xs
xsm
sm
md
lg

ถ้าลุงกำนันแพ้!!ได้เห็น “โอ๊ค” เป็นนายกฯ สังคมไทยเข้าสู่ยุค “ขาดทักษิณสิ้นชาติ”!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แกนนำ กปปส. ยอมรับถ้าแพ้งานนี้บรรดาแกนนำมีโอกาสถูกเก็บและหมดสิทธิโงหัวทางการเมือง ส่วน “ตระกูลชินวัตร” จะสืบทอดตำแหน่งนายกฯ จนถึง “โอ๊ค” พานทองแท้ ขณะที่ภาคประชาชนจะถูกระบอบทักษิณดูดกลืนทรัพยากรของชาติจนเกลี้ยง อีกทั้งรูปแบบทุจริตใหม่ๆ จะเกิดขึ้น เมื่อกินจากงบประมาณไม่พอ ก็ใช้วิธีกู้มาโกง หรือแปรรูปรัฐวิสาหกิจขาย ข้าราชการไม่มีระบบคุณธรรม ทุกอย่างอยู่ที่ทักษิณ ประชาชนต้องแบมือขอ ชนิดที่ว่าขาด “ทักษิณต้องสิ้นชาติ” เตือนเสื้อแดง-รากหญ้าสุดท้ายถูกทิ้ง!

แม้มวลชนเรือนล้านที่ออกมาเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนและมีอีกครั้งกว่า 5 ล้านคนเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ที่เคลื่อนพลออกมาต่อต้านระบอบทักษิณภายใต้การนำของคณะกรรมการประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ที่มีหัวเรือใหญ่อย่างกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ เป็นเลขาธิการ ก็ไม่สามารถทำอะไรกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้

จะมีก็แค่การประกาศยุบสภาและเปลี่ยนสถานะเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลรักษาการเท่านั้น พร้อมจัดให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ซึ่ง กปปส.ได้ดำเนินการทุกวิถีทางที่จะให้นางสาวยิ่งลักษณ์ และคณะรัฐมนตรีลาออกเพื่อเปิดทางให้มีการปฏิรูปประเทศไทยก่อนที่จะมีการเลือกตั้งครั้งต่อไป เพราะหากให้มีการรักษาการต่อไป นอกเหนือจากอาจให้คุณให้โทษต่อการเลือกตั้งในครั้งนี้ได้แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ทราบกันโดยพฤตินัยว่าหากมีการเลือกตั้งในวันดังกล่าว พรรคเพื่อไทยยังมีความได้เปรียบที่จะได้รับการเลือกกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง

ดังนั้นโอกาสการชุมนุมต่อต้านเพื่อล้างระบอบทักษิณที่ฝังรากลึกมานับ 10 ปี จึงเท่ากับสูญเปล่าไปในทันทีเมื่อพรรคเพื่อไทยกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง!

เลือกตั้งก่อนปฏิรูป ‘เพื่อไทย’ นอนมา

อย่างไรก็ดี ในเรื่องปฏิรูปการเมืองฝ่ายรัฐบาลหยิบยกขึ้นมาเป็นแนวทางที่ต้องการขับเคลื่อนเช่นกัน แต่ขอดำเนินการภายหลังการเลือกตั้ง จึงเกิดการชิงไหวชิงพริบกันของฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ด้วยหัวข้อการดำเนินการปฏิรูปประเทศไทยก่อนหรือหลังการเลือกตั้ง ต่างฝ่ายต่างหาเหตุผลเข้ามาสนับสนุนแนวทางของตน แต่ความหมายของการปฏิรูปก่อนหรือหลังเลือกตั้งนั้น ยังหมายถึงการชนะหรือพ่ายแพ้ของอีกฝ่ายหนึ่งได้ทันที

ทั้งนี้เพราะหากมีการดำเนินการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ความได้เปรียบทั้งหมดจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล ที่ยังมีอำนาจกุมกลไกของหน่วยงานรัฐได้ทั้งหมด อีกทั้งสถานะของฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยตามต่างจังหวัดยังคงเหนือกว่าพรรคการเมืองอื่นๆ โอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะได้รับการเลือกตั้งกลับเข้ามาแม้อาจจะได้น้อยกว่าเดิม แต่เมื่อจับมือกับพรรคอื่นๆ ก็สามารถกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลได้อีกครั้ง หลังจากนั้นพรรคเพื่อไทยในฐานะเป็นรัฐบาลก็สามารถเลือกได้ว่าต้องการปฏิรูปการเมืองให้เป็นไปในแนวทางใด และคงไม่เป็นไปในแนวทางที่ กปปส.ต้องการอย่างแน่นอน

ขณะเดียวกันหากสามารถมีการปฏิรูปการเมืองก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นโจทย์ที่ กปปส.ต้องการ ก็เท่ากับว่ารัฐบาลรักษาการของพรรคเพื่อไทยต้องตกเป็นรองหรืออาจถึงขั้นพ่ายแพ้ได้ เนื่องจากเงื่อนไขที่ทาง กปปส.เคยเสนอมานั่นคือเปิดให้มีคนกลางเข้ามาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีชั่วคราวก่อน และในระหว่างนี้จะมีการปฏิรูปการเมืองไปด้วย จากนั้นจึงจะมีการเลือกตั้งกันใหม่

ดังนั้นตัวรายละเอียดและสาระของการปฏิรูปต่างๆ จะมีผลต่อการดำเนินงานทางการเมืองของทุกฝ่าย ปมปัญหาที่จะตามมาอีกนั่นคือจะใช้แนวทางการปฏิรูปของฝ่ายใด และจะเป็นที่ยอมรับกันของทั้ง 2 ฝ่ายหรือไม่

รัฐใช้จุดอ่อน กปปส.เยื้อเกม

นอกจากนี้ฝ่ายรัฐบาลยังเล่นเกมยื้อและใช้อำนาจของรัฐบาลรักษาการสร้างความได้เปรียบให้กับตัวรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ขณะที่ฝ่าย กปปส.ก็พยายามเดินเกมรุกเพื่อบีบให้รัฐบาลรักษาการถอยออกจากอำนาจเพื่อให้แนวทางในการปฏิรูปประเทศไทยของ กปปส.ทำได้สะดวกขึ้น

ฝ่าย กปปส.ก็ทราบดีว่าปัญหาของฝ่ายที่ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลในขณะนี้คือ ยังไม่มีหน่วยงานหรือองค์กรใดเข้ามารับรองสถานะของ กปปส. ว่าเป็นผู้มีอำนาจในการบริหารประเทศแทนรัฐบาลที่ผ่านมา ในทางปฏิบัติแล้วการปฏิวัติโดยประชาชนโดยไม่ใช้กำลังทหารนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้นอำนาจในการบริหารประเทศจึงยังไม่ชัดเจนว่าจะมีอำนาจหรือไม่ แตกต่างกับการปฏิวัติโดยทหารที่ยึดอำนาจแล้วสามารถออกคำสั่งคณะปฏิวัติได้ทันที ทุกฝ่ายต้องปฏิบัติตาม

ดังนั้นเราจึงได้เห็นความพยายามของกลุ่ม กปปส. ที่ต้องไปพบกับภาคธุรกิจ สื่อมวลชนและฝ่ายทหาร เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจ โดยฝ่ายทหารจะเป็นฝ่ายที่มีน้ำหนักมากที่สุด แต่ทหารก็มีข้อจำกัดในเรื่องของกฎหมายและต้องระมัดระวังในเรื่องการเลือกข้าง เพราะถ้าเลือกยืนข้าง กปปส.ก็ต้องถูกกระหน่ำจากกลุ่มคนเสื้อแดงที่ให้การสนับสนุนรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอยู่ว่าไม่แตกต่างกับการปฏิวัติ ซึ่งฝ่ายกองทัพจะระวังในเรื่องนี้มาก หรือถ้าเลือกรัฐบาลก็ถูกฝ่าย กปปส.และประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมนับล้านคนและอีกไม่น้อยที่ยังไม่ออกมาโจมตีเช่นกัน เห็นได้จากการที่ กปปส.เข้าไปพบกับฝ่ายทหารเมื่อ 14 ธันวาคม 2556 ฝ่ายทหารเลือกรูปแบบให้เป็นการเสวนาสาธารณะ

เมื่อ กปปส.ติดขัดในเรื่องข้อจำกัดทางกฎหมายถึงสถานะของอำนาจที่มี อีกทั้งฝ่ายกองทัพยังไม่สามารถเข้ามาให้การรับรองได้ จึงทำให้รัฐบาลเลือกเดินเกมที่จะยื้อสถานการณ์ออกไป เพื่อให้มวลชนที่สนับสนุน กปปส.อ่อนแรงลง พร้อมทั้งเดินเกมชิงความได้เปรียบในเรื่องการเลือกตั้ง เพราะจะทำให้แนวทางการปฏิรูปของ กปปส.ไม่สามารถดำเนินการได้ หากพรรคเพื่อไทยได้กลับเข้ามาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง นั่นเท่ากับฝ่ายของ กปปส.พ่ายแพ้ต่อคนในตระกูลชินวัตรแน่นอน

ยิ่งสถานการณ์ยืดออกไปนานเท่าไหร่ความได้เปรียบย่อมตกเป็นของฝ่ายรัฐบาล แม้ในฟากฝั่งของ กปปส.มวลชนที่มาร่วมชุมนุมจะยังคงหนาแน่นกับช่วงระยะเวลาของการชุมนุมกว่า 1 เดือนครึ่ง แต่หากปล่อยให้รัฐบาลดึงเกมออกไปได้ จำนวนผู้ชุมนุมย่อมต้องลดลงตามธรรมชาติ โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ จะเบื่อง่ายหากไม่ชนะสักที

ก้าวข้ามความกลัวขุดรากถอนโคน

นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นหนึ่งในแกนนำในเวทีมวลมหาประชาชน ราชดำเนิน และเป็นแกนนำของ กปปส. กล่าวว่า นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุด เพราะระบอบทักษิณฝังรากมา 10 กว่าปี ถึงขนาดเปลี่ยนทัศนคติของคนได้ เช่นมีการสะท้อนออกมาจากโพลว่าโกงไม่เป็นไร รับได้ ขอให้กูได้บ้าง หรือโพลที่ถามว่าการแต่งตั้งโยกย้าย คนของใครก็ยอมรับได้ หรือยัดเยียดให้คนยอมรับว่ามีวันนี้เพราะพี่ให้
สาทิตย์ วงศ์หนองเตย หนึ่งในแกนนำ กปปส.
ตั้งแต่เราสู้ระบอบทักษิณมา 10 กว่าปี จุดนี้เป็นทัศนคติเปลี่ยน จากคนที่อยู่เฉย คนพร้อมลุกขึ้นออกมาเดิน มาแสดงออก ใน Social media จากคนที่แสดงออกจากป้ายหรือคำพูดต่างๆ ตั้งแต่เด็ก เยาวชน ถึงคนทั่วไป แม้แต่คนเสื้อแดงก็มาขึ้นเวที เขารู้แล้วว่าพวกนี้ไม่ช่วยคนจริง

มั่นใจว่าระบอบทักษิณจะต้องถูกเปลี่ยน เพราะกระแสสังคม เมื่อกระแสนี้เกิดขึ้นแล้วก็เหมือนกับพายุใหญ่ จะเห็นได้ว่าการนัดชุมนุมของคนเสื้อแดง 2 ครั้งนั้นทำได้ไม่สำเร็จตามเป้า หรืออย่างตำรวจในช่วงที่มีการเดินไปยังพื้นที่ต่างๆ ก็ไม่มีใครกลัว ไม่ว่าจะเป็นแก๊สน้ำตาหรือการสกัดกั้นด้วยวิธีอื่น หรืออย่างที่กระทรวงการคลังเมื่อมีข่าวว่าตำรวจจะเข้าจับกุมแกนนำ ประชาชนก็ช่วยกันเอารถไปปิดตามจุดต่างๆ หรือการเป่านกหวีดกับบรรดารัฐมนตรี

นั่นเป็นการสะท้อนถึงการก้าวข้ามเส้นความกลัวของประชาชน นี่ถือว่าเป็นการเมืองในเชิงคุณภาพ เริ่มขุดรากถอนโคนระบอบทักษิณเหลือเพียงแค่การปฏิรูปประเทศไทยเท่านั้น

ถ้าแพ้-ทักษิณกินชาติ

อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ที่ยืดเยื้อก็มีโอกาสที่ฝ่ายประชาชนที่ออกมาต่อต้านระบอบทักษิณจะได้รับความพ่ายแพ้หรืออ่อนกำลังลงไป ด้วยกลเกมของอำนาจรัฐที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยยังดำรงอยู่ในฐานะรัฐบาลรักษาการ

“หากการต่อสู้ครั้งนี้พ่ายแพ้ ก็ทำใจไว้แล้วว่า ถ้าไม่ถูกเก็บเสียก่อน คงไม่มีโอกาสโงหัวทางการเมืองอีก อาจถูกฟ้อง ถูกตัดสิทธิ์ หรืออาจโดนอะไรมากกว่านั้น แต่ก็ไม่กลัว จะสู้ต่อไปในแบบที่ทำได้ถูกกฎหมาย อย่างเช่นเขียนหนังสือ” นายสาทิตย์ ระบุ และบอกถึงภาพที่จะเกิดขึ้นหากการต่อสู้ในครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จว่า

“ถ้าหากเราแพ้ระบอบทักษิณก็จะกินชาติ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปของคนในตระกูลหรือไม่ก็เป็นนอมินีอย่าง สมัคร สุนทรเวช สมชาย วงศ์สวัสดิ์ นยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่อไปก็อาจเป็นเจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ หรือเป็นนายกรัฐมนตรีกันต่อ จนถึง “โอ๊ค” ลูกชายทักษิณอย่างพานทองแท้ ชินวัตร”

นอกจากนี้จะมีการกินกันลึกขึ้น ธุรกิจเป็นสัมปทานผูกขาดของทักษิณ ธุรกิจใหญ่ต้องสวามิภักดิ์ ทุนเล็กต้องยอมสยบ นั่นคือระบอบทักษิณกุมอำนาจได้ทั้งทุนขนาดใหญ่และเล็ก และอาจขยายไปถึงการนำเอารัฐวิสาหกิจออกมาให้สัมปทานกับภาคธุรกิจ

การทุจริตเป็นท่อน้ำเลี้ยงใหญ่ เป็นรูปแบบของระบบอุปถัมภ์แบบมาเฟีย จะมีการทุจริตในรูปแบบใหม่ๆ เกิดขึ้น เมื่อโกงกินจากงบประมาณแล้วไม่พอ ก็จะมีการกู้มาโกง สร้างทุนสัมปทานผูกขาด

ดูดกลืนทรัพยากรจนเกลี้ยง

ส่วนระบบข้าราชการ คุณธรรมพื้นฐานจะถูกเจาะ เห็นได้จากข้าราชการตั้งแต่นายตำรวจระดับผู้กำกับ ไปจนถึงปลัดกระทรวงต้องไปเฝ้าทักษิณเพื่อให้ได้ตำแหน่ง ภาคธุรกิจ ชาวนา หรือประชาชนอื่นๆ ก็แบมือรอรับประชานิยมจากระบอบทักษิณ ผู้คนเหล่านี้พึ่งตัวเองไม่ได้ เสพติดประชานิยมประเภทที่ว่า “ขาดทักษิณสิ้นชาติ” เป็นสิ่งที่เพี้ยนไปแล้วสำหรับสังคมไทย กลายเป็นทุนสามานย์อุปถัมภ์

ขณะที่ประเทศชาติจะยับเยิน ผู้คนในสังคมจะถูกเปลี่ยนความคิดให้กลายเป็นสังคมที่พึ่งพิงทุนสามานย์อุปถัมภ์ จะมีความเหลื่อมล้ำกันทั้งทางสังคมและรายได้กันมากขึ้น กลุ่มที่อยู่ส่วนยอดสุดก็จะมั่งคั่ง ร่ำรวยมากขึ้น แนวทางอย่างนี้กลุ่มเกษตรกรก็ต้องคอยความหวังว่ารัฐบาลจะสนับสนุนสินค้าเกษตรตัวใด ถ้าเป็นสินค้าการเมืองมีเกษตรกรมากก็จะได้รับการสนับสนุนอย่างเช่นข้าว แต่เกษตรกรอาชีพอื่นที่ไม่ใช่ฐานเสียงหลักก็ไม่ถูกเลือก ทุกอย่างจะกลายเป็นคนรอพึ่งรัฐ รัฐทำเพื่อแลกคะแนนเสียงเลือกตั้ง

ทุนสามานย์เหล่านี้ไม่ต่างอะไรกับพวกล่าอาณานิคม เมื่อดูดกลืนทรัพยากรของประเทศนั้นจนหมด ก็หันมาแปรรูปรัฐวิสาหกิจแล้วขายออกไป สำหรับกลุ่มรากหญ้าที่เป็นฐานเสียงของระบอบทักษิณ เมื่อถึงเวลาหนึ่งก็จะถูกทิ้ง เห็นได้จากการออกร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม หรือมีคนเสื้อแดงที่ขึ้นเวทีที่ราชดำเนินบอกเล่าถึงชีวิตที่ต้องลำบากจากการถูกดำเนินคดีเมื่อปี 2553

ดึงประชาชนเป็นทาส

ขณะเดียวกันหากการต่อสู้ครั้งนี้พ่ายแพ้ ระบอบทักษิณยังสามารถดำรงต่อไปได้ ภาคประชาชนไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับนโยบายการบริหารประเทศของรัฐบาลจะต้องมีส่วนเข้ามารับผิดชอบกับสิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการไป อย่างกรณีการขาดทุนจากโครงการรับจำนำข้าวที่มีการรั่วไหลและเปิดช่องให้มีการทุจริตกันมโหฬาร ภาระขาดทุนจากโครงการนี้ไม่ว่าจะเป็น 2 แสนล้านบาทหรือมากกว่านั้น ประชาชนทุกคนก็ต้องเข้ามามีส่วนชดใช้กับผลขาดทุนดังกล่าว

ยิ่งพรรคเพื่อไทยสามารถกลับเข้ามาบริหารประเทศได้อีกครั้ง โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท และโครงการเมกะโปรเจกต์อีก 2 ล้านล้านบาท ประชาชนทั้งประเทศจะต้องเข้ามาร่วมชดใช้หนี้ที่รัฐบาลจะกู้เข้ามาทำโครงการเหล่านี้อีก 50 ปี ขณะที่พรรคพวกของตระกูลชินวัตรจะกินส่วนต่างและค่าหัวคิวจากโครงการเหล่านี้ไปอย่างมหาศาล กลายเป็นว่าประชาชนเป็นหนี้เพื่อให้พวกเขาร่ำรวย ถ้านักการเมืองในระบอบทักษิณยังอยู่ในอำนาจอย่างต่อเนื่อง ก็จะมีโครงการต่างๆ เพิ่มเข้ามาอีก โดยที่ประชาชนทั้งประเทศจะต้องเป็นผู้แบกรับภาระ ไม่ต่างกับการเป็นทาสของนักการเมือง

ไม่อยากเป็นทาสต้องสู้

นายสาทิตย์บอกอีกว่า เรื่องอย่างนี้ไม่มีอัศวินม้าขาวเข้ามาช่วย ประชาชนต้องตื่นรู้ และตระหนักถึงแนวทางในการจัดการเอง อย่าไปแสวงหาความสมบูรณ์แบบ ต้องมีการรวมตัวกันของภาคประชาชน เอาชนะด้วยพลังของประชาชน อย่างที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ทุกคนเห็นความไม่ถูกต้อง ไม่ชอบธรรม ต่อสู้ด้วยแนวทางที่ไม่ขัดต่อกฎหมายและอย่างสร้างสรรค์ ทุกคนช่วยเหลือกัน เห็นได้จากมีทั้งการบริจาคสิ่งของต่างๆ หรือมีจิตอาสาเข้ามาเพื่อช่วยเหลือกัน

เวลานี้เดินมาไกล เราชนะศึกมาหลายครั้ง กฎหมายนิรโทษฯ รัฐธรรมนูญ ถอดถอน ยุบสภา เหลือแต่บีบให้รัฐบาลลาออกจากรักษาการ สิ่งที่ต้องดำเนินการต่อไปนับจากนี้คือ 1. ต้องขยายแนวร่วม อธิบายเรื่องแนวคิดปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศ ต้องทำอย่างกว้างขวาง สามัคคี แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง เชิญทุกภาคส่วนและเสื้อแดงเข้ามา 2. การเข้าร่วมกิจกรรมทุกครั้ง เช่นระดมพล กิจกรรมเวที กิจกรรมการพูดคุยทุกที่ และ 3. พร้อมประกาศตนเมื่อถึงเวลาที่ไม่ยอมรับอำนาจรัฐ

ดังนั้น ในการขับเคลื่อนของภาคประชาชนที่ออกมาขับไล่ระบอบทักษิณที่หมายรวมไปถึงรัฐบาลรักษาการในปัจจุบันยังคงเป็นสิ่งที่ต้องลุ้นในหมากเกมกันแต่ละฝ่าย แม้ในครั้งนี้การลุกออกมาของภาคประชาชนจำนวนมากอาจทำให้รัฐบาลต้องยอมถอย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ยิ่งทุกอย่างถูกยืดระยะเวลาออกไป ยิ่งจะทำให้การต่อสู้ของภาคประชาชนเริ่มอ่อนแรง ทั้งจากการถอดใจของผู้คนที่ร่วมชุมนุมและกลุ่มทุนที่ให้การสนับสนุน โอกาสที่ทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิมก็มีความเป็นไปได้เช่นเดียวกัน นั่นคือ ระบอบทักษิณสามารถครอบครองประเทศไทยต่อไปได้อีกยาวนาน

ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนต้องเลือกว่าจะอยู่กับระบอบทักษิณต่อไป หรือก้าวออกมาเพื่อปฏิรูปประเทศไทยก่อนจะมีการเลือกตั้งครั้งต่อไป ก็ขึ้นอยู่กับประชาชนคนไทยทั้งประเทศจะเป็นผู้ตัดสิน!

กำลังโหลดความคิดเห็น