‘ทักษิณ-เสื้อแดง-เพื่อไทย’ ฟัดกันนัวหลังก้าวพลาด ถูกศาล รธน.ตีตราล้มระบอบประชาธิปไตย แถมถูก ปชป.ขยายผลดึงมวลชน 1 ล้านขับไล่ 24 พ.ย.นี้ ด้านผลโพลภายในพรรค พบยุบสภาเลือกตั้ง พื้นที่เหนือ-อีสานจะสอบตกกว่า 70 ที่นั่ง กทม.คะแนนตกวูบ ฝ่ายมวลชนคนเสื้อแดงอัดยับชนะเลือกตั้งไม่ตอบแทน เงินก็ไม่ได้ คดีความก็เพียบ ส่วน ส.ส.หวั่นถูก ปปช.เชือด ถูกตัดสิทธิการเมือง 5 ปี ขณะที่ ‘ทักษิณ’ บอกถึงเวลาที่ทุกฝ่ายต้องฟังตนคนเดียว เท่านั้น!
ทันทีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กรณีที่มาของ ส.ว. เมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา เป็นที่ชัดเจนว่า แม้ท้ายที่สุดแล้วศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินไม่ยุบพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมอีก 5 พรรค แต่กลับมีนัยสำคัญทางการเมืองอย่างมาก เพราะศาลพูดถึงกระบวนการที่มาของการจัดทำกฎหมายที่ผิดทั้งหมดและเนื้อหาที่แก้ไขนั้นยังเป็นการส่อให้เห็นถึงการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยที่ชัดเจน
สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเด่นชัดที่สุด คือการประชุมคนเสื้อแดงที่ราชมังคลาฯ ที่ตอนแรกกะเตรียมคนมานอนค้าง กะเตรียมกำหนดท่าทีการต่อต้านอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ เป็นอันต้องพลิกเกมกลับอย่างรวดเร็ว
จากเตรียมรุนแรง กลายเป็น เงียบสนิท
ข้อเท็จจริงคือเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณฟังทีมยุทธศาสตร์ของพรรค จึงมีการสั่งให้ ส.ส.และ ส.ว.ประกาศไม่รับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ เตรียมทำลายความชอบธรรมของศาลรัฐธรรมนูญเต็มที่ แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าไม่ยุบพรรค เป็นอันว่า พ.ต.ท.ทักษิณก็ไปไม่ถูก
ดังนั้นเวลานี้ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกกับคนในพรรคว่าจากนี้ไปจะไม่ฟังใครทั้งนั้น ขอดึงอำนาจทั้งหมดกลับมาสู่มือตัวเอง และเตรียมสั่งการเองทั้งหมดในช่วงเวลาต่อจากนี้ไป เพราะที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องแก้ปัญหานั้น ไม่ใช่แค่เกมการเมือง แต่เป็นปัญหาภายในของพรรคเพื่อไทยและนปช.ที่ระส่ำอย่างหนัก
เพื่อไทยระส่ำหนัก-ทักษิณสั่งการคนเดียว
แหล่งข่าววงในพรรคเพื่อไทยเปิดเผยว่า เกมต่อจากนี้ไปวัดกันเป็นนาทีต่อนาที โดยคำสั่งทั้งหมดจะมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ คนเดียวเท่านั้น
“เดิมทีท่านทักษิณจะสั่งให้ทีมยุทธศาสตร์พรรคทำข้อเสนอส่งไป แล้วท่านจะดูและพิจารณา ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะฟังตามทีมยุทธศาสตร์พรรคที่ส่งไป แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว นับจากนี้ไม่เอา จะตัดสินใจด้วยตัวเองทั้งหมด”
ทั้งนี้เพราะพรรคเพื่อไทยก้าวพลาดครั้งใหญ่ นั่นคือการสั่งให้ ส.ส.-ส.ว.ประกาศไม่รับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญล่วงหน้า
เหตุนี้นอกจากจะหน้าแตกแล้ว ยังพลาดที่จะทำให้คนไปร่วมม็อบกับประชาธิปัตย์ที่ราชดำเนินมากขึ้นในวันที่ 24 พ.ย.นี้
ที่สำคัญตอนนี้ภายในพรรคเพื่อไทยถือว่าระส่ำอย่างที่สุดด้วย ทั้งเรื่องมวลชน เรื่อง ส.ส. เรื่อง นปช. อยู่ในระดับที่ป่วนไปหมด
“คนเสื้อแดงที่รวมกันมาได้ ไม่ใช่จากพลังของกลุ่ม นปช.นะ อย่าเข้าใจผิด ส.ส.เป็นคนระดมมวลชนมา วันนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมแล้ว ชาวบ้านเขาเจ็บปวด โดยเฉพาะแกนนำในพื้นที่ที่ไม่ใช่ตัวหลัก เขาต้องถูกดำเนินคดี เขาต้องสูญเสีย และเขาคิดว่าตอนที่พรรคชนะเลือกตั้ง เขาจะได้สิ่งตอบแทนที่เป็นเงิน แต่ความจริงคือเขาไม่ได้ มีแต่แกนนำ นปช.ที่รวยขึ้น แต่เขาลำบาก ดังนั้น นปช.ไม่ได้ระดมคนได้มากมายอีกต่อไป คนที่ระดมคนมาคือ ส.ส.ที่ต้องช่วยกัน”
อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ว่ามวลชนคนเสื้อแดงจะเริ่มถอยห่างพรรคเท่านั้น แต่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยตอนนี้ก็ระส่ำมาก สาเหตุคือ ส.ส.ไม่ได้กลัวว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินให้มีการยุบพรรค เพราะจะมีเหตุผลให้เดินหน้าทางการเมืองต่อได้ แต่ที่น่าเป็นห่วงอย่างมากคือการที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นเรื่องไปที่ ป.ป.ช. หรือสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เหตุผลคือ ป.ป.ช.มีสิทธิที่จะชี้มูลความผิดคณะรัฐมนตรีทั้งคณะได้ทันที รวมทั้ง ส.ส. ส.ว.312 คนด้วย
“ศาลรัฐธรรมนูญก็ตัดสินให้ยุบพรรค เป็นคดีทางการเมือง แต่ถ้าเรื่องไปอยู่ ป.ป.ช. มันเป็นคดีทุจริต สังคมรับไม่ได้กับเรื่องทุจริตอยู่แล้ว ดังนั้นความเสียหายจะมีอย่างมาก โดยเฉพาะกับเรื่องคะแนนนิยม”
ส.ส.เหนือ-อีสาน 70 คนคะแนนตกฮวบ!
แหล่งข่าวพรรคเพื่อไทยกล่าวต่อว่า เมื่อ 7 เดือนก่อนพรรคสำรวจคะแนนนิยมในพื้นที่ไปแล้ว ปรากฏว่ามี ส.ส.ถึง 70 คนในภาคอีสานและเหนือ ที่ต้องเข้าห้องเย็น เพราะคะแนนนิยมตกลงอย่างมาก
“ตอนนี้อีสานก็ตก เหนือก็ตก ยิ่งตอนนี้ไม่ต้องพูดถึง กทม.และปริมณฑล ที่คะแนนตกลงอย่างมาก”
ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ก็อาจเกิดขึ้นได้ แต่ไม่ใช่ผลดีกับพรรคเพื่อไทยนัก
“ถ้าชนะมาแค่ 10-20 คะแนน จะมีประโยชน์อะไร พรรคร่วมอย่างคุณบรรหารเขาจะยังร่วมอยู่ไหม ไม่มีทางแน่ เพราะกระแสประชาชนไม่เอาพรรคเพื่อไทย พรรคไหนมีโอกาสได้เปรียบ พรรคคุณบรรหารก็เข้าร่วมอันนั้นแหละ มันก็เสี่ยงมาก”
ที่สำคัญ ตอนนี้ ส.ส.มองหน้าประชาชนในพื้นที่ไม่เต็มที่นัก
“คนเสื้อแดงเองที่ออกมาเคลื่อนไหวครั้งก่อน ตอนนี้เขาก็ไม่ได้รับการตอบแทน เขาก็ยากจนอยู่ ตอนนี้ข้าวของก็แพง ทีนี้ ส.ส.ก็ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะตอบคำถามอย่างไรในพื้นที่”
“ตอนนี้ ส.ส.ก็อึดอัด เชื่อไหม ท่านจารุพงศ์สั่งลุย 291 ส.ส.ลุกหนีกันหมด ใครจะไปเอาด้วย ตอนนี้กระแสประชาชนเขาไม่เอา ทั้ง ส.ส.ก็กลัว ส.ว.ก็กลัว ทุกคนเริ่มถอย”
ดังนั้นสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่ขณะนี้ดูเหมือนทุกอย่างกลับไปเข้าทางฝ่ายต้านระบอบทักษิณอย่างเต็มที่
“พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้มีแค่คนที่มาเอง แต่เขามีการบริหารจัดการคนมาด้วย ไม่ต้องห่วงว่าวันที่ 24 พ.ย.นี้เขาจะคนน้อย เพราะเขาสั่ง ส.ส. สั่ง ส.ก. ส.ข. ระดมพลได้ รวมกับม็อบธรรมชาติที่มาเองด้วย คนเยอะแน่”
แต่จะนำไปสู่การนองเลือดหรือไม่ เวลานี้กลับไม่มีใครรู้
“ตอนนี้การตัดสินใจทั้งหมดจะอยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณคนเดียว อย่าลืมนะพรรคเป็นของใคร”
ปชป.เดิน 2 ขา หนึ่งนำมวลชน-หนึ่งสู้ตามกม.
ด้านพรรคประชาธิปัตย์ ก็มียุทธศาสตร์ ยุทธวิธีการต่อสู้เพื่อโค่นระบอบทักษิณ และครั้งนี้เขาเลือกใช้วิธีการโค่นแบบ 2 ขา ขาหนึ่งเป็นการสู้นอกสภาด้วยการนำมวลชนม็อบราชดำเนิน อีกขาหนึ่งต่อสู้ในสภายึดข้อกฎหมายที่เปิดช่องไว้ด้วยการเดินสายฟ้องร้องตามกระบวนการยุติธรรม
ในขานำมวลชนม็อบราชดำเนิน แหล่งข่าว ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า วันที่ 24 พ.ย.นี้ถ้าประชาชนออกมาถึง 1 ล้านคน ประเทศชาติก็จะเดินไปสู่การเปลี่ยนแปลง
แต่ถ้าไม่ถึง โอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะประกาศเลิกก็มีสูงเช่นกัน
“อยู่ที่ประชาชนจริงๆ นะ เหมือนตอนมาราชดำเนิน เราก็ไม่คิดว่าจะมาราชดำเนิน ไม่คิดมาก่อนเลย สถานการณ์พาไปจนเราต้องมาตั้งม็อบราชดำเนิน”
แต่คำถามคือ ถ้าประชาชนออกมาเรือนแสนไม่ถึงล้านคน ประชาธิปัตย์คงไม่อาจทู่ซี้ต่อ
“ม็อบต้องใช้เงินนะ ค่าไฟ ค่าเวที ทุกอย่างใช้เงินเยอะมาก ถ้าประชาชนไม่ออกมาก็ไม่รู้จะยื้อไว้ทำไม ต้องเสียเงินจำนวนมากทุกวัน มันก็ชัดว่าประชาชนทนระบอบทักษิณได้ อยู่กับมันได้ เราก็ทำอะไรไม่ได้”
อย่างไรก็ดี ถ้าเกมนอกสภาด้วยการต่อสู้ของมวลชนพ่าย ประชาธิปัตย์ยังเหลืออีกขาที่เดินคู่กัน คือการต่อสู้ไปตามขั้นตอนกระบวนการทางกฎหมาย และกระบวนการในสภาฯ
นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากระบวนการทำกฎหมายผิดทั้งหมด ดังนั้นต้องมีคนรับผิดชอบ 4 คนแน่ๆ คือ
1.นายอุดมเดช รัตนเสถียร ในฐานะประธานวิปรัฐบาล ซึ่งเป็นผู้จัดทำเอกสารที่มีการแก้ไขภายหลัง
2.นายนริศร ทองธิราช ส.ส.สกลนคร เขต 3 พรรคเพื่อไทย ที่กดบัตรลงคะแนนแทนคนอื่นๆ
3.นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา
4.นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา
“นอกจากนายกรัฐมนตรีแล้ว 4 คนนี้จะต้องรับผิดชอบ เพราะมีความผิด แล้วถ้าไม่รับผิดชอบ ต่อไปใครจะแก้เอกสารที่ผ่านสภาฯ แล้วอย่างไรก็ได้ ใครจะลงคะแนน ลงชื่อแทนกันก็ได้หมด มันไม่ใช่”
อีกทั้ง ส.ส.-ส.ว.ที่ลงชื่อทั้งหมด รวมแล้วไม่ใช่ 312 คน แต่เป็น 358 คน ในจำนวนนี้มีชื่อ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมอยู่ด้วย ซึ่งในเรื่องนี้ประชาธิปัตย์คงไม่วางเฉย
พร้อมอภิปรายฯ-พุ่งเป้านายกฯ
ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์มีการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตั้งแต่สัปดาห์ก่อนและประธานสภาฯ ไม่ยอมรับ เนื่องจากอ้างว่าเอกสารไม่ครบ แต่วันนี้ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ทำจดหมายยืนยันแล้วว่าเอกสารครบถ้วนสมบูรณ์
ซึ่งในขณะนี้สภาฯ ได้รับญัตตินี้แล้ว แต่หากไม่ยอมรับ พรรคประชาธิปัตย์เตรียมพร้อมไปร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.ทันทีเช่นกัน ในข้อหาร้ายแรงที่ว่า เจ้าหน้าที่รัฐงดเว้นการปฏิบัติตามหน้าที่ มีโทษสูงถึงจำคุก ซึ่งเป็นโทษรุนแรง
อย่างไรก็ตาม คาดว่าวันพุธ-พฤหัสฯ ที่ 27-28 พฤศจิกายนนี้ก็จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยพุ่งเป้าไปที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เต็มๆ ตามแผนเดิม
ศึกการเมืองครั้งนี้สู้กันดุเดือด พลิกเกมกันนาทีต่อนาที ไม่รู้แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ที่แน่ๆ พ.ต.ท.ทักษิณกุมอำนาจสั่งการทุกอย่างไว้ในมือ มีสิทธิสั่งการให้เกิดความรุนแรงได้ทุกเมื่อ!