โค้งสุดท้ายสถานการณ์การเมืองยังหาจุดลงตัวไม่เจอ นายกฯ คนกลางไม่เกิด เพราะทั้ง 2 ฝ่ายเจรจาไม่ลงตัว “ทักษิณ” ยื้ออำนาจสุดตัว ยืนยันต้องเลือกตั้ง พร้อมส่ง “พงศ์เทพ เทพกาญจนา” เป็นนายกฯ ร่างทรงตระกูลชินวัตร ให้ยิ่งลักษณ์เว้นวรรคการเมือง 1 ปี ดีกว่าทหารยึดอำนาจ ขณะที่ฝ่าย กปปส.ชี้ชัด ทักษิณไม่มีสิทธิเลือก จุดจบยิ่งลักษณ์คือติดคุก ยึดทรัพย์ และออกนอกประเทศเท่านั้น!
สถานการณ์การเมืองในเวลานี้เรียกได้ว่าถึงจุดที่ฝ่ายหนึ่ง “สู้ไม่ถอย”
อีกฝ่ายหนึ่งก็ตอบโต้ด้วยการ “ไม่ยอมนอนรอความตาย” เพราะไม่เช่นนั้น นางสาวยิ่งลักษณ์ จะมีชะตากรรมเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ คือมีคดีติดตัวและต้องระหกระเหินไปอยู่ต่างประเทศเช่นกัน
29 มีนาคม 2557 คือวันที่นายสุเทพออกนำทัพต่อต้านระบอบทักษิณครั้งใหญ่เป็นครั้งที่ 5 เพื่อยืนยันว่า การเมืองไทยถึงเวลาต้องปฏิรูป และต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง
ขณะที่ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ยังยืนกรานว่า เลือกตั้งคือคำตอบสุดท้ายเท่านั้น
แม้ที่ผ่านมาจะมีกระแสการเจรจาผ่านตัวแทนของคนทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อหาจุดที่ลงตัวร่วมกัน หรือถอยคนละก้าว
จนมีกระแสว่าจุดของการเจรจามาถึงเรื่องของการหารือ “นายกฯ คนกลาง” แล้ว แต่ยังไม่ลงตัว
เพราะชื่อที่ฝ่ายนายสุเทพเสนอ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ซื้อ!
เป็นเหตุให้ที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์สำคัญ 2 ประการ
หนึ่งคือเหตุการณ์ที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการกลุ่ม นปช. ได้เปิดรายชื่อนายกฯ คนกลาง แล้วระบุว่าเป็นของฝ่าย กปปส.ที่เตรียมไว้ ได้แก่ นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี, ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีต รมว.คลัง, นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีต รมว.คลัง, นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีต รมว.การต่างประเทศ, นายอาสา สารสิน อดีตราชเลขาธิการ, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ทบ., นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี, นายวิกรม กรมดิษฐ์ นักธุรกิจชื่อดัง, และ “บิ๊กตู่” หรือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.เอง
อีกหนึ่งประการคือเหตุการณ์ที่นายสุเทพ เอามาพูดบนเวทีลุมพินีว่า พ.ต.ท.ทักษิณส่งสัญญาณมาว่าคนตระกูลชินวัตรจะเว้นวรรคทางการเมือง 1 ปี อันเป็นเหตุให้หลังจากนั้นขุนพลอยพยักของ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาปฏิเสธข่าวเป็นพัลวันพันตูว่าไม่จริ๊งไม่จริง
ดังนั้น ก็ชัดว่าอะไรต่อมิอะไรยังไม่ได้ดั่งใจ พ.ต.ท.ทักษิณ และ พ.ต.ท.ทักษิณผู้ซึ่งมีนิสัยไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ก็ยังคงเลือกที่จะต่อสู้ทางการเมืองต่อไป
ล่าสุดที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ออกมาตอบโต้ ป.ป.ช.ในคดีจำนำข้าว ก็เป็นที่ชัดว่าจะสู้ สู้ด้วยการตอบโต้และทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กรอิสระต่างๆ และท้ายที่สุดก็มีแนวโน้มที่จะใช้ตัวองค์กรอย่างพรรคเพื่อไทยออกมาแถลงข่าวไม่ยอมรับอำนาจ ป.ป.ช. เหมือนที่ทำมาแล้วหลายครั้งกับองค์กรศาลรัฐธรรมนูญ โดยไม่สนใจว่าแท้จริงแล้วตัวเองนั่นแหละที่เป็นคนทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะคดีทุจริตจำนำข้าวที่หลักฐานก็มีอยู่เต็มๆ
การต่อสู้ในการทำลายความน่าเชื่อถือของศาล และองค์กรอิสระ ยังเป็นทางเดินสำคัญของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ขณะนี้ก็ชัดเจนแล้วว่ามีคำสั่งพิเศษตรงมาถึงนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.คนใหม่ที่ระบุว่าวันที่ 5 เม.ย. 57 เป็นวันดีเดย์ที่ นปช.จะเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เพื่อต่อต้านองค์กรอิสระ
เส้นทางการต่อสู้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ คือมุ่งไปที่ศาลและองค์กรอิสระ โดยใช้กลุ่ม นปช.เป็นตัวขับเคลื่อนหลักเหมือนเดิม รวมทั้งมีการเตรียมพร้อมกองกำลังเพื่อออกมาต่อต้านการทำรัฐประหารของทหารด้วย
ศาล องค์กรอิสระ และทหาร คือสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณยังใช้เป็นตัวหลักในการอ้างต่อมวลชนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม 2 มาตรฐาน และถูกรังแก และนำไปเป็นเรื่องขับเคลื่อนมวลชนให้ออกมาต่อสู้แทนคนในตระกูลชินวัตร
อย่าแปลกใจที่จะมีระเบิดตูมตามไปตามบ้านของคนสำคัญๆ โดยเฉพาะในระบบยุติธรรมที่เกี่ยวข้องกับคดีของคนในตระกูลชินวัตร มีอยู่เสมอเพื่อข่มขู่ทั้งในทางลับ และทางแจ้ง
ขณะเดียวกัน การต่อรองของฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณวันนี้ในทางการเมืองก็ชัดเจนยิ่ง
ชัดเจนว่าจะไม่ยอมนายสุเทพทั้งหมด แต่ตัวเองต้องมีสิทธิเลือก และทางที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องการนั้นคือ ต้องให้มีการเลือกตั้ง นายกฯ ต้องมาจาก ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญ
ต้องมีการเลือกตั้ง และนายกฯ ต้องมาจาก ส.ส.
นายไพจิต ศรีวรขาน อดีต ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย แกนนำกลุ่มอีสานพัฒนา เขาคือผู้หนึ่งที่ได้รับคำสั่ง “สายตรง” จาก พ.ต.ท.ทักษิณ บ่อยครั้ง แม้กระทั่งคำสำคัญที่สั่งตรงมาว่า “จะไม่ยอมนอนรอความตาย” ดังนั้นคือจะต้อง “สู้”
นายไพจิตเปิดเผยว่า เรื่องนายกฯ คนกลางยากที่จะเกิด เพราะจุดที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องการ กับกลุ่มของ กปปส.ต้องการ เป็นคนละจุดกันอย่างสิ้นเชิง
ชื่อนายกฯ คนกลางที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เอามาเปิดเผยวันก่อน ก็เป็น “ชื่อ” ที่ฝ่ายของพรรคเพื่อไทยไม่เอา
“พรรคมีจุดยืนที่จะไม่เอานายกฯ ที่อีกฝ่ายต้องการชงขึ้นมา ตามมาตรา 7 ไม่เอาเลย นายกฯ คนกลางไม่เอา จะเอาแต่การเลือกตั้ง แล้วถ้าประชาธิปัตย์ลงสมัครเลือกตั้ง ใครได้คะแนนเสียงเท่าไร ค่อยมาเจรจาหานายกฯ กัน หลักการของพรรคเพื่อไทยคือจะเอานายกฯ ที่มาจากรัฐธรรมนูญ คือต้องเป็น ส.ส.ไม่เอานายกฯ ที่มาจากวิธีพิเศษทั้งสิ้น”
ถ้าประชาธิปัตย์จะเจรจาต้องเจรจาหลังการเลือกตั้งเกิดขึ้นแล้วเท่านั้น!
แล้วถ้าจะมีนายกฯ คนกลางเกิดได้ นายไพจิตกล่าวว่า มีกรณีเดียวเท่านั้นคือ มีการยึดอำนาจนอกระบอบประชาธิปไตย
ถ้าไม่มีการยึดอำนาจ ฝ่ายพรรคเพื่อไทยยืนยันว่าจะต้องมีการเลือกตั้ง และคนที่จะมาเป็นนายกฯ ต้องมาจาก ส.ส.
“พงศ์เทพ”ร่างทรงนายกฯ ตระกูลชิน?
ดังนั้นสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องการก็คือให้มีการเลือกตั้ง และยืนยันว่า หากมีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยก็ยินดีที่จะให้นางสาวยิ่งลักษณ์เว้นวรรคไม่ลงสมัครในสมัยนี้ และไม่เป็นเบอร์ 1 ของพรรคไทยรักไทย
ส่วนคนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ วางไว้ให้เป็นเบอร์ 1 ก็คือ “นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา” และนายพงศ์เทพเท่านั้นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการให้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แทนคนในตระกูลชินวัตร
วิธีการให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เว้นวรรคทางการเมืองครั้งนี้ ถือเป็นการถอยคนละก้าวกับกลุ่ม กปปส. จะได้เป็นการลดความหวาดระแวงว่าตระกูลชินวัตรจะยึดครองประเทศ และเป็นการต่อสู้ของ 2 พรรคใหญ่จริงๆ ระหว่างพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์
“เป็นการถอยที่จะไม่ให้คนในตระกูลชินวัตรก้าวขึ้นสู่อำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 1 ปี
แต่จะส่งคนที่ไว้ใจได้ขึ้นมาแทน คือนายพงศ์เทพ”
โดยนายไพจิตระบุว่า นายพงศ์เทพเป็นคนหนึ่งที่มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับการขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนคนในตระกูลชินวัตรมากที่สุดในเวลานี้ ด้วยเหตุผลที่นายพงศ์เทพมีจุดเด่น ทั้งลักษณะส่วนตัว และจุดเด่นเรื่องงาน
ตามลักษณะส่วนตัว นายพงศ์เทพเป็นคนใจเย็น สุขุม การเจรจากับฝ่ายการเมืองต่างๆ ที่ผ่านมาสามารถทำได้ดี ราบรื่น และมักประสบผลสำเร็จ
ส่วนจุดเด่นเรื่องงาน นายพงศ์เทพเป็นนักกฎหมายซึ่งมีความเก่งกาจในเรื่องกฎหมายของประเทศคนหนึ่ง ตลอดเวลาที่ผ่านมาได้ทำงานกับพรรคเพื่อไทยมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเรื่องกฎหมายต่างๆ ที่เกิดขึ้น รวมทั้งเสนอกฎหมายที่สำคัญๆ หลายประการ
ที่สำคัญคือ การโต้ตอบทางการเมืองไม่เคยอยู่ในจุดที่เพลี่ยงพล้ำเลยสักครั้ง รวมถึงไม่เคยทิ้งพรรคเพื่อไทยเลยตลอดเวลาตั้งแต่พรรคไทยรักไทย มาจนถึงวันนี้
ดังนั้น นายพงศ์เทพจึงเป็นคนสำคัญคนหนึ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณไว้ใจที่สุด!
“คุณทักษิณมองหาคน คนที่เก่งที่มาช่วยพรรคเพื่อไทยตั้งแต่แรก ดูว่ามีใครบ้างในชุดนั้น ชุดที่มีดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เข้ามาทำงาน ก็พบว่ามีคุณพงศ์เทพที่ไว้ใจมากคนหนึ่ง”
อย่างไรก็ดี การเลือกนายพงศ์เทพ ก็เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ เชื่อมั่นว่า การใช้นายพงศ์เทพเป็นร่างทรงคนตระกูลชินวัตร จะทำให้อำนาจของตระกูลชินวัตรยังคงอยู่ และเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง เพราะเชื่อว่าการเลือกตั้งยังจะนำไปสู่ชัยชนะของพรรคเพื่อไทยได้อยู่ โดยเฉพาะพื้นที่อีสานและเหนือที่ยังเหนียวแน่น
นี่คือการถอยของทักษิณ!และเป็นการถอยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยจะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งแน่นอน
แต่สถานการณ์การต่อสู้ทางการเมืองของคู่ขัดแย้งระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคเพื่อไทย กับ กลุ่ม กปปส.ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นแกนนำ ในขณะนี้ใช่ว่าจะสามารถเดินไปตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องการคือให้มีการเลือกตั้ง และผลักดันนายพงศ์เทพขึ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ง่ายๆ ดังสมใจนึก เพราะกลุ่ม กปปส.ก็มียุทธวิธีที่จะต้องขับไล่ตระกูลชินวัตรให้พ้นวังวนการเมืองในขณะนี้เช่นกัน
มีแค่นายกฯ เฉพาะกาลไม่มีคนกลาง
โดยเฉพาะกลุ่มมวลมหาประชาชนที่ร่วมต่อสู้กับนายสุเทพร่วม 5 เดือน เชื่อว่าวันนี้ตระกูลชินวัตร ไม่มีสิทธิ์เลือกที่จะกำหนดชะตาบ้านเมืองแล้ว
“ที่จริงต้องเปลี่ยน ไม่ต้องเรียกว่านายกฯ คนกลาง ต้องเรียกว่านายกฯ เฉพาะกาล เพราะคำว่านายกฯ คนกลางคือแปลว่าคุณทักษิณต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการเลือก แต่คุณทักษิณหรือคุณยิ่งลักษณ์ไม่ได้มาอยู่ในสถานการณ์ที่จะมีสิทธิเลือก เพราะไม่มีความหมาย มาพูดตอนจะจบแล้ว ไม่มีประโยชน์ เพราะตัวเองมีความผิดต่อบ้านเมืองมากมาย จะมาเลือกอะไรอีก และไม่ใช่จะเว้นวรรคการเมืองแค่ 1 ปี แต่ต้องตลอดไป” นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา กล่าว
ดังนั้นเวลานี้ คือเวลาของการหารัฐบาลเฉพาะกาล และเลือกนายกฯ เฉพาะกาลขึ้นมา
เช่นเดียวกับ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ที่มองว่าต้องมีรัฐบาลเฉพาะกาลก่อน แล้วถึงจะมีนายกฯ เฉพาะกาลขึ้นมาได้ และไม่ควรเรียกว่านายกฯ คนกลาง เพราะนายกฯ ที่จะมา จะมาโดยประชาชน และจะมาเป็นรัฐบาลคั่นกลาง รอให้ปฏิรูปประเทศเสร็จ แล้วจึงมีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย
เมื่ออีกฝ่ายก็ไม่ยอม ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณก็ไม่มีสิทธิเลือก ตอนนี้ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ จึงต้องดันให้นางสาวยิ่งลักษณ์สู้ และก็สู้ เพราะถ้าไม่สู้ นางสาวยิ่งลักษณ์จะมีจุดจบแบบ พ.ต.ท.ทักษิณ คือติดคดีความทุจริต ถูกยึดทรัพย์และต้องหนีออกไปอยู่ต่างประเทศ
นายไพจิตเชื่อว่า หาก กปปส.ยืนยันที่จะมีนายกฯ ตามมาตรา 7 ก็เชื่อว่าสุดท้ายแล้วทหารจะออกมาทำรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง เพราะเป็นทางเดียวที่จะนำไปสู่นายกฯ ตามมาตรา 7
ขณะที่ฝ่าย กปปส.ยังเดินหน้าเอาผิดนางสาวยิ่งลักษณ์ด้วยกฎหมาย
จุดจบ “ยิ่งลักษณ์” คือติดคุก
นายไพบูลย์กล่าวว่า นายกฯ คนกลางจะมีได้ต่อเมื่อนางสาวยิ่งลักษณ์สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 182
โดยจะมี 2 เหตุผลสำคัญ
1. เมื่อ ป.ป.ช.ชี้มูลทุจริตจำนำข้าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ เรื่องนี้จะมาที่วุฒิสภา เพื่อถอดถอนนางสาวยิ่งลักษณ์ด้วยเสียง 3 ใน 5 ของวุฒิสภา ตามมาตรา 182 อนุมาตรา 8
“แต่กรณีนี้อาจไม่สำเร็จ เพราะต้องใช้คะแนนเสียง ส.ว. 90 เสียง แน่ใจได้เลยว่ามีไม่พอ เพราะที่ผ่านมาก็ไม่ค่อยถึง”
2.เมื่อศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้นางสาวยิ่งลักษณ์มีการกระทำต้องห้ามตามมาตรา 268 เป็นเหตุให้นายกฯ สิ้นสุดตามมาตรา 182 อนุมาตรา 7
“กรณีนี้มีความเป็นไปได้มากกว่า และรวดเร็ว โดยวันที่ 2 เมษายน เป็นวันที่ศาลตัดสินว่าจะรับหรือไม่รับเรื่องนี้ไว้ในการพิจารณา ซึ่งหลักฐานใหญ่จะเป็นการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด จึงจะมีการพิจารณาไม่มาก”
กล่าวคือ เมื่อศาลรับเรื่องไว้พิจารณาแล้ว คาดว่าศาลจะเปิดโอกาสให้นางสาวยิ่งลักษณ์เข้าชี้แจงภายใน 7 หรือ 10 วัน แล้วอีก 1 สัปดาห์ ศาลสามารถนัดประชุมลงมติได้เลย
เมื่อนั้นนายกฯ ยิ่งลักษณ์ก็ต้องออกจากตำแหน่ง ซึ่งรัฐธรรมนูญมีข้อบังคับ ให้มีการดำเนินการโดยอนุโลมให้นายกฯ คนใหม่มารักษาการ
อย่างไรก็ดี เชื่อว่าท้ายที่สุดแล้ว คนที่จะมาเป็นนายกฯ เฉพาะกาลนี้ ย่อมไม่ใช่คนของ พ.ต.ท.ทักษิณ
เพราะเกมนี้ นางสาวยิ่งลักษณ์จะมีจุดจบเหมือน พ.ต.ท.ทักษิณ คือมีคดีความติดตัว และต้องติดคุก
“ยิ่งลักษณ์กับทักษิณ ไม่ใช่ว่า 2 คนนี้มีอะไรเหมือนกันนะ คือยิ่งลักษณ์ยังไงก็เป็นแค่ตัวแทน สิ่งที่ทำทั้งหมดทำตามคำสั่งของทักษิณ ดังนั้นข้อผิดพลาดของทักษิณคือบริหารประเทศโดยคิดว่าประเทศเป็นสินทรัพย์ บริหารทุกอย่างเหมือนเป็นบริษัท ข้าราชการเป็นลูกจ้าง จะไล่ใครก็ไล่ เหมือนลูกน้อง ทุกคนต้องทำตามสั่งทุกอย่าง ประชาชนแค่ลูกค้าที่หลอกลวงได้ ไม่ได้เห็นบ้านเมืองเป็นส่วนรวม เมื่อลงทุนแล้วมีสิทธิจะได้ คือคิดว่ามีความชอบธรรมที่จะทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง แต่บ้านเมืองไม่ใช่อย่างนั้น คนเป็นนายกฯ ต้องทำเพื่อส่วนรวม” แก้วสรร อติโพธิ ส.ว.กทม.กล่าว
ดังนั้นสิ่งที่จะเกิดตามมาสำหรับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คือติดคดีทุจริต ยึดทรัพย์เข้าแผ่นดิน และขับไล่นางสาวยิ่งลักษณ์ออกนอกประเทศ!
สิ่งนี้คือสิ่งที่นายสุเทพพูดตั้งแต่ต้น หากยิ่งลักษณ์ยังดื้อแพ่ง ไม่ยอมวางมือ ก็จะพบจุดจบเฉกเช่นพี่ชาย ซึ่งวันนี้นายสุเทพก็ยังคงยืนยันคำเดิม...
ถึงวันนี้ทางออกของการเมืองไทยจะออกมาในรูปแบบใด จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจโดยเฉพาะช่วงโค้งสุดท้ายของการตัดสินในกระบวนการยุติธรรมนี้
สำหรับพรรคเพื่อไทยแล้ว นายไพจิตยังเชื่อว่าสุดท้ายแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณจะยอมถอย แต่ กปปส.ก็ต้องยอมถอยด้วยเช่นกัน ไม่เช่นนั้นคงไม่จบ...
และหนีไม่พ้น “ทหาร” จะต้องเข้ามาปิดเกมของคู่ขัดแย้งครั้งนี้!