xs
xsm
sm
md
lg

กฎอัยการศึกสัญญาณบวก “กปปส.” นายกฯคนกลาง “ประยุทธ์” ชี้ขาด-แจงไม่ใช่ “2 บิ๊กทหาร”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กองทัพประกาศกฎอัยการศึก เป็นคุณประโยชน์ต่อ กปปส. และประเทศชาติ ล้มอำนาจรัฐบาลรักษาการ ปิดฉาก “นิวัฒน์ธำรง” คุมอำนาจ ผอ.กอ.รมน. สลาย ศอ.รส. ชี้นายกฯ คนกลางไม่ใช่ “2 บิ๊ก” ทหาร ส่วนจะทูลเกล้าฯชื่อตาม ส.ว. หรือไม่ อยู่ที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” วงในแจง หลายฝ่ายเสนอ “อานันท์ ปันยารชุน” ขณะที่ภาคเอกชน บอกกฎอัยการศึกช่วยลดความรุนแรง 2 คู่ขัดแย้งเจรจากันได้ ขณะเดียวกัน หากกลุ่มผู้ชุมนุมป่วน ตำรวจจะเข้าจัดการ ส่วนทหารทำหน้าที่ไล่ล่าหัวโจกทันที!

วิกฤตการเมืองไทยที่เกิดขึ้นและมีการชุมนุมเรียกร้องของคู่ขัดแย้ง 2 ฝ่าย เป็นเวลากว่า 7 เดือนแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ แม้จะมีความพยายามจากหลายฝ่ายก็ตาม เนื่องเพราะฝ่ายหนึ่งต้องการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะกำจัดระบอบทักษิณที่ยึดกุมประเทศมาเป็นเวลายาวนานได้สำเร็จ แต่อีกฝ่ายต้องการเลือกตั้งโดยอ้างประชาธิปไตยคือการคืนอำนาจให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งเพื่อกลับเข้าสู่อำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กำลังจะนำไปสู่จุดแตกหักและรุนแรงถึงขั้นจลาจลในเร็ววันนี้

ในที่สุดกองทัพบก โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ตัดสินใจประกาศกฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร เพราะมองเห็นความจำเป็นเร่งด่วนจากสถานการณ์ผู้ชุมนุมประท้วงหลายกลุ่มในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เขตปริมณฑล ตลอดจนพื้นที่ต่างๆ ของประเทศ และมีกลุ่มผู้ไม่หวังดีสร้างสถานการณ์ความรุนแรงด้วยการใช้อาวุธสงครามต่อประชาชน และสถานที่สำคัญอย่างกว้างขวาง เป็นผลให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บ และเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มจะก่อให้เกิดเหตุการณ์จลาจล อันกระทบต่อความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนโดยรวม

ทั้งนี้ เพื่อให้การรักษาความสงบเรียบร้อยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นำความสงบสุขกลับคืนสู่ประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่ายโดยเร็ว จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 2 และมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พุทธศักราช 2457 ประกาศกฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร มีผลตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม พุทธศักราช 2557 เวลา 03.00 น. เป็นต้นไป

โดยขอให้ทุกพวกทุกฝ่ายนั้นหยุดการเคลื่อนไหว เพื่อเข้าสู่กระบวนการในการแก้ปัญหาของชาติอย่างยั่งยืนโดยเร็ว และมีการเชิญหัวหน้าส่วนราชการและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจตั้งแต่ระดับอธิบดีหรือเทียบเท่าขึ้นไป ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ 2550 และผู้แทนสภาวิชาชีพสาขาต่างๆ ตลอดจนผู้แทนภาคประชาสังคม ที่มีที่ตั้งสำนักงานในพื้นที่ภาคกลางเข้าร่วมประชุม ณ สโมสรกองทัพบก ถ.วิภาวดีรังสิต เมื่อเวลา 14.00 น.ที่ผ่านมา

“วันนี้ทหารก็ทำงานไป ข้าราชการประจำก็มีหน้าที่ทำงานไป กองทัพมีแผนมีกระบวนการที่จะดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอน เรามีอำนาจตามกฎอัยการศึกไม่งั้นใครจะฟังเรา มีสิทธิ์จะเรียกทุกกลุ่ม ทุกฝ่ายเพื่อหาข้อยุติ โดยจะเรียกคู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่ายมาคุยกัน จะไม่ยอมให้นองเลือดในแผ่นดินไทยเด็ดขาด” พล.อ.ประยุทธ์ระบุ

จากนี้จึงเป็นการนับหนึ่งเดินหน้าเพื่อแก้ไขวิกฤตการเมืองครั้งนี้ เพื่อนำความสงบคืนสู่ประชาชนตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ ลั่นวาจาและเป็นเป้าหมายสำคัญในการประกาศกฎอัยการศึก

ขณะเดียวกัน ผู้เกี่ยวข้องได้แสดงทรรศนะในการประกาศกฎอัยการศึกครั้งนี้และมั่นใจว่าจะเลี่ยงเหตุจลาจลและทำให้ประเทศชาติดีขึ้น
ทหารเข้าควบคุมพื้นที่หลังประกาศกฎอัยการศึก
กฎอัยการศึกเป็นบวกกับ กปปส.

นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา บอกว่า การประกาศกฎอัยการศึกครั้งนี้เป็นผลดีกับผู้ชุมนุม กปปส.
กล่าวคือ ทำให้ความเสี่ยงผู้ชุมนุมฝ่าย กปปส. ลดลง เพราะเมื่อทหารเข้ามาทำให้ตำรวจที่ ศอ.รส. เกณฑ์มาต้องกลับที่ตั้ง ทำให้ผู้ชุมนุมมีความเสี่ยงลดลง เท่ากับตอนนี้ฝ่ายผู้ชุมนุม กปปส.มีความปลอดภัยมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการลดความร้อนแรงของกลุ่มผู้ชุมนุมทั้ง 2 ฝ่ายลง โอกาสปะทะหรือสูญเสียเลือดเนื้อลดน้อยลง

ที่สำคัญคือ กฎอัยการศึก มีบทบาทสำคัญในการลดอำนาจฝ่ายรัฐบาลลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะใน 2 ประเด็นคือ

1. ทำให้เห็นว่าตัวของนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีรักษาการ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ไม่มีอำนาจใดๆ อีก โดยเฉพาะในตำแหน่ง ผอ.กอ.รมน. (กองกำลังรักษาความมั่นคงภายใน) ที่นายนิวัฒน์ธำรง ไม่สามารถทำงานเป็น ผอ.กอ.รมน. ได้ ดังนั้นคนที่คุม กอ.รมน. ตอนนี้เบ็ดเสร็จคือทหาร

2. ศอ.รส. ถูกยึดอำนาจไปแล้ว โดย ศอ.รส. ถือเป็นปัญหาอย่างมากกับกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.
“ศอ.รส. ทำให้เชื่อว่าเป็นหน่วยที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนความรุนแรง ช่วยรัฐบาลที่ไม่สมประกอบให้มีอำนาจมาตลอด ดังนั้นเมื่อ ศอ.รส. ปิดฉาก รัฐบาลรักษาการก็หมดสภาพโดยสมบูรณ์ไปอีกหนึ่งหน่วยงาน”

ดังนั้น หลังประกาศกฎอัยการศึก อำนาจจึงอยู่ในมือทหารเต็มที่ แม้จะไม่ได้ทำรัฐประหารก็ตาม

“ต่อไปนี้ทหารจะเป็นตัวหลักในการหาทางออกให้ประเทศชาติ วุฒิสภาจะเป็นแค่ส่วนหนึ่ง อยู่ที่ทหารว่าจะใช้ช่องทางไหน” ส.ว.ไพบูลย์ กล่าว

อย่างไรก็ดี จากนี้ไปคาดว่ากองทัพจะเริ่มจากการควบคุมสภาพบ้านเมืองให้มีความสงบเรียบร้อยก่อน ไม่ผลีผลาม และกฎอัยการศึกได้ให้อำนาจทหารเต็มที่ ส่วนตำรวจก็ต้องออกไป จุดนี้ถือเป็นด้านดีกับประเทศชาติ เพราะเมื่อรัฐบาลได้ใช้ตำรวจในการปกป้องตัวเอง ซึ่งจากนี้ไป ไม่มีตำรวจอีกต่อไป และนายนิวัฒน์ธำรงก็ไม่ได้เป็น ผอ.กอ.รมน. ไม่มี ศอ.รส.แล้ว ส่งผลให้จากนี้ไปฝ่ายต่างๆ ทำงานได้เต็มที่

ส่วนขั้นตอนต่อไปคือการเสนอชื่อนายกฯ ซึ่งคาดว่าในระยะเวลาไม่นานนัก น่าจะมีการเสนอชื่อนายกฯ ขึ้นทูลเกล้าได้ โดยผู้เสนอชื่อนายกฯ ขึ้นไป จะเป็นฝ่ายใดเป็นผู้ดำเนินการ ขึ้นอยู่กับทหารตามกฎอัยการศึกเป็นผู้ชี้ขาด

ขณะเดียวกันผู้ที่จะทำหน้าที่นายกฯ ชั่วคราวหรือรัฐบาลเฉพาะกิจไม่ได้มีแค่ชื่อเดียว เพราะมีฝ่ายต่างๆ เสนอชื่อนายกฯ ที่หลากหลายเข้ามา และคาดว่าจะสรุปได้ในเวลาสุดท้าย
นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา
นายกฯชั่วคราวไม่ใช่ 2 บิ๊กทหาร “ประวิทย์-ประยุทธ์”

อีกทั้งชื่อนายกฯ ที่ ส.ว. มีการเสนอนั้นไม่ใช่คนที่ชื่อนำหน้าด้วยตระกูล ป. ทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีการกล่าวถึงนั้นไม่ใช่ทั้งคู่ และนับจากนี้ไม่ว่าจะเป็น ส.ว. หรือฝ่ายอื่น หรือภาคประชาชน ตอนนี้เริ่มเดินหน้าหาทางออกให้ประเทศได้เต็มที่

นอกจากนี้ ส.ว.ไพบูลย์ เตรียมเดินหน้ายื่นศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้งหนึ่ง เพื่อฟ้องร้องคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ตามมาตรา 91 ประกอบมาตรา 182 วรรคสาม ว่าคณะรัฐมนตรีกระทำการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 268 เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของรัฐมนตรีทั้งคณะรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 (7)

ประเด็นหลักคือคณะรัฐมนตรีมีมติประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างร้ายแรง ก่อให้เกิดปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ สรุปได้ 3 ประการโดยสรุปดังนี้

ประการที่ 1 คณะรัฐมนตรีออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นเข้าข่ายเป็นการกระทำต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 181 (4) เพื่อให้เกิดประโยชน์กับพวกของตนและพรรคการเมืองที่ตนเองสังกัดอยู่ ในช่วงการดำเนินการจัดการการเลือกตั้ง ทำให้พรรคของตัวเองได้เปรียบในการเลือกตั้ง

ประการที่ 2 ศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) ที่ดำเนินการตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่ออกโดยคณะรัฐมนตรี ได้เข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงการทำหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งและของเจ้าหน้าที่ กกต. โดยไม่ใช่เรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีหรือศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) จึงเป็นการเข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติราชการหรือการดำเนินงานในหน้าที่ประจำของข้าราชการ พนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ อันเป็นการกระทำต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญตามมาตรา 266 (1)

ประการที่ 3 คณะรัฐมนตรีได้มีมติออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น มีปัญหาความชอบด้วยกฎหมายซึ่งปรากฏตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง จึงเป็นการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ และจากการตรวจสอบพบว่าไม่ได้เป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการตามนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐบาล

เมื่อการกระทำผิดดังกล่าวเป็นการกระทำร่วมของรัฐมนตรีทุกคนในรัฐบาลนี้ จึงขอให้ศาลพิจารณาว่ารัฐมนตรีที่ร่วมอยู่ในรัฐบาลนี้ต้องสิ้นสุดลงด้วยการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) หรือไม่

“หวังว่าศาลจะพิจารณาเพื่อให้เกิดความชัดเจน”

ก็เป็นอีกบทรุกไล่รัฐบาลรักษาการหนึ่งของกลุ่ม 40 ส.ว. ที่วันนี้ต้องเดินหน้าทำให้เกิดภาวะสุญญากาศให้ได้
ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานคณะทำงานเศรษฐกิจมหภาค สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ภาคธุรกิจเชื่อทุกอย่างจะดีขึ้น

ด้าน ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานคณะทำงานเศรษฐกิจมหภาค สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า การประกาศกฎอัยการศึกของทหารหากจะมองว่ากระทบต่อเรื่องความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจนั้น ต้องบอกว่าเรื่องความเชื่อมั่นอยู่ในจุดต่ำสุดแล้ว ที่ผ่านมาความขัดแย้งทางการเมืองได้ลากให้เศรษฐกิจตกต่ำลงไปด้วย สถานการณ์ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ภาคธุรกิจก็คิดว่าจะต้องมีวันนี้หรือคล้ายกับอย่างนี้ เพราะประเทศเรามาถึงทางตันแล้ว การประกาศกฎอัยการศึกของทหารถือเป็นทางออกของประเทศ

ตามรายงานของสภาพัฒน์ก็ระบุว่า การลงทุนของภาคเอกชนติดลบ 5% ส่วนการลงทุนภาครัฐติดลบ 3% สอดคล้องกับรายงานของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่รายงานความเชื่อมั่นว่าต่ำที่สุดที่รอบ 56 เดือน สิ่งที่เป็นผลกระทบตามมาคือทางฟิทช์ เรทติ้งส์ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ และสถาบันจัดอันดับขีดความสามารถทางการแข่งขันชั้นนำของโลก (International Institute for Management Development) หรือ IMD ก็ขู่ที่จะลดอันดับความน่าเชื่อถือของไทยลง

ส่วนการที่จะบอกว่าการประกาศกฎอัยการศึกในครั้งนี้ดีหรือไม่ รองประธานคณะทำงานเศรษฐกิจมหภาคกล่าวว่า ยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ เพราะต้องดูขอบเขตว่าการประกาศกฎอัยการศึกนั้นมีแค่ไหน ซึ่งเรายังไม่เห็น

สิ่งที่เราเห็นคือการประกาศกฎอัยการศึกนั้นจะทำให้ความรุนแรงไม่เกิดขึ้น ถือเป็นเรื่องดี ส่วนเรื่องของการหาตัวนายกรัฐมนตรีที่จะเข้ามาทำหน้าที่บริหารประเทศนั้น ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง แต่อย่างน้อยกฎอัยการศึกก็จะทำให้คู่ขัดแย้งทั้ง 2 ฝ่ายหันหน้าเข้ามาพูดคุยกันได้มากขึ้น น่าจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นกว่าเดิม
นายอานันท์ ปันยารชุน ผู้ที่ถูกคาดหมายว่าจะเข้ามาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
หนุน “อานันท์ ปันยารชุน” นั่งนายกฯ

แหล่งข่าวด้านความมั่นคงกล่าวว่า จุดจบของการต่อสู้ทางการเมืองเวลานี้ ไม่ใช่อยู่ที่ผู้ชุมนุมกลุ่มใดอีกต่อไปแล้ว แต่อยู่ที่ทหาร โดยเฉพาะอำนาจรัฏฐาธิปัตย์อยู่ในมือทหารอย่างสมบูรณ์

ขั้นตอนต่อจากนี้ไปคือการนำเสนอนายกฯ อย่างเร่งด่วน เพราะประเทศชาติจำเป็นต้องมีนายกฯ มาเดินหน้าบริหารประเทศ โดยคาดว่าทหารจะใช้เวทีวุฒิสภาในการนำเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีขึ้นโปรดเกล้าฯ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่นานนัก โดยชื่อของคนที่จะมาเป็นนายกฯ จะมีการหารือกัน 3 ฝ่าย คือ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และ ส.ว. แต่จะเป็นใครนั้นยังไม่ทราบ

“ตอนนี้ทหารเชิญข้าราชการมารายงานตัวทั้งหมดแล้ว การประกาศกฎอัยการศึกแม้ไม่ใช่การทำรัฐประหาร แต่ก็เป็นการทำรัฐประหารเรียบร้อยไปแล้ว ดังนั้นต่อจากนี้ไป การดำเนินการของวุฒิสภาจะง่ายขึ้น”

ทราบแต่ว่าชื่อของ นายอานันท์ ปันยารชุน นั้น เป็นชื่อผู้ใหญ่ที่หลายฝ่ายอยากให้มาเป็นนายกฯ แต่นายอานันท์อาจจะไม่อยากเข้ามารับตำแหน่งก็เป็นได้ ดังนั้นการเสนอชื่อนายกฯ จึงต้องรอข้อสรุปจากทั้ง 3 ฝ่าย

“คุณอานันท์มีคุณสมบัติที่เหมาะสม เพราะเราต้องการผู้นำที่มีความรู้ด้านเศรษฐกิจ และเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ ซึ่งเวลานี้มีการใช้ต่างชาติโจมตีที่กองทัพประกาศกฎอัยการศึกเพื่อแก้ไขปัญหาประเทศ การได้คุณอานันท์ จะช่วยทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยดีขึ้น ซึ่งเราก็คาดหวังว่าคุณอานันท์จะยอมรับ”

ส่วนรัฐบาล ถ้าไม่หน้าด้านเวลานี้ต้องลาออกทั้งหมด!

“เป็นต่อไม่ได้แล้ว อำนาจก็ไม่มีอีกต่อไปแล้ว ต้องลาออก ถ้าไม่ลาออกก็หน้าด้าน แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ พ.ต.ท.ทักษิณคนเดียว จะอยู่หรือไป แต่ถ้าไม่ไปเขาคงหาทางกดดันให้ถึงที่สุด”

แต่เชื่อว่าทักษิณคงไม่ปฏิวัติซ้อน

“คงไม่ปฏิวัติซ้อน เพราะทหารจะประกาศกฎอัยการศึกต้องมีการเช็กกำลังกันเรียบร้อยแล้ว ทหารฝ่ายทักษิณมีกำลังไม่มากเท่ากองทัพที่คุมหน่วยรบอยู่ อยู่ที่ว่าจะเอาตำรวจมาสู้ทหารไหม แต่ดูแล้วคงไม่ให้ตำรวจสู้ทหาร”

อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวทางทหารระบุว่า การที่กองทัพตัดสินใจประกาศกฎอัยการศึกครั้งนี้มีการประเมินกำลังแล้วว่า กลุ่ม นปช.คนเสื้อแดงไม่สามารถปลุกระดมพลได้เท่าปี 2553 จึงเชื่อว่ากำลังทหารสามารถจัดการได้ในทุกๆ พื้นที่ทั่วประเทศ และที่สำคัญเป็นวิธีการกดดันให้ ครม.ลาออก เพื่อให้วุฒิสภาเสนอนายกฯ คนกลางหรือรัฐบาลเฉพาะกิจผ่านช่องทางกองทัพที่ใช้อำนาจตามกฎอัยการศึก เพื่อเร่งปฏิรูปการเมือง หลังจากนั้นก็จัดให้มีการเลือกตั้งต่อไป

“พื้นที่จังหวัดใดที่เป็นพื้นที่เสี่ยงที่กลุ่มเสื้อแดงจะทำการป่วนได้ หากมีการใช้อาวุธ หรือใช้ความรุนแรงในพื้นที่ก็ให้ตำรวจจัดการก่อน และบางพื้นที่ที่มีหัวโจกหรือพวกฮาร์ดคอร์ ก็ให้ทหารเป็นผู้ไล่ล่าหัวโจกต่อไป”

แหล่งข่าวทางทหารบอกอีกว่า กระบวนการที่จัดเตรียมไว้ทั้งหมด หากรักษาการรัฐบาลยอมจำนนก็จะไม่เกิดความรุนแรง ดังนั้นทุกสถานการณ์จากนี้ไปจะเกิดเหตุรุนแรงหรือไม่จึงอยู่ที่รักษาการรัฐบาลหรือพรรคเพื่อไทย ว่าจะยอมจำนนหรือไม่เป็นหลัก แต่ยืนยันเป้าหมายหลักก็เพื่อแก้วิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้น และคืนความสงบสุขให้ประชาชนต่อไป!

กำลังโหลดความคิดเห็น