xs
xsm
sm
md
lg

ไทยพร้อมรบ เขมรข่มขวัญ กลศึกยกสุดท้ายคดีพระวิหาร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ถึงแม้จะออกมาให้สัมภาษณ์ด้วยท่าทีสุขุม ขอให้ใจเย็นๆ รอฟังคำพิพากษาของศาลโลกที่คาดว่าจะตัดสินในปลายนี้ปีนี้ก่อน แต่พล.อ.ประยุทธ์ จันทน์โอชา ผู้บัญชาการกองทัพบก (ผบ.ทบ.) ก็แข็งกร้าวในทีโดยยืนหยัดมาตลอดว่าถ้าถึงเวลาต้องรบทหารไทยไม่กลัวใครอยู่แล้ว และยืนยันยังคงรักษาเขตแดนเดิมทุกตารางนิ้ว ไม่มีการสูญเสียอะไรทั้งสิ้น

จะถามสักกี่ครั้ง ผบ.ทบ.ก็ตอบชัดเช่นนี้ “…ท้ายสุดแผ่นดินเป็นส่วนที่เราต้องรักษาไว้ให้ได้ ต้องเริ่มด้วยกฎหมายก่อน เรื่องกำลังใช้เมื่อไหร่ก็ใช้ได้ ไม่ต้องห่วง เราพร้อมอยู่แล้ว”

สถานการณ์ของศึกยกสุดท้ายในคดีปราสาทพระวิหารที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก มีกำหนดให้ประเทศไทยและกัมพูชาแถลงปิดคดีด้วยวาจาระหว่างวันที่ 15-19 เมษายนนี้ ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ สร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลและฝ่ายทหารของทั้งสองประเทศไม่ใช่น้อย เพราะไม่ว่าคำตัดสินของศาลโลกจะออกมาในรูปการณ์ใดย่อมสร้างผลสะเทือนต่อประเทศคู่กรณีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะที่ความเคลื่อนไหวของภาคประชาชนที่มีต่อคดีปราสาทพระวิหารของทั้งสองชาติก็แรงไม่แพ้กัน
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งกำลังฝ่าด่านแรงต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กฎหมายนิรโทษกรรม พ.ร.บ.เงินกู้ฯ ถูกขย่มซ้ำถึงขั้นโค่นล้มแน่หากแพ้คดีปราสาทพระวิหาร เช่นเดียวกับรัฐบาลฮุนเซน ที่มีเดิมพันอนาคตทางการเมืองในการเลือกตั้งในเร็วๆ นี้ หากคดีนี้กัมพูชาเพลี่ยงพล้ำให้ไทย ฮุนเซน ก็เสวยสุขอยู่ในอำนาจได้ลำบากขึ้นเช่นกัน

เดิมพันอนาคตทางการเมืองของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และรัฐบาลฮุนเซน จึงขึ้นอยู่กับคดีนี้เป็นสำคัญ
เช่นเดียวกันกับฝ่ายทหาร ซึ่งมีหน้าที่รักษาเขตแดนและอธิปไตยของชาติ ทั้งสองฝ่ายต่างแสดงจุดยืนและท่าทีที่จะส่งผลให้ฝ่ายตนเองเป็นต่อในคดีที่กำลังต่อสู้กันในยกสุดท้าย

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.เน้นย้ำว่า ยังคงรักษาเขตแดนเดิมจะไม่มีการสูญเสียอะไรทั้งสิ้น ต้องรอดูว่าศาลโลกจะมีคำพิพากษาอย่างไรในช่วงปลายปีนี้ ถ้าตัดสินออกมาถ้าเป็นคดีเดิมก็ต้องฟังเขา แต่ถ้าเป็นคดีใหม่ ก็ต้องว่ากันใหม่ ซึ่งเราไม่ต้องฟังก็ได้

นัยและรายละเอียดของคำว่าถ้าเป็นคดีใหม่เราไม่ต้องฟังก็ได้นั้นมีความหมายอะไรซ่อนอยู่ และจะส่งผลต่อการกำหนดท่าทีตอบโต้เช่นใด เป็นเรื่องที่รอดูเมื่อเวลานั้นมาถึง แต่คาดหมายได้ว่าคงไม่ใช่การเปิดฉากรบกันฉับพลันทันทีแน่นอน เพราะท่าทีของผบ.ทบ. ชัดเจนว่า หากผลตัดสินออกมาไม่ดีก็ต้องว่ากันต่อไปว่าจะทำอย่างไร โดยทางฝ่ายความมั่นคงกับฝ่ายบริหารจะปรึกษากันว่า ทำอย่างไร ไม่ใช่อยู่ดีๆ ผลการตัดสินออกมาแล้วรบกัน เพราะไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อน อีกทั้งยังมีประเด็นเรื่องเศรษฐกิจ การค้าขายที่ต้องคำนึงถึงด้วย

"ขอให้ใจเย็นๆ เดือนเมษายนนี้ ยังไม่ได้ตัดสิน เป็นการแถลงด้วยวาจาครั้งสุดท้าย ต่างฝ่ายต่างก็เอาหลักฐานมาว่ากัน แสดงความชอบธรรม รอปลายปีที่เป็นช่วงที่ศาลโลกพิพากษา ยังมีเวลาอีกมาก ประชาชนต้องใจเย็นๆ และต้องเข้าใจว่า ผมไม่เคยแบ่งข้างกับใคร เพราะเจ้าหน้าที่แบ่งข้างไม่ได้ เห็นใจพวกผมหน่อย เจ้าหน้าที่ต้องทำตามบรรทัดฐาน และหลักการที่มีอยู่ โดยเอกสาร กฎหมาย ใครจะว่าอย่างไรก็ต้องหนักแน่น และมีกระบวนการแก้ไขปัญหา แต่ถ้าทหารจะทำอะไรที่ตัวเองคิดก็ต้องขออนุมัติผู้บังคับบัญชาทั้งกระทรวงกลาโหมและรัฐบาล ไม่ใช่ทหารคิดแล้วทำได้เลยโดยไม่ฟังใคร ทุกอย่างมีอำนาจในการบริหารอยู่ ท้ายที่สุดทุกคนไม่อยากให้เราเสียดินแดนและไม่กล้าทำอะไรที่ผิดกฎหมาย" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้ำ

ขณะที่ฝ่ายกัมพูชานั้น งัดแผนซ้อมรบออกมาข่มขวัญ สยบคำอวดโอ่พร้อมรบของฝ่ายไทย โดยสำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันอังคาร (2 เมษายน) ที่ผ่านมา กัมพูชาได้มีการซ้อมรบที่จังหวัดกัมปงสะปือ ห่างจากเมืองหลวงกรุงพนมเปญไปทางตะวันตกราว 70 กิโลเมตร โดยใช้กระสุนจริงในการซ้อมเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับกองทัพบกในการป้องกันบูรณาการแห่งดินแดน

พล.อ.เตีย บัณห์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ให้สัมภาษณ์ขณะเดินทางไปให้กำลังใจเหล่าทหารถึงสนามซ้อมรบว่า กองทัพได้ใช้ระบบเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้องบีเอ็ม-21 (ขนาด 122 มม.) และปืนใหญ่ 130 มม. ซึ่งการซ้อมรบครั้งนี้เป็นการทดสอบเทคโนโลยีของยุทโธปกรณ์ชุดใหม่ของกองทัพ

"กองกำลังของเราประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบในการซ้อมรบ กระสุนของเราเข้าเป้าทั้งหมด" พล.อ.เตีย บัณห์ กล่าว และว่าการซ้อมครั้งนี้ได้มีการยิงจรวดหลายลำกล้องบีเอ็ม-21 ไป 98 นัด และปืนใหญ่ 130 มม.ไป 24 นัด มีทหารเข้าร่วมซ้อม 1,450 นาย

รมว.กลาโหมกัมพูชา ย้ำว่า การฝึกยิงจรวด BM-21 กับการซ้อมรบที่จัดขึ้นในวันอังคาร เป็นการสร้างความสามารถในการใช้อาวุธทันสมัย ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการไต่สวนของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในกรณีปราสาทพระวิหาร ที่จะเริ่มขึ้นในเร็วๆ นี้ในกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์

เช่นเดียวกับ พล.ท.เอ็ต สารัต รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพบกกัมพูชา เปิดเผยว่า เครื่องยิงจรวดหลายลำกล้องบีเอ็ม-21 ยิงเป้าหมายในระยะ 16 กิโลเมตร "การซ้อมยิงครั้งนี้ เป็นการแสดงเกียรติภูมิของชาติ ไม่ได้เป็นการข่มขู่ประเทศใด หลังจากที่พวกเราฝึกกันมาเป็นเวลา 4 เดือน"
ถึงฝ่ายทหารจะยืนยันว่าการซ้อมรบไม่เกี่ยวกับการไต่สวนคดีของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศกรณีปราสาทพระวิหาร แต่เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรีกัมพูชาฮุนเซน ได้สั่งให้ทหารหน่วยต่างๆ เตรียมพร้อม เพื่อรับมือกับ "กลุ่มหัวรุนแรงในประเทศไทย" ที่อาจจะก่อการรุกล้ำอธิปไตยกัมพูชาในช่วงที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเปิดการไต่สวนในกลางเดือนเมษายนนี้

ออกอาการห้าวตามสไตล์ฮุนเซน แถมก่อนหน้านี้ยังอวดโอ่ด้วยว่า จรวด BM-21 มีราคาลูกละ 1,200-3,800 ดอลลาร์ และไม่ว่าจะราคาแพงขนาดไหน หรือลูกละ 100,000 ดอลลาร์ก็จะตจ้องซื้อหามาใช้ เพราะเป็นความจำเป็น

การซ้อมรบครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 2 แล้วที่กองทัพกัมพูชาซ้อมรบด้วยกระสุนจริงจากระบบยิงจรวดหลายลำกล้อง ก่อนหน้านี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2553 ซึ่งยิงไป 215 ลูก ในระยะ 20 กิโลเมตร และ 40 กิโลเมตร และกระสุนเข้าเป้าหมายทั้งหมด

จรวดชุดแบบไม่นำวิถีที่ผลิตในอดีตสหภาพโซเวียตขนาด 122 มม. ที่ยิงจากพาหนะบรรทุก เป็นอาวุธที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่แสวงหาอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงและราคาไม่แพงจนเกินไป สำหรับการยิงคลุมพื้นที่ เพื่อทำลายกำลังทหารราบ ยานลำเลียงพล ตลอดจนรถถังของฝ่ายข้าศึกในพื้นที่ๆ กำหนด มีรัศมีในการยิงทำลายราว 40 กิโลเมตร นับเป็นแสนยานุภาพหนึ่งของกองทัพกัมพูชา ซึ่งในระหว่างการปะทะตามแนวชายแดนด้านปราสาทพระวิหารในปี 2552-53 และในปี 2554 ฝ่ายกัมพูชาได้นำจรวด BM-21 ไปยิงหวังทำลายที่ตั้งปืนใหญ่หรือที่ตั้งรถถังของฝ่ายไทย แต่จรวดไปตกลงในหมู่บ้านตามแนวชายแดนของไทย ทำให้บ้านเรือนราษฎรพังหรือเสียหายไปหลายหลังและมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สู้รบกันด้วย

อย่างไรก็ตาม นาทีนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการซ้อมรบของกัมพูชาแต่อย่างใด เพราะถือเป็นเรื่องปกติ แต่ละประเทศต้องการมีซ้อมรบอยู่แล้ว ส่วนการที่จะรบกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งในการป้องกันประเทศมีขั้นตอนอยู่แล้ว หากมีการรุกล้ำเขตแดน อำนาจในการสั่งให้รบอยู่ที่ ผบ.ทบ. ที่ต้องสั่งการไปยังแม่ทัพภาค 2 แต่ก็ต้องมีการพูดคุยกันก่อน หากไม่ทำตามจึงจะมีการรบ

“รบในปัจจุบันเป็นไปเพื่อการเจรจาอยู่แล้ว เพราะสุดท้ายต้องอยู่บนเวทีเจรจา อย่างไรก็ตามการทำสงครามไม่ใช่เรื่องที่ดีเพราะประเทศไทยกำลังเข้าสู้ประชาคมอาเซียนที่จะต้องแข่งขันด้านเศรษฐกิจ แต่การรบเป็นเพียงกระบวนการปกป้องประเทศเท่านั้น”

สำหรับการเตรียมความพร้อมด้านการต่อสู้คดีในศาลโลกนั้น ขณะนี้ฝ่ายไทยการจัดทำถ้อยแถลงด้วยวาจาต่อศาลโลกเสร็จเรียบร้อยแล้ว และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 31 มีนาคม ที่ผ่านมา และจากการบรรยายสรุปให้สื่อมวลชนฟังเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2556 ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นายณัฎฐวุฒิ โพธิสาโร รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า กระบวนการชี้แจงด้วยเอกสารของไทยเสร็จสิ้นแล้ว มีประมาณ 1,300 หน้า ขณะที่กัมพูชามี 300 หน้า ซึ่งในวันที่ 15 เมษายนนี้ ศาลให้เปิดเผยต่อสาธารณชนได้

ส่วนจุดตายที่ฝ่ายไทยจะใช้เป็นประเด็นในการต่อสู้นั้น รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ อธิบายว่า ต้องย้อนกลับไปดูข้อเท็จจริงของคดี โดยเฉพาะเมื่อปี 2502 หรือ 50 ปีที่แล้ว กัมพูชาเพิ่งได้เอกราชยื่นฟ้องไทยขอให้ศาลโลกตัดสิน 2 ข้อ 1.ให้ไทยถอนกำลังออกจากปราสาทพระวิหาร และ 2.ให้ศาลบอกให้ปราสาทเป็นของกัมพูชา ซึ่งไม่มีเรื่องเขตแดน กระทั่งปี 2505 กัมพูชาขอเพิ่มอีก 3 ประเด็น คือ
1.ขอให้ศาลตัดสินชี้ขาดเขตแดนไทยกัมพูชา 2.ให้เป็นไปตามแผนที่ 1:200000 และ 3.ขอให้ไทยส่งคืนวัตถุโบราณ

คำขอให้ศาลโลกตัดสินทั้งหมด 5 ข้อของกัมพูชา ศาลโลกตัดสิน 3 ข้อเท่านั้น คือ 1. ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา 2.ให้ไทยถอนกำลังออกจากปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบ ส่วนคำขอเพิ่ม 3 ข้อหลัง ศาลให้ไทยส่งคืนวัตถุโบราน แต่ไม่ยอมชี้เรื่องเส้นเขตแดนและแผนที่ ทั้งที่ๆ กัมพูชาขอในคำฟ้อง นี่คือจุดที่ไทยจะใช้ในการต่อสู้ ซึ่งเชื่อว่าการตีความไม่สามารถออกนอกกรอบคำพิพากษาเดิมได้

เช่นเดียวกับ ดร.วีระชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก ในฐานะทีมสู้คดีของฝ่ายไทย ที่ย้ำถึงเป้าหมายสูงสุดของฝ่ายไทย คือ อยากให้ศาลโลกตัดสินว่าศาลโลกไม่มีอำนาจเพราะคำขอของกัมพูชาออกนอกกรอบคำตัดสินเดิม

"เราอยากให้ศาลตัดสินว่า เมื่อปี 2505 ศาลมิได้ตัดสินว่า เส้นเขตแดนเป็นไปตามแผนที่ 1: 200000 นี่คือเป้าหมาย"

อีกไม่นานก็จะได้รู้กันว่า ผลแห่งคดีจะออกมาเช่นใด และเมื่อถึงเวลากองทัพจะพร้อมรบเพื่อรักษาเขตแดนทุกตารางนิ้วจริงหรือไม่
กำลังโหลดความคิดเห็น