดงพฤติกรรมรับใช้นักการเมืองขั้วรัฐบาลอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเหตุการณ์เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา กรณีการสั่งห้ามถ่ายทอดสด การประชุมนอกรอบของสมาชิกวุฒิสภา เพื่อแสดงความคิดเห็นในการหาทางออกให้แก่ประเทศ โดยอ้างว่าไม่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการบริหารสถานีวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์รัฐสภา เนื่องจากไม่อยู่ในสมัยประชุม

ดังนั้นเมื่อมีคำสั่งเด้ง นายสุวิจักขณ์จึงเป็นเรื่องที่ถูกใจคนที่ไม่ใช่ขั้วพรรคเพื่อไทยแน่นอน
นายอรรถพล ใหญ่สว่าง อัยการสูงสุด
อันดับที่ 8 เด้งนายอรรถพล ใหญ่สว่าง โดยคำสั่งที่ 62/2557 ให้นายอรรถพล ใหญ่สว่าง อัยการสูงสุด (อสส.) มาปฏิบัติหน้าที่สำนักงานปลัดสำนักนายกฯ และให้นายตระกูล วินิจนัยภาค รองอัยการสูงสุด เป็นผู้รักษาราชการแทนอัยการสูงสุด

แหล่งข่าวในวงราชการบอกว่า ลึกๆ แล้วดีใจมากที่ คสช.สั่งเด้งนายอรรถ แต่ก็รู้สึกประหลาดใจมากเช่นกัน เพราะโดยความเป็นจริง สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นหน่วยงานอิสระไม่ได้ขึ้นกับสำนักนายกรัฐมนตรี จึงไม่คิดว่า คสช.จะสั่งลงดาบนายอรรถพล แต่ในความเป็นจริงแล้ว อสส.มีปัญหาในการสั่งฟ้องคดีมาก เป็นที่ที่มีการเล่นพรรคเล่นพวก และกลายเป็นองค์กรที่ตอบสนองให้กับระบอบทักษิณจากรุ่นสู่รุ่น

โดยคดีที่ทำให้ผู้คนเห็นคล้อยตามว่านายอรรถพลเลือกข้าง ก็คือคดีการเมืองที่เขาใช้อำนาจชี้ขาดสั่งฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการ กปปส. ข้อหาร่วมกันใช้หรือทำให้เกิดการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาโดยเล็งเห็นผลจากการที่ ศอฉ.มีคำสั่งใช้กำลังเจ้าหน้าที่กระชับพื้นที่เหตุการณ์ชุมนุมเมื่อปี 2553

ขณะที่คดี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก 2 ปี กลับไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด

“มันอันตรายมาก หากปล่อยให้อัยการซึ่งเป็นทนายแผ่นดินใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมไปทำลายคู่ขัดแย้ง หรือไม่ปกป้องคนดี เพราะอีกไม่นานจะมีคดีสำคัญๆ เช่นคดีทุจริตข้าว คดีคอร์รัปชันในหน่วยงานต่างๆ คดีล้มเจ้า หรือคดีใช้อำนาจไม่เป็นธรรมของบิ๊กข้าราชการทั้งหลายส่งมาให้อัยการพิจารณาฟ้องร้องกันต่อไป ซึ่งการย้ายนายอรรถพล จึงเป็นการเตรียมความพร้อมของ คสช.”

ดังนั้น การย้ายนายอรรถพลจึงเป็นประโยชน์ต่อการปฏิรูปประเทศอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการปฏิรูประบบยุติธรรม ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของ คสช.เช่นกัน
นายสุรชัย ศรีสารคาม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
อันดับที่ 9 เด้ง นายสุรชัย ศรีสารคาม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มาปฏิบัติราชการที่สำนักงานปลัดสำนักนายกฯ และให้นางเมธินี เทพมณี ผู้ตรวจฯ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นผู้รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงเทคโนโลยีฯ

โดยนายสุรชัยข้ามห้วยจากกระทรวงมหาดไทย ในตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก ไปเป็นปลัดกระทรวงไอซีที ซึ่งผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติ จาก พ.ต.ท.ทักษิณ มาแล้ว และมีผลงานเข้าตาในด้านเทคโนโลยีเพราะสามารถทำให้จังหวัดนครนายก เป็นจังหวัดนำร่องโครงการสมาร์ทไทยแลนด์

อย่างไรก็ดี การเด้งนายสุรชัยครั้งนี้ อาจจะเกี่ยวพันกับการที่ไอซีทีไม่เร่งดำเนินการจัดการกับเว็บไซต์หมิ่นสถาบัน ที่วันนี้เติบโตขยายวงกว้างมากขึ้น รวมไปถึงกลุ่มที่ใช้โซเชียลมีเดียในการส่งข้อความต่อต้านรัฐประหาร การปล่อยข่าวจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น หรือการปล่อยให้มีพื้นที่ของระบอบทักษิณติดต่อเชื่อมโยงกัน ทั้งที่กระทรวงไอซีทีสามารถบล็อกได้

“คสช.ให้ความสำคัญกับเรื่องหมิ่นสถาบันมาก แต่ไอซีทีปล่อยปละละเลยมานาน ก็ต้องเด็ดหัวก่อนเพื่อให้ส่วนอื่นๆ ขยับกัน”

ระวังดาบสองใช้กฎหมายเช็กบิล

ขณะเดียวกันแหล่งข่าวระบุว่า การโยกย้ายบิ๊กข้าราชการหลายท่านของ คสช.ให้มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ล้วนเป็นคนที่ใกล้ชิดกับระบอบทักษิณ ซึ่งหากถามความรู้สึกของคนที่เป็นข้าราชการโดยเฉพาะข้าราชการระดับสูงที่เป็นผู้บริหารสูงสุดของแต่ละองค์กร ที่เคยมีอำนาจ มีบารมี มีงบประมาณในการสั่งการ มีลูกน้องจำนวนมากๆ ถือว่าคำสั่งย้ายครั้งนี้เป็นการเสียหน้าและเสียศักดิ์ศรีของคนที่เป็นข้าราชการระดับสูงมาก เพราะการทำเช่นนี้ก็คือการถูกปลด ไม่ให้มีอำนาจสั่งการใดๆ และในอดีตคนที่ย้ายมาอยู่ที่สำนักนายกฯ ก็ต้องรอว่าปลัดสำนักนายกฯ ซึ่งวันนี้มีฐานะเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ก็คือ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล จะมอบหมายงานอะไรให้ทำ ถ้าไม่มอบให้พวกเขาก็จะไม่มีงานทำ

“ถูกย้ายเข้ากรุ มานั่งตบยุงกัน บางคนมาคนเดียว ไม่มีลูกน้องตามมา ถือเป็นการบีบคั้นในด้านจิตใจรุนแรงมาก ส่วนใครที่กำลังจะเกษียณกันยายนนี้ ก็ไม่มีปัญหา เพราะทนไม่กี่เดือน อย่าง ผบ.ตร.ก็ยังดีที่ได้รับมอบหมายงาน แปลว่า คสช.ยังให้เกียรติ และก็จะเกษียณกันยานี้แล้ว แต่คนที่ยังมีอายุราชการเหลืออยู่หลายปี ก็ต้องรอการพิสูจน์ตัวเอง ให้ คสช.ได้เข้าใจซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหน”

แหล่งข่าวบอกอีกว่า การนำคนเหล่านี้มาไว้รวมกัน คสช.ก็ต้องมีวิธีการติดตามดูพฤติกรรมของพวกเขา หรือบางครั้งอาจจะมอบหมายให้แต่ละท่านทำเรื่องที่รู้รายละเอียดที่สุด หรือแม้แต่เรื่องที่จะต้องเอาผิดนักการเมืองในขั้วอำนาจเก่าที่เคยใกล้ชิดก็ต้องทำ เพื่อให้ข้าราชการที่ถูกย้ายมาได้พิสูจน์ตัวเอง แต่ถ้าข้าราชการคนใดยังมีปัญหาส่งผลกระทบกับการปฏิรูปประเทศ ก็ต้องระวังเจอทีเด็ดของ คสช.อีกระลอก

“คนที่ถูกย้ายมา ถ้าทำอะไรที่ไม่ถูกต้องอีก คสช.ต้องมีไม้เด็ด เพราะหลายคนมีคดีติดตัวมาด้วย ถูกฟ้องร้องเอาผิดแน่ เมื่อหลุดจากตำแหน่งมาแล้ว การจะทำลายหลักฐาน หรือ สั่งปกปิดอะไร ก็คงจะยาก ที่ผ่านมาลูกน้องจำเป็นต้องร่วมมือ แต่จากนี้ คนพวกนี้คงลำบาก โดยเฉพาะธาริตที่มีคดีบุกรุกที่ดิน คดีความปี 2553 หรือการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 จะถูกขุดมาดำเนินคดี ซึ่งอัยการจะมีการเดินหน้าเรื่องต่างๆ ที่คั่งค้างได้อย่างรวดเร็ว”

ดังนั้นสิ่งที่ต้องจับตาดูจากนี้ไปไม่ใช่แค่ว่าจะมีการเด้งบิ๊กข้าราชการในระบอบทักษิณเข้ามาทำงานในสำนักนายกรัฐมนตรีอีกหรือไม่ โดยเฉพาะบิ๊กข้าราชการในกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ ที่เกี่ยวข้องกับคดีทุจริตข้าวเท่านั้น

แต่ยังมีเรื่องที่ต้องจับตาอีกก็คือ บิ๊กข้าราชการทั้ง 9 ท่านที่ถูกย้ายมาปฏิบัติงานในสำนักนายกรัฐมนตรีเวลานี้ ใครบ้างที่มีคดีความติดตัว มีเรื่องฟ้องร้อง ก็ต้องเตรียมถูกเช็กบิลรอบใหม่จากนี้ไปตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ซึ่งระบุไว้ชัด ใครผิดก็ว่าไปตามผิดแน่นอน

กำลังโหลดความคิดเห็น