การเมืองเริ่มฉุดเศรษฐกิจ จนแบงก์ชาติต้องลดดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 2% ประคองสถานการณ์ ด้าน “ระเฑียร” รับการเมืองกระทบการใช้จ่าย หากจบได้เร็วกำลังซื้อดีดกลับ เตรียมความพร้อมรองรับ ตั้งสำรองหนี้ไว้ 12 เดือน พร้อมอัดโปรโมชันกระตุ้นการบริโภค ตั้งเป้าขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในอีก 5 ปี
ตัวเลขการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตและยอดสินเชื่อบุคคล ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือชี้วัดเศรษฐกิจของประเทศได้ระดับหนึ่งว่า ทิศทางจะเป็นอย่างไร ตัวเลขหนี้ค้างชำระและหนี้ค้างชำระเกิน 3 เดือน หรือยอดเบิกถอนเงินสด นับเป็นตัวบ่งบอกถึงสภาพเศรษฐกิจในรายบุคคล
ด้วยปัญหาทางการเมืองของไทยที่ยืดเยื้อเกินกว่า 4 เดือนแล้วยังไม่สามารถหาทางยุติลงได้ ย่อมส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจทุกภาคส่วน รวมไปถึงความมั่นใจในการใช้จ่ายของภาคประชาชน ที่กังวลต่อสถานการณ์ดังกล่าว ย่อมทำให้การจับจ่ายใช้สอยของผู้คนลดลงจากเดิม
ขณะที่การคาดการณ์เศรษฐกิจปี 2557 ที่คาดว่าจะเติบโตได้เพียง 3% นั้น ก็มีแนวโน้มว่าอาจต้องมีการปรับลดประมาณการลงอีกหากสถานการณ์ทางการเมืองยังยืดเยื้อต่อไปอีกหลายเดือน ความกังวลเรื่องผลกระทบต่อสถานการณ์ทางการเมืองที่มีผลต่อสภาพเศรษฐกิจของประเทศ สะท้อนออกมาจากการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อ 12 มีนาคม 2557 โดยให้เหตุผลว่า
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2556 และเดือนมกราคม 2557 ชะลอลงตามอุปสงค์ในประเทศที่หดตัว โดยการใช้จ่ายภาคเอกชนได้รับผลกระทบจากความเชื่อมั่นที่ลดลง ขณะที่การท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเมืองมากขึ้น ในระยะต่อไป ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน จึงปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ลงมาเหลือ 2%
จบเร็วกำลังซื้อดีดกลับ
นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC กล่าวถึงสถานการณ์ของภาคธุรกิจขณะนี้ว่า ถ้าสภาพการเมืองยังยืดเยื้ออยู่อย่างนี้ไม่แน่ใจว่าภาคธุรกิจอื่นเป็นอย่างไร แต่ถ้าดูของเรา หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ของเรายังยันอยู่ ช่วงที่ผ่านมาเราดีขึ้นด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม ตัวเลขสุทธิก็ดีขึ้น ฉะนั้นเรายังยันอยู่ได้เรื่อยๆ
“ผมว่าถ้าความรุนแรงไม่รุนแรงมากขึ้นถึงระดับสงครามกลางเมืองน่าจะโอเค แต่ถ้ารุนแรงถึงระดับนั้น ผมบอกไม่ได้ ผมพยากรณ์ไม่ได้”
แต่ถ้าปัญหานี้จบภายในเดือนมีนาคม ตัวเลขเราดีขึ้นเยอะ เพราะเราลงเรื่องการตลาดอยู่แล้ว ถ้าทุกอย่างจบตัวเลขเราจะทะยานได้ เป็นไปตามเป้าหมายที่เราตั้งไว้ แต่ถ้าเกินครึ่งปีสงสัยต้องปรับประมาณการ คือ เดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ธุรกิจเราไม่โต แต่เราก็ยังเชื่อว่า ถ้าเราโตเมื่อไหร่จะครอบคลุมของที่เราไม่โตได้ในเดือนมกรา กุมภา แต่ถ้าลากยาว แน่นอนว่าจะไปไล่ให้ทันตามเป้าหมายคงไม่ง่าย
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KTC กล่าวต่อว่า ในการชุมนุมทางการเมืองนั้นย่อมส่งผลต่อจิตวิทยาทำให้ผู้คนใช้จ่ายน้อยลง ซึ่งเป็นไปตามหลักเศรษฐศาสตร์ ถ้าคนเราประเมินว่าเศรษฐกิจจะไม่ดีหรือแย่ลง เขาก็ต้องระมัดระวังการใช้จ่าย ดังนั้นเขาจึงใช้จ่ายน้อยลง ธุรกิจบัตรเครดิตของเราแค่ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตไม่ลดลงหรือลดลงนิดหน่อย แม้จะไม่เป็นไปตามเป้าที่ต้องการ แต่ก็ไม่ได้ถือว่าแย่มาก
ถ้าทุกอย่างจบได้เร็ว ในเดือนแรกหลังสถานการณ์จบลงกำลังซื้อก็จะกลับคืนมาเพื่อชดเชยช่วงก่อนหน้านั้น ถือเป็นเรื่องปกติ แต่กำลังซื้อจะกลับมาและไปได้ต่อเนื่องแค่ไหนขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในขณะนั้น
ดังนั้นการเตรียมการรองรับกับปัญหาที่เกิดขึ้น ได้เตรียมเรื่องโปรโมชันต่างๆ เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย และต้องพิจารณาแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะยาวว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งในส่วนของเศรษฐกิจโลกนั้น ตอนนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ดีขึ้น ยุโรปเองก็ดี แม้กระทั่งจีนที่บอกว่าโต 7% ถือว่าไม่ได้เลวร้ายอะไร ดีกว่าประเทศอื่นๆ อยู่มาก สำหรับประเทศไทยนั้นถ้าจบได้เร็วเศรษฐกิจจะโตได้มากกว่า 3% แต่ถ้าลากไป 3% ก็อาจจะเหนื่อย
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2556 บริษัทมีกำไร 1,282,63 ล้านบาท เป็นไปตามวัตถุประสงค์ แต่ที่ยังไม่ประสบความสำเร็จคือการเติบโตของบัตรต่ำกว่าอุตสาหกรรมเฉลี่ย ดังนั้นกลยุทธ์ในปีนี้ จึงตั้งเป้าที่จะเพิ่มบัตรเครดิตอีก 4 แสนบัตรจากเดิมที่เรามีอยู่ราว 1.5-1.6 ล้านบัตร ส่วนสินเชื่อบุคคลตั้งเป้าเติบโตอีก 1.3 แสนล้านบาท พร้อมทั้งมีกลยุทธ์กระตุ้นการใช้จ่ายเพิ่ม
ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาบริษัทขาดทุนพันกว่าล้านบาท ปีนี้เราตั้งเป้ากำไรไว้ที่ 1,300 ล้านบาท โดยจะนำเอาความผิดพลาดในอดีตมาปรับปรุงการทำงาน เดิมในระบบการตลาดเราไม่มีกระบวนการตรวจสอบคุณภาพในการทำงาน จากนี้ไปจะมีมากขึ้น
ทั้งนี้เพื่อเป้าหมายขึ้นเป็นอันดับ 1 ในอีก 5 ปีข้างหน้า ด้วยสินทรัพย์ 1 แสนล้านบาท ซึ่งต้องกระทำทั้งการเพิ่มจำนวนบัตรและกลยุทธ์ที่มากระตุ้นการใช้จ่าย
คลุมหนี้สูญได้ทั้งปี
นายชุติเดช ชยุติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส Corporate Finance บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด กล่าวถึงการเพิ่มทุนของบริษัทว่า บริษัทยังไม่มีแผนที่จะเพิ่มทุน เราไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องเพิ่มทุน หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของบัตรเครดิตและสินเชื่อเราต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม หนี้สูญตามได้กว่า 20% และการกันสำรองของบริษัทแข็งแรง ครอบคลุมการตัดหนี้สูญได้ตลอดทั้งปี ขณะที่คู่แข่งตั้งสำรองเพียง 3 เดือน
บริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุนที่ 7.5 เท่า ถ้าเราทำกำไรได้ 1.3 พันล้านบาท จ่ายเงินปันผล 40% ก็ยังมีอีก 700 กว่าล้านบาท และกำไรสะสมที่ยังค้างอยู่กับส่วนของทุนที่ยังไม่ได้ใช้ ในทุกๆ ปี ซึ่งกำไรในส่วนนี้จะทำให้สินเชื่อโตได้กว่า 1 หมื่นล้านบาท
นายปิยศักดิ์ เตชะเสน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส Products & Distribution กล่าวว่า การบริหารบัตร 1.5-1.6 ล้านบัตร ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก เป้าหมายการเพิ่มจำนวนบัตรเครดิตปีนี้เป้า 4 แสนบัตร สินเชื่อ 8 พันล้านบาท เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาเราร่วมมือกับธนาคารกรุงไทยในการออกผลิตภัณฑ์ร่วมกัน ในปีนี้ก็เช่นกัน จะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาโดยมี KTC เป็นส่วนเสริม
“ที่ผ่านมาธุรกิจร้านค้าไม่ได้ทำเชิงรุก ดังนั้นร้านค้าเป็นจุดหนึ่งที่ต้องแก้ไขเรื่องการทำตลาด เพื่อทำให้ลูกค้า KTC รู้สึกพิเศษกับการใช้บัตร”
นางสาวสุดาพร จันทร์วัฒนากุล. รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Personal Loans Business กล่าวว่า เป้าหมายปีนี้ของสินเชื่อบุคคลคือ 1.33 แสนล้านบาท โดยเราจะมีการปรับปรุงการให้บริการ จากเดิมลูกค้าให้ได้รับเงินจาก T+2 มาเป็นการรับเงินในวันเดียวกัน นอกจากนี้ยังเปิดให้มีการชำระผ่านระบบออนไลน์และมีโปรโมชันทางการตลาดเข้ามาเสริม พร้อมทั้งกิจกรรมที่สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าควบคู่กันไป
จับลูกค้ากลาง-บน
นางพิทยา วรปัญญาสกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Synergy Business กล่าวว่า ปีที่แล้วเรามีกิจกรรมส่งเสริมการตลาด 600-700 โปรแกรม ปีนี้ก็จะไม่น้อยกว่าปีที่ผ่านมา โดยร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ ทั้งเรื่องการรับประทานอาหารหรือการชอปปิ้ง เราอยากเป็นที่ 1 ทั้งจำนวนบัตรและการใช้จ่ายผ่านบัตร
สำหรับฐานลูกค้าของเราที่ 1.5 ล้านบัตรนั้น ลูกค้า 80% มีฐานรายได้ตั้งแต่ 1.5-8 หมื่นบาท ลูกค้ากลุ่มนี้แข็งแรงมาก สิ่งที่สรรหาโปรโมชันให้กับลูกค้าจะเจาะลงไปในแต่ละกลุ่ม และในปี 2557 เราให้ความสำคัญลูกค้าระดับกลางถึงบนมากขึ้น และยังให้ความสำคัญกับกลุ่มที่เริ่มต้นในการทำงานเพื่อสร้างฐานในอนาคต
เรายังให้ความสำคัญกับกลุ่มที่ชอบรับประทานอาหาร กลุ่มที่ชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยวเช่นเดิม ร่วมกับจุดแข็งของเราในเรื่องการสะสมแต้ม และจะทำกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า โดยดูที่ตัวลูกค้าและสื่อที่จะเข้าถึงตัวพร้อมทั้งการวัดผลว่าสื่อที่ส่งไปแล้วได้ผลเป็นอย่างไร
สำหรับเป้าหมายที่ KTC จะขึ้นไปสู่อันดับ 1 นั้น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KTC กล่าวเสริมว่า การจะเป็นที่ 1 บัตรจะต้องโตมากกว่า 1 เท่าตัว มีกำไรมากกว่า 20-30% เชื่อว่าแต่ละค่ายคงไม่มีใครอยู่นิ่ง แต่ปีนี้เรามีความพร้อมและศักยภาพมากขึ้น มีงบประมาณ 2 พันล้านมาทำโปรโมชันให้กับลูกค้า
ช่วง 2 เดือนแรกของปี 2557 เรายังเสมอตัว ไม่ติดลบแต่ก็โตไม่ถึง 1% เป็นผลจากสภาพการเมืองที่ยืดเยื้อ ปีนี้คงโตไม่มากนัก ปีที่ผ่านมาสินทรัพย์ของบริษัทอยู่ที่ 5.1 หมื่นล้านบาท เราไม่ตั้งใจที่จะซื้อพอร์ตของรายอื่น แต่ถ้ามีคนขายก็คงไม่ได้บอกว่าจะไม่ซื้อ ซึ่งตลาดบัตรเครดิตนั้นยังมีโอกาสเติบโตได้อีก และการใช้บัตรเมื่อเทียบเท่าเงินสด สำหรับประเทศไทยแล้วยังมีอัตราน้อยกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว
ตัวเลขการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตและยอดสินเชื่อบุคคล ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือชี้วัดเศรษฐกิจของประเทศได้ระดับหนึ่งว่า ทิศทางจะเป็นอย่างไร ตัวเลขหนี้ค้างชำระและหนี้ค้างชำระเกิน 3 เดือน หรือยอดเบิกถอนเงินสด นับเป็นตัวบ่งบอกถึงสภาพเศรษฐกิจในรายบุคคล
ด้วยปัญหาทางการเมืองของไทยที่ยืดเยื้อเกินกว่า 4 เดือนแล้วยังไม่สามารถหาทางยุติลงได้ ย่อมส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจทุกภาคส่วน รวมไปถึงความมั่นใจในการใช้จ่ายของภาคประชาชน ที่กังวลต่อสถานการณ์ดังกล่าว ย่อมทำให้การจับจ่ายใช้สอยของผู้คนลดลงจากเดิม
ขณะที่การคาดการณ์เศรษฐกิจปี 2557 ที่คาดว่าจะเติบโตได้เพียง 3% นั้น ก็มีแนวโน้มว่าอาจต้องมีการปรับลดประมาณการลงอีกหากสถานการณ์ทางการเมืองยังยืดเยื้อต่อไปอีกหลายเดือน ความกังวลเรื่องผลกระทบต่อสถานการณ์ทางการเมืองที่มีผลต่อสภาพเศรษฐกิจของประเทศ สะท้อนออกมาจากการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อ 12 มีนาคม 2557 โดยให้เหตุผลว่า
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2556 และเดือนมกราคม 2557 ชะลอลงตามอุปสงค์ในประเทศที่หดตัว โดยการใช้จ่ายภาคเอกชนได้รับผลกระทบจากความเชื่อมั่นที่ลดลง ขณะที่การท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเมืองมากขึ้น ในระยะต่อไป ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน จึงปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ลงมาเหลือ 2%
จบเร็วกำลังซื้อดีดกลับ
นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC กล่าวถึงสถานการณ์ของภาคธุรกิจขณะนี้ว่า ถ้าสภาพการเมืองยังยืดเยื้ออยู่อย่างนี้ไม่แน่ใจว่าภาคธุรกิจอื่นเป็นอย่างไร แต่ถ้าดูของเรา หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ของเรายังยันอยู่ ช่วงที่ผ่านมาเราดีขึ้นด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม ตัวเลขสุทธิก็ดีขึ้น ฉะนั้นเรายังยันอยู่ได้เรื่อยๆ
“ผมว่าถ้าความรุนแรงไม่รุนแรงมากขึ้นถึงระดับสงครามกลางเมืองน่าจะโอเค แต่ถ้ารุนแรงถึงระดับนั้น ผมบอกไม่ได้ ผมพยากรณ์ไม่ได้”
แต่ถ้าปัญหานี้จบภายในเดือนมีนาคม ตัวเลขเราดีขึ้นเยอะ เพราะเราลงเรื่องการตลาดอยู่แล้ว ถ้าทุกอย่างจบตัวเลขเราจะทะยานได้ เป็นไปตามเป้าหมายที่เราตั้งไว้ แต่ถ้าเกินครึ่งปีสงสัยต้องปรับประมาณการ คือ เดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ธุรกิจเราไม่โต แต่เราก็ยังเชื่อว่า ถ้าเราโตเมื่อไหร่จะครอบคลุมของที่เราไม่โตได้ในเดือนมกรา กุมภา แต่ถ้าลากยาว แน่นอนว่าจะไปไล่ให้ทันตามเป้าหมายคงไม่ง่าย
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KTC กล่าวต่อว่า ในการชุมนุมทางการเมืองนั้นย่อมส่งผลต่อจิตวิทยาทำให้ผู้คนใช้จ่ายน้อยลง ซึ่งเป็นไปตามหลักเศรษฐศาสตร์ ถ้าคนเราประเมินว่าเศรษฐกิจจะไม่ดีหรือแย่ลง เขาก็ต้องระมัดระวังการใช้จ่าย ดังนั้นเขาจึงใช้จ่ายน้อยลง ธุรกิจบัตรเครดิตของเราแค่ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตไม่ลดลงหรือลดลงนิดหน่อย แม้จะไม่เป็นไปตามเป้าที่ต้องการ แต่ก็ไม่ได้ถือว่าแย่มาก
ถ้าทุกอย่างจบได้เร็ว ในเดือนแรกหลังสถานการณ์จบลงกำลังซื้อก็จะกลับคืนมาเพื่อชดเชยช่วงก่อนหน้านั้น ถือเป็นเรื่องปกติ แต่กำลังซื้อจะกลับมาและไปได้ต่อเนื่องแค่ไหนขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในขณะนั้น
ดังนั้นการเตรียมการรองรับกับปัญหาที่เกิดขึ้น ได้เตรียมเรื่องโปรโมชันต่างๆ เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย และต้องพิจารณาแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะยาวว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งในส่วนของเศรษฐกิจโลกนั้น ตอนนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ดีขึ้น ยุโรปเองก็ดี แม้กระทั่งจีนที่บอกว่าโต 7% ถือว่าไม่ได้เลวร้ายอะไร ดีกว่าประเทศอื่นๆ อยู่มาก สำหรับประเทศไทยนั้นถ้าจบได้เร็วเศรษฐกิจจะโตได้มากกว่า 3% แต่ถ้าลากไป 3% ก็อาจจะเหนื่อย
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2556 บริษัทมีกำไร 1,282,63 ล้านบาท เป็นไปตามวัตถุประสงค์ แต่ที่ยังไม่ประสบความสำเร็จคือการเติบโตของบัตรต่ำกว่าอุตสาหกรรมเฉลี่ย ดังนั้นกลยุทธ์ในปีนี้ จึงตั้งเป้าที่จะเพิ่มบัตรเครดิตอีก 4 แสนบัตรจากเดิมที่เรามีอยู่ราว 1.5-1.6 ล้านบัตร ส่วนสินเชื่อบุคคลตั้งเป้าเติบโตอีก 1.3 แสนล้านบาท พร้อมทั้งมีกลยุทธ์กระตุ้นการใช้จ่ายเพิ่ม
ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาบริษัทขาดทุนพันกว่าล้านบาท ปีนี้เราตั้งเป้ากำไรไว้ที่ 1,300 ล้านบาท โดยจะนำเอาความผิดพลาดในอดีตมาปรับปรุงการทำงาน เดิมในระบบการตลาดเราไม่มีกระบวนการตรวจสอบคุณภาพในการทำงาน จากนี้ไปจะมีมากขึ้น
ทั้งนี้เพื่อเป้าหมายขึ้นเป็นอันดับ 1 ในอีก 5 ปีข้างหน้า ด้วยสินทรัพย์ 1 แสนล้านบาท ซึ่งต้องกระทำทั้งการเพิ่มจำนวนบัตรและกลยุทธ์ที่มากระตุ้นการใช้จ่าย
คลุมหนี้สูญได้ทั้งปี
นายชุติเดช ชยุติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส Corporate Finance บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด กล่าวถึงการเพิ่มทุนของบริษัทว่า บริษัทยังไม่มีแผนที่จะเพิ่มทุน เราไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องเพิ่มทุน หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของบัตรเครดิตและสินเชื่อเราต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม หนี้สูญตามได้กว่า 20% และการกันสำรองของบริษัทแข็งแรง ครอบคลุมการตัดหนี้สูญได้ตลอดทั้งปี ขณะที่คู่แข่งตั้งสำรองเพียง 3 เดือน
บริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุนที่ 7.5 เท่า ถ้าเราทำกำไรได้ 1.3 พันล้านบาท จ่ายเงินปันผล 40% ก็ยังมีอีก 700 กว่าล้านบาท และกำไรสะสมที่ยังค้างอยู่กับส่วนของทุนที่ยังไม่ได้ใช้ ในทุกๆ ปี ซึ่งกำไรในส่วนนี้จะทำให้สินเชื่อโตได้กว่า 1 หมื่นล้านบาท
นายปิยศักดิ์ เตชะเสน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส Products & Distribution กล่าวว่า การบริหารบัตร 1.5-1.6 ล้านบัตร ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก เป้าหมายการเพิ่มจำนวนบัตรเครดิตปีนี้เป้า 4 แสนบัตร สินเชื่อ 8 พันล้านบาท เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาเราร่วมมือกับธนาคารกรุงไทยในการออกผลิตภัณฑ์ร่วมกัน ในปีนี้ก็เช่นกัน จะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาโดยมี KTC เป็นส่วนเสริม
“ที่ผ่านมาธุรกิจร้านค้าไม่ได้ทำเชิงรุก ดังนั้นร้านค้าเป็นจุดหนึ่งที่ต้องแก้ไขเรื่องการทำตลาด เพื่อทำให้ลูกค้า KTC รู้สึกพิเศษกับการใช้บัตร”
นางสาวสุดาพร จันทร์วัฒนากุล. รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Personal Loans Business กล่าวว่า เป้าหมายปีนี้ของสินเชื่อบุคคลคือ 1.33 แสนล้านบาท โดยเราจะมีการปรับปรุงการให้บริการ จากเดิมลูกค้าให้ได้รับเงินจาก T+2 มาเป็นการรับเงินในวันเดียวกัน นอกจากนี้ยังเปิดให้มีการชำระผ่านระบบออนไลน์และมีโปรโมชันทางการตลาดเข้ามาเสริม พร้อมทั้งกิจกรรมที่สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าควบคู่กันไป
จับลูกค้ากลาง-บน
นางพิทยา วรปัญญาสกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Synergy Business กล่าวว่า ปีที่แล้วเรามีกิจกรรมส่งเสริมการตลาด 600-700 โปรแกรม ปีนี้ก็จะไม่น้อยกว่าปีที่ผ่านมา โดยร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ ทั้งเรื่องการรับประทานอาหารหรือการชอปปิ้ง เราอยากเป็นที่ 1 ทั้งจำนวนบัตรและการใช้จ่ายผ่านบัตร
สำหรับฐานลูกค้าของเราที่ 1.5 ล้านบัตรนั้น ลูกค้า 80% มีฐานรายได้ตั้งแต่ 1.5-8 หมื่นบาท ลูกค้ากลุ่มนี้แข็งแรงมาก สิ่งที่สรรหาโปรโมชันให้กับลูกค้าจะเจาะลงไปในแต่ละกลุ่ม และในปี 2557 เราให้ความสำคัญลูกค้าระดับกลางถึงบนมากขึ้น และยังให้ความสำคัญกับกลุ่มที่เริ่มต้นในการทำงานเพื่อสร้างฐานในอนาคต
เรายังให้ความสำคัญกับกลุ่มที่ชอบรับประทานอาหาร กลุ่มที่ชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยวเช่นเดิม ร่วมกับจุดแข็งของเราในเรื่องการสะสมแต้ม และจะทำกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า โดยดูที่ตัวลูกค้าและสื่อที่จะเข้าถึงตัวพร้อมทั้งการวัดผลว่าสื่อที่ส่งไปแล้วได้ผลเป็นอย่างไร
สำหรับเป้าหมายที่ KTC จะขึ้นไปสู่อันดับ 1 นั้น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KTC กล่าวเสริมว่า การจะเป็นที่ 1 บัตรจะต้องโตมากกว่า 1 เท่าตัว มีกำไรมากกว่า 20-30% เชื่อว่าแต่ละค่ายคงไม่มีใครอยู่นิ่ง แต่ปีนี้เรามีความพร้อมและศักยภาพมากขึ้น มีงบประมาณ 2 พันล้านมาทำโปรโมชันให้กับลูกค้า
ช่วง 2 เดือนแรกของปี 2557 เรายังเสมอตัว ไม่ติดลบแต่ก็โตไม่ถึง 1% เป็นผลจากสภาพการเมืองที่ยืดเยื้อ ปีนี้คงโตไม่มากนัก ปีที่ผ่านมาสินทรัพย์ของบริษัทอยู่ที่ 5.1 หมื่นล้านบาท เราไม่ตั้งใจที่จะซื้อพอร์ตของรายอื่น แต่ถ้ามีคนขายก็คงไม่ได้บอกว่าจะไม่ซื้อ ซึ่งตลาดบัตรเครดิตนั้นยังมีโอกาสเติบโตได้อีก และการใช้บัตรเมื่อเทียบเท่าเงินสด สำหรับประเทศไทยแล้วยังมีอัตราน้อยกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว