xs
xsm
sm
md
lg

คนไทยนิยมหาฤกษ์ผ่าคลอด “สูตินรีแพทย์” เตือนผ่าดึก แม่และเด็กเสี่ยง!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
โหรชี้ “แฟชั่นผ่าตัดคลอด” กำลังมา เก็บสถิติชีวิตเด็กเกิดตามฤกษ์ ดวงแจ๋ว ไม่มีเจ๊ง สร้างผลงานวิชาการย้ำความมั่นใจวงการโหราศาสตร์ ด้านซินแสแนะนำสร้างบุญ 3 วิธี เสริมบารมีก่อนเด็กเกิดดีกว่าวางฤกษ์อย่างเดียว ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์ฯ เผยแนวโน้มผ่าคลอดสูงขึ้น เพราะการแพทย์ก้าวหน้า แต่ต้องผ่าในเวลาที่เหมาะสม และต้องไม่ใช่ “ยามวิกาล” จะเกิดความเสี่ยง หากเกิดภาวะแทรกซ้อน!

วิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าส่งผลให้พ่อแม่ยุคใหม่ตัดสินใจเลือกวิธีผ่าท้องคลอดมากขึ้น ด้วยเหตุผลทั้งด้านความสะดวก ปลอดภัย และทำให้คุณแม่เจ็บน้อยกว่า หลายประเทศจึงมีอัตราการผ่าคลอดสูงขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงประเทศไทย ถึงแม้ว่าในโรงพยาบาลของรัฐบาลจะยังส่งเสริมให้คลอดธรรมชาติ เนื่องจากค่าใช้จ่ายถูกกว่าเป็นเท่าตัว และในแผนพัฒนาประเทศของรัฐได้มุ่งลดอัตราการผ่าคลอดเพื่อลดรายจ่ายของประเทศ ทำให้ปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราการผ่าคลอดอยู่ที่ประมาณร้อยละ 34 สูงกว่าหลักปฏิบัติขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่กำหนดอัตราการผ่าคลอดไว้ว่าไม่ควรเกินร้อยละ 15

อย่างไรก็ตาม ทางฟากโรงพยาบาลเอกชนนั้นกลับมีอัตราการผ่าคลอดทะยานสูงเกือบ 100% แล้ว เพราะมีคนจำนวนมากสมัครใจเลือกวิธีผ่าท้องคลอด เพื่อกำหนดชะตาชีวิตเด็กตาม “ฤกษ์เกิด” ที่เสาะหามาตามความเชื่อเฉพาะตัว

ในโรงพยาบาลรัฐส่วนใหญ่ พ่อแม่จะเลือกได้เฉพาะวันเกิดเท่านั้น แต่ไม่สามารถเลือกเวลาเกิดได้ โดยฤกษ์วันซึ่งเป็นที่นิยมเลือกคือวันเสาร์กับอังคาร ขณะที่โรงพยาบาลเอกชนไฟเขียวให้ผ่าคลอดได้ทั้งวันและเวลาที่พ่อแม่ระบุมา แต่อัตราค่าใช้จ่ายก็ทวีสูงขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นเดียวกัน โดยสนนราคาแพกเกจผ่าคลอดของโรงพยาบาลเอกชนบางแห่งเกือบเหยียบตัวเลขหลักแสนเลยทีเดียว

อาทิ โรงพยาบาลกรุงเทพ ผ่าตัดคลอดแบบเหมาจ่าย 59,000 บาท, โรงพยาบาลพญาไท 2 ผ่าตัดคลอดแบบเหมาจ่าย 55,000 บาท โรงพยาบาลบีเอ็นเอช ผ่าตัดคลอด 55,900-58,000 บาท ครรภ์แฝด 85,000 บาท และโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ผ่าตัดคลอด 69,900 บาท ผ่าตัดคลอดแบบเหมาจ่าย 73,500 บาท

แต่พ่อแม่หลายคู่ก็เชื่อว่า “คุ้ม” ที่จะลงทุนเพื่อลูกตั้งแต่แรกเกิด!!!

‘โหรคอลัมนิสต์’ เก็บสถิติเด็กเกิด ‘ฤกษ์ดี’ ชีวิตรุ่งเรือง
 
นายบุศรินทร์ ปัทมาคม โหราจารย์และคอลัมนิสต์เขียนทำนายดวงชะตาในหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ระบุว่า เด็กที่เกิดในฤกษ์ที่ไม่มีดาวพระเคราะห์ใดตกที่เสียเลย จะเกิดมาสบาย ร่ำรวย ชีวิตจะประสบความสำเร็จ และไม่มีกรรมหนักมาตัดรอน เหมือนคนมีบุญมาเกิด

ผลลัพธ์ดังกล่าวถูกพิสูจน์จากการเก็บสถิติกับพ่อแม่ผู้ปกครองเด็กจำนวนกว่า 100 คนที่ได้รับฤกษ์เกิดจากเขาไปในระยะเวลา 18 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจากการติดตามผลพบว่า กว่า 90% พึงพอใจในบุตรหลานที่มักจะมีอุปนิสัยเชื่อมั่นในตัวเองตั้งแต่เด็ก พูดเก่ง ตื่นตัวอยู่เสมอ พ่อแม่อาจต้องยอมรับความดื้อและซน แต่เมื่อโตขึ้นจะเป็นเด็กฉลาด เป็นผู้นำคน และมีชะตาชีวิตที่ดี

“การเกิดของคนตามหลักโหราศาสตร์ไทยจะนับตั้งแต่เวลาที่หายใจครั้งแรก หากเรากำหนดเวลาหายใจครั้งแรกของเด็กได้ จะทำนายดวงชะตาได้ตลอดชีวิต ผมจึงเกิดความคิดที่จะเลือกเวลาเกิดที่ทำให้เด็กเกิดมารวย ไม่มีกรรมหนัก โดยวางดวงที่ลักขณาไม่มีดาวอะไรตกอยู่ในเรือนชะตาที่เสียเลย ไม่ว่าจะเป็นเรือนอริ หรือเรือนมรณะต้องว่าง และกำหนดให้เกิดในวันดี คือวันที่ดาวต่างๆ ให้คุณสูงสุด โดยเฉพาะดาวพระเคราะห์หลัก ซึ่งฤกษ์แบบนี้จะทำให้เด็กคนนั้นเหมือนเทวดามาเกิด ชีวิตจะประสบความสำเร็จรุ่งโรจน์ พ่อแม่ก็จะรู้สึกมีความสุข หมดห่วง และนอนตายตาหลับ”

โหรบุศรินทร์บอกอีกว่า ตนใช้ประสบการณ์การดูดวงกว่า 43 ปี ในการวางฤกษ์เกิดให้กับเด็ก และติดตามผลจากพ่อแม่ผู้ปกครองผ่านแบบสอบถามเป็นระยะๆ ตลอดช่วงชีวิตของเด็กที่ได้ฤกษ์เกิดไป เพื่อประเมินผลเปรียบเทียบระหว่างเด็กที่เกิดตามฤกษ์ กับเด็กที่เกิดตามธรรมชาติ ซึ่งเชื่อว่าผลจากการศึกษานี้จะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่วงการโหราศาสตร์ และให้ความรู้ความเข้าใจแก่พ่อแม่ที่คิดจะใช้ฤกษ์ผ่าตัดทำคลอด

“มีเด็กที่ได้รับฤกษ์เกิดจากผมแล้วประมาณ 100 กว่าคน ปัจจุบันเด็กคนแรกที่ให้ฤกษ์เกิดมีอายุประมาณ 18 ปี เด็กกลุ่มนี้จะถูกเก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ ทุก 1-2 ปี จนกว่าเขาจะแก่ แม้ว่าผมจะตายแล้วก็ต้องมีลูกศิษย์มารับช่วงการศึกษาต่อไป”

การเก็บข้อมูลทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์กับคน 3 กลุ่มคือ 1. แม่ที่ผ่าคลอดตามฤกษ์ที่ได้รับไปแล้วจะมีความเชื่อมั่นมากขึ้น 2. กลุ่มลูกศิษย์โรงเรียนโหราศาสตร์ไทย จะมีความรู้ความเชื่อมั่นในการให้ฤกษ์เกิดเด็ก 3. กลุ่มที่จะนำผลการศึกษาไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้ต่อไป ซึ่งเป็นกรณีศึกษาว่าในยุคปัจจุบันเราสามารถดูดวงได้ตั้งแต่ก่อนเกิด และโหรจะเป็นเหมือนสถาปนิกที่ออกแบบลูกได้ตามความปรารถนาของพ่อแม่ต่อไป

สำหรับการวางฤกษ์เกิดของโหรบุศรินทร์จะเลือกวันและเวลาที่ดีที่สุดที่อยู่ในช่วงผ่าคลอดได้ โดยเน้นวางฤกษ์ให้เด็กร่ำรวยเป็นอันดับแรก เนื่องจากเป็นปัจจัยที่ทำให้ชีวิตเด็กสบาย รองลงมาคือสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย และต้องพูดดี ทำให้ค้าขายคล่อง ส่วนที่ขาดไม่ได้คือความรักดี เพราะความรักเปรียบเสมือนน้ำมันหล่อลื่นให้ชีวิตมีความสุข นอกจากนั้นคือความฉลาดเท่าทันเล่ห์เหลี่ยม บริวารดี มนตรี (ผู้ใหญ่) ดี เด็กจะเกิดมาไม่มีกรรม ไม่มีจุดอ่อน จึงประสบความสำเร็จง่าย

เขาบอกอีกว่า ต่อไปการผ่าท้องจะกลายเป็นแฟชั่น เพราะผู้หญิงไม่อยากเจ็บท้อง และไม่อยากให้ช่องคลอดฉีกขาด กอปรกับแพทย์ไทยเป็นแพทย์ที่ผ่าท้องคลอดเก่ง แม้แต่ชาวต่างชาติก็เข้ามาคลอดในเมืองไทยเป็นจำนวนมาก ดังนั้นหากแพทย์ร่วมมือกับโหรโดยผ่าตัดให้เด็กออกมาหายใจในช่วงเวลาที่โหรกำหนด เด็กก็จะกลายเป็นคนดวงดีเพียบพร้อม ไม่มีจุดอ่อนในชีวิต ดีกว่าผ่าโดยไม่มีฤกษ์ (ซี้ซั้วผ่า) ซึ่งนับเป็นความเสียหายอย่างมาก

สร้างบุญ “ก่อนเกิด” อาจสำคัญกว่าฤกษ์แรกเกิด ?
 

ด้าน ซินแสสมชาติ จิตเสรีรัตน์ ให้ความเห็นว่า ดวงชะตามนุษย์ที่เวียนว่ายตายเกิดทุกวันนี้เกิดเนื่องมาจากกฎแห่งกรรม ซึ่งคนที่จะมาเกิดขึ้นอยู่กับบุญวาสนา และความสัมพันธ์ในอดีตกับพ่อแม่ ดังนั้นซินแสหรือหมอดูจึงไม่สามารถกำหนดให้เด็กเกิดในวันเวลาที่แน่นอนได้ แต่เด็กที่ได้รับการวางฤกษ์ในลักขณาที่ดีอาจจะเป็นบุญวาสนาของเด็กคนนั้นเอง ทว่า เมื่อวางฤกษ์เกิดแล้ว ควรแนะนำให้พ่อแม่สร้างบุญให้กับลูกตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเกิด

สำหรับวิธีสร้างบุญเสริมบารมีก่อนที่เด็กจะมาจุติ ประกอบด้วย 1. ละเว้นกรรมไม่ดี 2. ทำกรรมดีทันทีที่มีโอกาส 3. สวดมนต์ภาวนาซึ่งเป็นบุญใหญ่

“การละเว้นกรรมไม่ดี คือการถือศีล 5 ส่วนการทำดีทันทีที่มีโอกาส คือการสร้างบุญเมื่อมีจังหวะทำบุญ แต่อย่าทำเกินตัว ส่วนการสวดมนต์ภาวนา คือการทำสมาธิให้จิตนิ่ง ซึ่งจะทำให้ร่างกายเดินอย่างมีระบบ และเกิดปัญญาญาณ เพื่ออุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้ชีวิตเจริญก้าวหน้า พบแต่คนดีๆ มีเงินทองไม่ขาดมือ และเป็นการต่อบุญให้กับเด็กที่มาเกิด เด็กจะเกิดมามีอวัยวะครบ 32 มีบุญส่งเสริมให้พ่อแม่มีเงินทองเลี้ยงดู” ซินแสสมชาติ กล่าว

ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์ฯ ชี้ ไม่ควรผ่าคลอดยามวิกาล
 

ขณะที่ ศ.คลินิก พญ.วิบูลพรรณ ฐิตะดิลก ประธานราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย เผยว่า ความนิยมผ่าตัดคลอดในปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยปกติอัตราการผ่าตัดคลอดที่ยอมรับกันทั่วไป รวมทั้งองค์การอนามัยโลกประมาณ 25% ทำด้วยข้อบ่งชี้หลักๆ คือการผิดสัดส่วนกันระหว่างขนาดของทารกกับช่องเชิงกรานมารดา (Cephalopelvic disproportion), การผ่าตัดซ้ำ, รกเกาะต่ำ, มารดามีภาวะแทรกซ้อนบางอย่าง เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เป็นต้น

ส่วนในปัจจุบันอัตราการผ่าตัดคลอดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยโรงพยาบาลเอกชนจะมีอัตราการผ่าตัดคลอดมากกว่า 80% ขณะที่โรงพยาบาลรัฐก็พบว่าอัตราเพิ่มขึ้นเกือบถึง 50% เช่นกัน
สำหรับโรงเรียนแพทย์ การที่จะพิจารณาผ่าตัดคลอดหรือไม่นั้นต้องเป็นไปตามข้อบ่งชี้อย่างเคร่งครัด เพราะจะได้รับการควบคุมความถูกต้องให้สมเหตุสมผล เนื่องจากมีการเรียนการสอน ซึ่งพบว่าอัตราการผ่าตัดคลอดเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 40-50% โดยสาเหตุใหญ่ที่อัตราเพิ่มขึ้นเป็นเพราะการร้องขอของคนไข้และแพทย์เองก็พร้อมที่จะทำตามคำร้องขอดังกล่าว

สำหรับเหตุผลที่พ่อแม่เลือกวิธีการผ่าตัดคลอดมาจากหลายปัจจัย เช่น กลัวความเจ็บปวดจากการคลอดธรรมชาติ หรือบางคนอาจจะไม่อยากให้ช่องคลอดฉีกขาด เป็นต้น แต่เหตุผลส่วนใหญ่เกิดจากการห่วงความปลอดภัยของเด็ก และการแพทย์ที่ก้าวหน้าก็ทำให้พ่อแม่เชื่อว่าการผ่าตัดและดมยาสลบมีความปลอดภัยสูงขึ้นกว่าเดิม ส่วนเหตุผลรองลงมาคือ ความต้องการเลือกฤกษ์เกิดเด็ก แต่ก็ต้องคำนึงถึงความสะดวกของ 2 ฝ่าย ทั้งแพทย์และคนไข้

อย่างไรก็ดี การผ่าตัดคลอดมีทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยข้อดีต่อคนไข้คือ โอกาสที่ทารกจะบาดเจ็บจากการคลอด เช่น ติดไหล่ จะน้อยลง ขณะที่แพทย์ก็สามารถกำหนดเวลาที่เหมาะสมได้ ทำให้ไม่ต้องเฝ้าคลอดนาน ส่วนข้อเสียคือ 1. คนไข้มีโอกาสต้องผ่าตัดซ้ำสูง ซึ่งกระทบต่อระบบสุขภาพในภาพรวม เช่น การแย่งห้องผ่าตัด และอาจเกิดปัญหาเมื่อตั้งครรภ์ใหม่แล้วไปคลอดในสถานพยาบาลที่ไม่มีห้องผ่าตัดอาจทำให้เกิดอันตรายได้ 2. เสียเลือดมากกว่าปกติ 3. เพิ่มโอกาสที่จะติดเชื้อ 4. เพิ่มความเสี่ยงจากเรื่องวิสัญญี 5. บางครั้งการตามใจคนไข้อาจทำให้เกิดอันตราย เนื่องจากเลือกเวลาที่ไม่เหมาะสม เวลาที่แพทย์หรือบุคลากรผู้ช่วยไม่พร้อม 6. คนไข้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 7. การมีแผลผ่าตัดที่ตัวมดลูกทำให้เสี่ยงต่อมดลูกแตกเวลาตั้งท้องครั้งใหม่ 8. กรณีตั้งครรภ์ใหม่ พบรกเกาะต่ำได้บ่อยขึ้น และฝังตัวลึกกว่าปกติ อาจจำเป็นต้องตัดมดลูกทิ้ง

ประธานราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทยบอกอีกว่า ปัจจุบันมีการยืดหยุ่นเรื่องการขอผ่าตัดคลอดตามฤกษ์ที่คนไข้ต้องการ การเลือกที่จะทำผ่าตัดคลอดในกรณีที่ไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์หรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่กับข้อคิดเห็นร่วมกันระหว่างคนไข้และแพทย์ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการคำนึงถึงความปลอดภัยของมารดาและลูก และเหนืออื่นใดคือจริยธรรมที่ดีของแพทย์ในเรื่องการให้ข้อมูลได้อย่างครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเวลาตั้งครรภ์ใหม่ และแพทย์ต้องไม่ทำด้วยเหตุผลหลักคือผลประโยชน์ เมื่อให้ข้อมูลครบถ้วน แม่และพ่ออาจเลือกขอไม่ผ่าตัดก็ได้

สำหรับเวลาที่เหมาะสมในการผ่าตัดคลอด หมายถึงต้องเป็นท้องครบกำหนด ทีมงานพร้อม ไม่กระทบต่อระบบบริการในภาพรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่ที่ทรัพยากรมีจำกัด (ห้องผ่าตัด, หมอดมยา) และต้องไม่ใช่ยามวิกาล เพราะหากเกิดภาวะแทรกซ้อนและต้องการขอความช่วยเหลือจากแพทย์หรือผู้ช่วยคนอื่นจะทำได้ไม่สะดวก เช่น กรณีตกเลือด หรือจำเป็นต้องตัดมดลูก

กำลังโหลดความคิดเห็น