xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อ “สุเทพ” ไร้อำนาจรัฐ-กระบอกปืน ขรก.จำต้องเป็น “ไทยเฉย” กลัวข้อหากบฏ!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


มองต่างมุม! ต้นเหตุสำคัญทำให้การเมืองขณะนี้ไม่มีทางออก “ยิ่งลักษณ์” เชื่อมั่นว่าเพื่อไทยกุมคะแนน 15 ล้านเสียง ไม่สนปฏิรูปประเทศล้มวงจรอุบาทว์ทางการเมือง ขณะที่ “กำนันสุเทพ” ระทม ปฏิรูปโดยประชาชนไม่มีอาวุธ ทำให้ไร้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ สั่งการอะไรไม่มีใครเชื่อ ข้าราชการไม่กล้ารายงานตัวเพราะถ้าสุเทพแพ้ตัวเองจะเป็นกบฏ ตำรวจโดย ผบ.ตร.ไม่ชอบอำนาจนอกระบบ ส่วน “ทหารเฉย” หวั่นเสื้อแดงออกอาละวาด

เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ไม่ว่าประชาชนจะออกมาเป็นล้านๆ คน เพื่อแสดงพลังว่าประชาชนไม่เอาระบอบทักษิณตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย. 56 ที่ผ่านมา และล่าสุดในวันที่ 9 ธ.ค. 56 มีประชาชนร่วมเดินเพื่อเข้าล้อมทำเนียบรัฐบาลจากทุกจุดในกรุงเทพมหานครมากถึงเกือบ 5 ล้านคน ซึ่งเป็นการออกมาเรียกร้องสิทธิทางประชาธิปไตยของประชาชนทวงอำนาจจากรัฐบาลแบบอหิงสา ที่มีคนจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย

แต่ท้ายที่สุดการต่อสู้ของฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณ ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นแกนนำ กับฝ่ายรัฐบาลที่มีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นผู้นำ ก็ต้องปรับยุทธวิธีกันแบบนาทีต่อนาทีเช่นกัน

ครั้งที่ 1 คืนวันที่ 9 ธ.ค. 56 เมื่อนายสุเทพประกาศคำสั่ง กปปส.ฉบับที่ 1/2556 ขอให้นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีประกาศไม่ปฏิบัติหน้าที่รักษาการ และไม่แต่งตั้งใครขึ้นมารักษาการแทนภายใน 24 ชั่วโมง โดยให้เหตุผลว่าความเป็นนายกฯ และ ครม.ได้สิ้นสุดลงตั้งแต่วันประกาศไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญ เพื่อให้การคืนอำนาจให้ประชาชน ในการทำการปฏิรูปประเทศไทยราบรื่น

เมื่อครบ 24 ชั่วโมง น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ลาออก

เป็นเหตุให้มีคำสั่ง กปปส.ครั้งที่ 2/2556 คืนวันที่ 10 ธ.ค. 56 มีใจความหลัก 4 ประการคือ 1. ให้ดำเนินคดีกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ และพวก ความผิดฐานกบฏ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 เนื่องจากล้มล้างรัฐธรรมนูญและประกาศไม่ยอมรับอำนาจตุลาการ ซึ่งถือเป็นความผิดอาญาร้ายแรง 2. ให้ ผบ.ตร.สั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกหน่วยถอนกำลังกลับเข้าที่ตั้ง และปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ตามปกติ โดยให้ออกคำสั่งภายใน 12 ชั่วโมง 3. กปปส.เห็นว่าทหารเป็นหน่วยงานที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน จึงขอให้ทหารปฏิบัติหน้าที่รักษาสถานที่ราชการ เพื่อให้เกิดความเรียบร้อย และ4. ให้ประชาชนติดตามพฤติกรรมความเคลื่อนไหวของคนในตระกูลชินวัตร และคณะรัฐมนตรีที่มิชอบอย่างใกล้ชิด และให้แสดงออกต่อบุคคลเหล่านี้ในแนวทางสันติ อหิงสา เพื่อให้หยุดการกระทำที่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ และเจตจำนงของกฎหมายรัฐธรรมนูญ

ท่ามกลางข่าวลือว่านายสุเทพได้เข้าหารือทหารทั้ง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก, พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ และพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก ที่ ร.1รอ. นายสุเทพได้ประกาศให้มวลชนรอคำตอบของนางสาวยิ่งลักษณ์ 24 ชั่วโมง

หลายฝ่ายคาดว่า “นายกฯ ยิ่งลักษณ์” จะประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกฯ ไปตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ 10 ธ.ค.แน่ แต่ปรากฏว่าคำตอบคือ “ไม่” และยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีกว่า ตำรวจอย่าง “พลเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว” ผบ.ตร.ก็ไม่มีทางไปรายงานตัวกับนายสุเทพเช่นกัน เพราะมองว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้อง ขณะที่ข้าราชการก็ไม่มีใครกล้าไปรายงานตัวกับนายสุเทพเหมือนกัน เพราะหากนายสุเทพแพ้ ย่อมหมายความว่า ข้าราชการที่ไปรายงานตัวจะเข้าข่ายเป็น “กบฏ” ร่วมทันที

พลังประชาชนจะนำไปสู่การปฏิวัติประชาชนได้ยังไง การขับไล่คนตระกูล “ชินวัตร” เป็นเป้าหมายที่ทำได้หรือไม่ เมื่อนายกฯ ตัดสินใจ เฉย หรือ สู้ ดังนั้นหนทางในการต่อสู้ของนายสุเทพจะเป็นอย่างไร?

ไล่ตระกูลชินวัตรไม่ได้!

พลเอกเอกชัย ศรีวิลาภ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธี และธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า ระดับของการไล่ตระกูล “ชินวัตร” เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ เพราะไม่มีกฎหมายรองรับ

แต่ในระดับการออกจากการเป็นรัฐบาลรักษาการณ์ หรือนายกฯ ลาออกนั้น สามารถทำได้ หากรัฐบาลยิ่งลักษณ์นำเรื่องทูลเกล้าฯ กราบบังคมทูลขอเว้นจากการทำหน้าที่ เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองมีความวุ่นวาย แต่ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่านางสาวยิ่งลักษณ์ไม่เลือกทางนี้

โดยคณะกรรมการกฎหมาย ซึ่งนายกฯ ได้แต่งตั้งขึ้นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ไม่สงบที่เกิดขึ้น ประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นรองประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา พลตำรวจเอกเอก อังสนานนท์ เป็นกรรมการ และอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นกรรมการและเลขานุการ ได้ร่วมกันประชุมเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2556 และมีข้อสรุปไม่ทำตามคำสั่งของ กปปส. เพราะจะต้องไม่เกิดสุญญากาศของการบริหารประเทศ จะเป็นการกระทำผิดมาตรา 181 ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ

พลเอกเอกชัยกล่าวว่า การไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการตามมาตรา 157 ยังเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้นายกฯ และครม.ไม่กล้าลาออก เนื่องจากหวั่นเกรงว่าจะมีผู้ไปร้องเรียนและนำไปสู่การยุบพรรคได้เช่นกัน

ดังนั้น นายกฯ ยิ่งลักษณ์มีเหตุผลที่จะไม่ลาออกในเวลานี้ และยิ่งข้าราชการต่างๆ โดยเฉพาะทหาร และตำรวจไม่เล่นด้วยกับนายสุเทพด้วยการ “ไม่ฟัง” คำสั่ง กปปส.แต่อย่างใด ดูเหมือนว่านาทีนี้นายกฯ ยิ่งลักษณ์จะได้เปรียบ

พลเอกเอกชัยมองว่า การต่อสู้ของนายสุเทพต่อจากนี้ไปเป็นสิ่งที่น่าจับตามองอย่างมากว่าจะนำไปสู่การทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองได้อย่างไร

โดยส่วนตัวมองว่าต่อจากนี้ไปจะต้องดูใน 3 ส่วน คือ รัฐบาล (คณะรัฐมนตรี), สภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ว่าจะนำไปสู่การเป็น “สุญญากาศ” ได้หรือไม่

ส่วนรัฐบาล ก็เป็นที่ชัดเจนว่า นายกฯ ไม่ลาออก ครม.ที่ประกอบด้วยพรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่ลาออกจากการเป็น ครม.

สำหรับสภาผู้แทนราษฎร ขณะนี้เมื่อมีโปรดเกล้าฯ ยุบสภาแล้ว ก็ถือว่า ส.ส.พ้นจากอำนาจหน้าที่ไป

ขณะที่ส่วนของวุฒิสภา ที่ขณะนี้ทาง กปปส.ก็มีการเรียกร้องให้ ส.ว.ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อนำไปสู่การมีสุญญากาศทางการเมืองด้วยแล้วนั้น ก็ยังไม่มีท่าทีที่ ส.ว.จะลาออกแต่อย่างใด อาจจะมีเพียง 40 ส.ว.ที่ลาออกหรือไม่ หากมีแค่ 40 ส.ว.ลาออกก็ไม่ได้ทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองได้

นับว่าขณะนี้นายสุเทพเจอโจทย์หินสุดๆ เข้าไปแล้ว!

เพราะกลไกทางอำนาจ ไม่ได้อยู่ในฝ่ายนายสุเทพแต่อย่างใด

11 ธันวาคม 2556 แถลงการณ์ของนายสุเทพ ในเวลา 15.30 น. เป็นคำตอบที่ชัดเจน เมื่อนายสุเทพประกาศว่า วันที่ 12 ธันวาคม 2556 จะขอเข้าพบ ผบ.สส., ผู้บัญชาการเหล่าทัพ, ผบ.ตร เพื่อชี้แจงแนวทาง และถามว่าจะยืนเคียงข้างมวลมหาประชาชนหรือไม่ ก่อนที่จะนัดพบองค์กรภาคเอกชนเพื่อชี้แจงในขั้นตอนต่อไป

“ยากที่จะทำให้เกิดสุญญากาศ เพราะรัฐบาลมีข้ออ้างเรื่องเงื่อนไข ต่อไปที่ต้องจับตาคือ กปปส.จะทำอย่างไรไม่ให้มีการเลือกตั้งได้ หรือพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ส่งคนลงรับสมัคร ส.ส.เลยหรือไม่ ถ้าเช่นนั้นก็จะมีพรรคเล็กพรรคน้อยลงสมัครรับเลือกตั้งและได้รับคะแนนเสียงส่วนต้านพรรคเพื่อไทยไป ดังนั้นรัฐบาลชุดต่อไปจะเป็นรัฐบาลผสมที่ยิ่งกว่าผสมอีก”

ก็ยังไม่เห็นทางออกของประเทศ

เพราะการพิจารณาคดีของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ที่หลายฝ่ายคิดว่าจะเป็นตัวชี้ขาดทางการเมืองก็ยังต้องเดินไปตามกระบวนการ ที่ไม่สามารถจะพิจารณาได้ใน 3 วัน 5 วัน แต่ต้องใช้เวลาทั้งกระบวนการอีกเป็นเดือน

สุเทพขาดอำนาจรัฏฐาธิปัตย์

ด้าน พลเอกสมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา อดีตเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าวว่าตอนนี้ถึงจุดที่มองไม่ออกแล้วว่านายสุเทพที่ทำการปฏิวัติประชาชนจะนำไปสู่ชัยชนะได้อย่างไร เพราะไม่มีอาวุธ เมื่อไม่มีอาวุธก็ย่อมหมายถึงไม่ได้มีอำนาจเด็ดขาดอะไรเลยที่จะทำให้คนเชื่อฟัง ไม่เหมือนการปฏิวัติของทหาร

การปฏิวัติรัฐประหารของทหารมีข้อดีคือ มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยจะเริ่มต้นด้วยการล้มรัฐธรรมนูญ หรืองดใช้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้ทหารมีอำนาจรัฏฐาธิปัตย์แบบสมบูรณ์ โดยใช้ประกาศคำสั่งคณะปฏิวัติเป็นอำนาจสูงสุดแทนรัฐธรรมนูญ แล้วขั้นตอนต่อไปจะมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว เพื่อกำหนดกฎกติกาใหม่ในการตั้งคณะรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรี

ซึ่ง กปปส.ไม่ได้มีอำนาจเด็ดขาดเลย แม้ประชาชนจะสนับสนุนจำนวนมาก

ฝ่ายรัฐส่งสัญญาณ “รุก” ไม่มีถอย

พลเอกสมเจตน์กล่าวว่า ด้วยเหตุนี้บ้านเมืองจึงไม่มีทางออก เพราะตอนนี้นายกฯ ก็ยืนยันไม่ออก เพราะมีอำนาจรักษาการณ์ตามรัฐธรรมนูญ ซ้ำยังมองว่าตัวเองมาอย่างถูกต้องจากกติกาการเลือกตั้ง ดังนั้นไม่ได้เห็นว่าการออกมาชุมนุมขับไล่รัฐบาลของคนจำนวน 4-5 ล้านคนที่ผ่านมาเป็นเรื่องใหญ่ หากมองว่าเป็นคนจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับคนที่เลือกตั้งพรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาลคือ 15 ล้านเสียง

“ความจริงรัฐบาลต้องฉุกคิด และหันมามองว่าปัญหาอยู่ตรงไหน แล้วแก้ไข เพราะคนจำนวน 4-5 ล้านคนที่ออกมานั้น ไม่ใช่คนจำนวนน้อยแต่อย่างใด แต่พรรคเพื่อไทยไม่ได้เลือกจะคิดอย่างนั้น”

ส่วนปัญหาของทางฝ่ายนายสุเทพมองว่าระบอบทักษิณที่เป็นเผด็จการ และการเลือกตั้งเป็นวงจรอุบาทว์ จำเป็นที่จะต้องหยุดวงจรนี้ ปรับระบบใหม่ ก่อนเดินหน้าประชาธิปไตยด้วยการเลือกตั้งต่อไป

นายสุเทพมองว่าเป็นปัญหา แต่นางสาวยิ่งลักษณ์มองว่าไม่เป็นปัญหา

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง จึงยังออกมาขู่เอาผิดนายสุเทพฐานกบฏ ส่วนนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ก็ออกมาประกาศพร้อมเลือกตั้ง, ขณะที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ สั่งให้ดีเอสไอรวบรวมคดีกระทำผิดของนายสุเทพกว่า 40 คดีและสั่งเร่งเดินหน้าเต็มพิกัด ฯลฯ

ทุกความเคลื่อนไหว เป็นสัญญาณ “รุก” ไม่มีถอย!

2 ปัจจัย “ทหารเฉย”

ดังนั้นจุดนี้จึงเป็นจุดที่จะหาจุดจบลงตัวไม่ได้ เพราะการมองปัญหาไม่ตรงกันทำให้แก้ปัญหาคนละอย่าง แล้วก็จะกลับมาที่จุดของการตั้งคำถามเดิมว่าวันนี้ “อำนาจ”เป็นของใคร รัฐบาล หรือ นายสุเทพ

เถียงกันไป ทางออกจึงไม่มีให้เห็นเลยในเวลานี้

ส่วนในเรื่องของกองทัพหรือทหารนั้น พลเอกสมเจตน์ยืนยันว่าทหารไม่ออกมาอย่างแน่นอน เพราะ 1. นานาชาติไม่ยอมรับการปฏิวัติรัฐประหาร และ 2. การปฏิวัติจะนำไปสู่การระดมพลคนเสื้อแดงออกมาต่อสู้

โอกาสคลี่คลายทางการเมืองเวลานี้จึงเป็นศูนย์ มองไม่เห็นทางออก!

กำลังโหลดความคิดเห็น