xs
xsm
sm
md
lg

“ปูแดง-ตำรวจ” WIN-WIN ออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กองทัพลั่นอยู่ข้างผู้ชุมนุม!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ยิ่งลักษณ์” ออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ให้อำนาจตำรวจเด็ดแกนนำไม่ผิดกฎหมาย-ข่มขู่ประชาชนไม่ให้เข้าร่วม กปปส.ชี้ 3 เหล่าทัพ เป็นเอกภาพ เลือกยืนข้าง กปปส. ล้มอำนาจรัฐโดยไม่ต้องให้ทหารทำรัฐประหาร ขณะที่รัฐบาลหืดจับ ออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินอาจผิดกฎหมายเลือกตั้ง-กำจัดคู่แข่งไม่ให้หาเสียง เชื่อจะมีคนฟ้องร้องในไม่ช้า เอาผิดผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย-พรรคร่วมยก ครม. เชื่อสุดท้าย กปปส.ชนะ!

การประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑลบางส่วนที่เคยประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2557 เป็นระยะเวลา 60 วัน โดยตั้ง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) และให้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศอ.รส.

นับเป็นเรื่องที่ทำให้การเมืองที่ร้อนอยู่แล้วในช่วงที่ผ่านมามีองศาร้อนมากขึ้นไปอีก

หลังจากมีการปาระเบิดใส่ผู้ชุมนุม 2 จุดคือ บรรทัดทองในวันที่ 17 มกราคม และที่อนุสาวรีย์ชัยฯ 19 มกราคม 2557 จนมีการปูดข้อมูลคนปาระเบิดว่าเป็นคนของกองทัพเรือ เป็นเหตุให้ ผบ.หน่วยซีล กองทัพเรือ พล.ร.ต.วินัย กล่อมอินทร์ ออกมาประกาศชัดว่าไม่ใช่ฝีมือ และไม่ใช่อาวุธกองทัพเรือ หากแต่เป็นกองกำลังต่างชาติชุดเดียวกับกองกำลังก่อความไม่สงบในปี พ.ศ. 2553 และมีตำรวจรู้เห็นแน่

อีกทั้งกลุ่มแพทย์ทั้งหมด 8 สถาบันก็ออกมาเดินขบวนอยู่ฝั่ง กปปส.!

ตรงนี้ทำให้รักษาการรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้จิกซอร์ภาพต่างๆ จนมั่นใจว่ามีการเปิดหน้าไพ่กันแล้วว่า ใครอยู่ฝ่ายใครบ้าง และใครอยู่เบื้องหลังผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส.โดยเฉพาะกลุ่มทหารที่ออกมาช่วย กปปส.

ดังนั้นรักษาการรัฐบาล จึงจำเป็นต้องหาเครื่องมือเพื่อปกป้องเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นฝ่ายเดียวที่ทำงานปกป้องนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในการต่อสู้กับกลุ่มมวลมหาประชาชนที่นำโดย กปปส. จึงเป็นที่มาให้รักษาการรัฐบาลตัดสินใจประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ เพื่อเร่งเพิ่มอำนาจให้ตำรวจ เพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้อาวุธของตำรวจว่าหากเกิดเหตุการณ์รุนแรงจะไม่ผิดกฎหมายอีกต่อไป

“จริงๆ ก็คือตำรวจบีบยิ่งลักษณ์ให้ออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั่นเอง เพราะถ้าไม่ออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตำรวจเขาก็จะไม่เอาด้วย เพราะหากพลาดพลั้งทำอะไรผิด พวกเขาก็จะถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ทั้งที่ทำตามคำสั่งรัฐบาล”

อีกทั้งการออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็เท่ากับเป็นการเปิดทางให้ตัวเองมีเครื่องมือในการใช้ตำรวจ เข้าจัดการคนที่ต่อต้านอำนาจรัฐบาล ที่สำคัญคือความต้องการจัดการกับแกนนำ กปปส.

“เรียกว่า WIN-WIN ทั้งตำรวจและยิ่งลักษณ์”

จะเห็นได้ว่าการเลือกประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินของรัฐบาลคือสัญญาณที่ว่า ต่อจากนี้ไปสถานการณ์ความรุนแรงจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ไม่ใช่เรื่องที่ดีกับรัฐบาลแน่

เรื่องนี้รัฐบาลก็ย่อมรู้ดี แต่ต้องเดินหน้า เป็นการเปิดหน้าไพ่กันทุกฝ่าย ที่ต้องรอดูว่าเกมใหม่ที่รัฐบาลเปิดขึ้นนี้ ใครจะเป็นฝ่ายพ่าย ใครจะเป็นฝ่ายมีชัย และจะมีชัยชนะได้จากปัจจัยอะไร?

รัฐสำเร็จน้อยกว่าล้มเหลว!

ดร.ปณิธาน วัฒนายากร อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่าย การเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ชี้ให้เห็นว่า ที่ผ่านมาการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินของรัฐบาลนั้น มีความสำเร็จน้อยกว่าความล้มเหลว แต่ก็มักจะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

เป็นการเปิดเกมรบครั้งใหม่ของรัฐบาล เพื่อให้เครื่องมือที่รัฐบาลมีอยู่มีความยืดหยุ่น และไม่มีเครื่องมืออื่น

โดยการออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินครั้งนี้มองว่าเกิดจากวัตถุประสงค์ภายใน เป็นการจัดระบบให้มีอำนาจ มีศักยภาพในการทำงานมากขึ้น โดยเฉพาะเพื่อหลีกจากการตรวจสอบโดยฝ่ายราชการด้วยกัน

“พ.ร.บ.มั่นคงนั้น รัฐบาลทำอะไรได้ไม่คล่องตัว เพราะจะมีหน่วยราชการด้วยกันเข้ามาตรวจสอบ เช่น กอ.รมน. แต่ตอนนี้เมื่อมี พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว รัฐบาลจะทำอะไรได้มากขึ้น”

เกมการเมืองช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่น่าจับตา เพราะจะมีการประเมินสถานการณ์กันเป็นระยะๆ และมีการเลือกเครื่องมือมาใช้ในการต่อสู้ที่หลากหลายมากขึ้น

“รัฐบาลมีความพยายามมานานแล้วที่จะออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่วงในทราบกันดีว่าทหารไม่เอาด้วย และทหารให้เหตุผลว่าไม่ได้เกิดความรุนแรงอะไร กปปส.เน้นการชุมนุมแบบอหิงสา แต่เมื่อเห็นระเบิดที่บรรทัดทอง เห็นระเบิดที่อนุสาวรีย์ชัยฯ ก็คาดกันว่า อีกไม่นานรัฐบาลจะออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแน่ เพราะมีการสร้างสถานการณ์แล้วให้เกิดความรุนแรง” แหล่งข่าวด้านความมั่นคงกล่าว

แล้วก็จริง รัฐบาลออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินจริง แต่รัฐบาลคาดผิด นึกว่าทหารจะเข้าร่วม

“เมื่อทหารบอกว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะออกได้ต่อเมื่อมีความรุนแรง ก็มีการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงขึ้นมาจากคนกลุ่มหนึ่ง จากนั้นรัฐบาลก็เลยรวบรัดออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินตามความต้องการที่มีมานานแล้ว ตรงนี้รวมกับที่ ผบ.หน่วยซีล กองทัพเรือพูดมาก็ยิ่งมีน้ำหนักว่าสถานการณ์ความรุนแรงที่ผ่านมาใครเป็นคนทำ และทำเพื่ออะไร”

แต่ทหารไม่ได้ตกหลุมพรางนี้

ทหารไม่เอาด้วย-3กองทัพจับมือแน่น

แหล่งข่าวความมั่นคงกล่าวว่า ทหารไม่ได้เห็นด้วยที่จะออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สังเกตได้จาก 2 เหตุการณ์สำคัญ เหตุการณ์แรกคือ ผบ.ทบ.และ ผบ.ทร.ไม่ได้เข้าร่วม แต่ ผบ.ทอ.จำเป็นต้องเข้าร่วมเพราะประชุมที่กองบัญชาการทหารอากาศของ ผบ.ทอ. พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง แต่ล่าสุด ผบ.ทอ.ก็ไม่อนุญาตให้ตั้ง ศรส.ที่กองทัพอากาศ

“ข่าวตอนนี้คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ., พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผบ.ทร. และพล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ.จับมือกันแน่นหนามาก มีพลังมากจนรัฐบาลก็เกรง และแม้รัฐบาลจะมี ผบ.สส.และปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นพวก ก็เทียบกับหน่วยกองกำลังที่รัฐบาลไม่ได้ไว้เป็นพวกไม่ได้ โดยเฉพาะ พล.อ.อ ประจิน ท่านเป็นคนดีมาก แต่เรียบร้อย ไม่มีทางทำผิดต่อชาติบ้านเมือง”

เหตุการณ์ที่ 2 ที่เห็นได้ชัดว่าทหารไม่เอาด้วยกับรัฐบาลคือ เมื่อดูจากเอกสารการแต่งตั้งของรัฐบาล ที่ระบุตำแหน่งปลัดกระทรวงต่างๆ เข้าร่วม แต่พอถึงตำแหน่งทางการทหาร เช่น ผบ.ทบ. ก็ใส่แค่ว่า ผู้แทน ผบ.ทบ.

“รัฐบาลก็กลัวหน้าแตก เพราะทหารไม่เข้าร่วมด้วย ก็เลยใช้คำว่าผู้แทน เข้ามาแทน”

เมื่อทหารไม่เอาด้วย คำถามก็คือ ตำรวจจะกล้าปะทะกับทหารไหม?

แหล่งข่าวความมั่นคงวิเคราะห์ว่า รัฐบาลจะไม่กล้าปราบประชาชน เพราะเหตุทหารยืนอยู่คนละข้างอย่างชัดเจน แต่ทหารจะไม่ทำรัฐประหารเด็ดขาด

“บทเรียนที่ผ่านมาจะทำให้ทหารไม่ทำรัฐประหาร และการทำรัฐประหารจะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณปลุกคนเสื้อแดง และคนกลางๆ ที่ยึดถือประชาธิปไตยแบบโลกสวยขึ้นมาต่อต้านอย่างหนัก”

ดังนั้นทหารจึงต้องระวังท่าที แต่เป็นท่าทีที่ไม่ได้เข้าข้างรัฐบาล และยังส่งคนไปปกป้องผู้ชุมนุมทุกการชุมนุมด้วย

เรียกว่าเป็นวิธีการอย่างอื่นในการดูแลรักษาความปลอดภัย โดยไม่ต้องปฏิวัติ!

เป็นการเดินเกมที่พลาดของรัฐบาล ที่ยิ่งทำให้พื้นที่ทางเดินของรัฐบาลแคบลงทุกทีๆ

“คนที่อยู่ต่างประเทศ เขาต้องการรักษาฐานอำนาจไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะโครงการใหญ่ๆ วันนี้ก็ยังไม่สำเร็จ ที่ผ่านมารัฐบาลก็เจอมรสุมหลายอย่าง เหลือพื้นที่แคบลงทุกที จึงคิดว่าการออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินดีที่สุด เพราะจะขู่ให้คนกลัว คิดว่า 7 วันคนจะฝ่อ”

แต่ก็เป็นเรื่องที่พิสูจน์แล้วว่า ผู้ชุมนุมไม่กลัว และยังออกมาร่วมมากขึ้น ทั้งกลุ่มแพทย์ ศิลปิน และกลุ่มมวลชนที่ไปยังเวทีการชุมนุมต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ

สิ่งนี้จะทำให้รัฐบาลออกมาปราบประชาชนได้ยากขึ้น เพราะประชาชนมีจำนวนมาก จะปราบได้อย่างไร และปราบเมื่อไร รัฐบาลจะแพ้ทันที

เรียกว่าตอนนี้รัฐบาลก็หืดขึ้นคอ

คนก็ไม่กลัว พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แถมออกมามากขึ้น จะปราบก็ปราบไม่ได้เพราะประชาชนจำนวนมาก ทหารก็ไม่เล่นด้วย จะเข้าไปทำงานก็ทำไม่ได้เพราะหน่วยราชการถูกปิด

ไม่ต่างจาก Failed government!

“รัฐบาลปกครองไม่ได้ เพราะสั่งใคร ใครก็ไม่กลัว ไม่ทำตาม และถ้าเมื่อไรสั่งห้ามการชุมนุมที่ไหน ก็เชื่อแน่ว่าจะมีการไปชุมนุมจำนวนมากที่นั่น และบริหารงานก็ไม่ได้ เพราะการปิดกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ แถมพูดไปคนก็ไม่เชื่อ สั่งใครใครก็ไม่ทำ เพราะข้าราชการเขาก็กลัวติดคุก อย่างปลัดกระทรวงการคลังก็เจอประสบการณ์มาแล้วจากคดีหวยบนดิน ตอนนี้รัฐบาลเดินเกมรองอย่างชัดเจน”

ห่วงก่อความไม่สงบ-นักรบต่างชาติ-อาวุธเพียบ!

อย่างไรก็ดี จุดที่แหล่งข่าวด้านความมั่นคงเป็นห่วงคือ ข่าวการลำเลียงอาวุธ และคนต่างชาติเข้ามาก่อความวุ่นวายนั้น ตามที่ ผบ.หน่วยซีลออกมาพูดดักคอรัฐบาลนั้น เป็นเรื่องจริง และขณะนี้ยังมีทั้งอาวุธ และคนต่างชาติที่เตรียมพร้อมก่อความวุ่นวายจำนวนมาก

แสดงให้เห็นว่า การต่อสู้แบบรบใต้ดินจะยังเดินหน้าไป

แต่ยิ่งทำก็ยิ่งปิดไม่มิด...

กปปส.จึงมีโอกาสชนะสูงกว่าแพ้ ณ เวลานี้

“ถ้ารัฐบาลแรงเมื่อไร รัฐบาลจะไปเร็ว ประชาชนจะชนะ และตอนนี้ยิ่งมีสถานการณ์ความรุนแรง มวลชนกปปส.ก็เชื่อว่าเป็นฝีมือรัฐบาล คนก็ยิ่งโกรธแค้น ยิ่งออกมาเข้าร่วมต้านรัฐบาลมากขึ้น แต่ประชาชนจะชนะเมื่อไรก็ยังตอบไม่ได้ เพราะการต่อสู้ภาคประชาชนที่ต่อต้านอำนาจรัฐ ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยไม่เคยมีมาก่อนที่คนออกมาร่วมมากมายขนาดนี้”

แต่ประชาชนชนะแน่ ชนะด้วยการช่วยเหลือของทหารที่ไม่ใช่การที่ทหารทำรัฐประหาร ถือเป็นการชนะจากน้ำมือประชาชนในการขับไล่รัฐบาล! ขณะที่ทหารจะได้เครดิตสูงมากทางการเมืองไทยหลังจากนี้ไป

กปปส.จะได้รับชัยชนะจากรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรม

เช่นเดียวกับ พลเอกสมเจตน์ บุญถนอม สมาชิกวุฒิสภาแบบสรรหา ที่วิเคราะห์ว่า ขณะนี้รัฐบาลถือว่าอยู่ในจุดที่เสียเปรียบอย่างยิ่งแล้ว โดยเฉพาะประเด็นสำคัญที่ทำให้รัฐบาลจะขาดความชอบธรรมในการออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินทันทีคือ การที่รัฐบาลประกาศยุบสภาไปแล้ว และเป็นเพียงรัฐบาลรักษาการ การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่เบื้องต้นต้องการให้ผู้ชุมนุมกลัวและไม่ออกมาชุมนุมเท่านั้นแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับประเด็นของการหาเสียงเตรียมเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิด

กล่าวคือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้พรรคเพื่อไทยได้เปรียบในการเลือกตั้ง เพราะเป็นการตัดโอกาสของพรรคการเมืองฝั่งตรงข้ามทั้งหมดกระทำการจัดการหาเสียงไม่ได้เลย อีกทั้งการตั้ง ศรส.ยังเป็นที่ชัดเจนว่ามีการตั้งข้าราชการต่างๆ เข้าดำรงตำแหน่งที่จะมีผลกระทบต่อการเลือกตั้ง ขัดทั้งรัฐธรรมนูญมาตรา 180 และขัด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และที่มาของสมาชิกวุฒิสภา ปี 2550 อย่างชัดเจน โดยเฉพาะคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบในการออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็เป็นผู้สมัคร ส.ส.ทั้งปาร์ตี้ลิสต์ ทั้งเขตเลือกตั้ง ทั้งพรรครัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งเป็นความผิดทั้งหมดด้วย

เชื่อได้ว่าอีกไม่นานจะต้องมีผู้ร้องเรียน กกต.ในประเด็นนี้ และจะทำให้การออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นโมฆะทันที
โดยส่วนตัวแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่งของรัฐบาล!

อีกทั้งในทางการเมือง หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินเรื่องอำนาจการเลื่อนการเลือกตั้งให้เป็นของ กกต. และหากมีการเลื่อนการเลือกตั้งจริง

ปัญหาก็จะตกอยู่กับฝ่ายรัฐบาลอีก เพราะคนไม่กลัว พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กลับยิ่งออกมามากขึ้น แถมการเลื่อนการเลือกตั้งจะยิ่งทำให้รัฐบาลที่ไม่สามารถบริหารงานได้ และไม่สามารถจัดการกับผู้ชุมนุมได้ยิ่งเป็นปัญหามากขึ้นไปอีก

ขณะที่ฝั่ง กปปส.ที่ต่อสู้ด้วยวิธีสันติอหิงสามาตลอด ก็จะยิ่งได้รับความชอบธรรม และเชื่อว่าจะนำไปสู่ชัยชนะของประชาชนที่ออกมาต่อต้านอำนาจรัฐในที่สุด

“มันผิดตั้งแต่รัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว เพราะจะให้มีผลต่อการชุมนุมโดยตรง แต่ความจริงคือไม่ใช่ อย่างการออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินในปี 2553 มันปรากฏชัดว่าผู้ชุมนุมมีกองกำลังชุดดำติดอาวุธสู้กับเจ้าหน้าที่ มีเหตุผลในการออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ตอนนี้มีแต่ฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบที่ไปทำร้ายผู้ชุมนุม แทนที่รัฐบาลจะให้ตำรวจคุ้มครองผู้ชุมนุม กลับมาออกกฎหมายขู่ผู้ชุมนุมเข้าไปอีก มันไม่มีความชอบธรรม”

โดยส่วนตัวเชื่อว่า ตำรวจมีศักยภาพในการจับผู้ก่อการไม่สงบ แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยอมทำหน้าที่เองมากกว่า

พ.ร.ก.ฉุกเฉินจึงสรุปได้ว่า เป็นสิ่งที่ผิดพลาดจากการตัดสินใจของรัฐบาล และยิ่งสร้างความชอบธรรมให้ผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลมากขึ้น!

กำลังโหลดความคิดเห็น