ผลสำรวจพฤติกรรมการบริโภคของคนไทย ในอนาคตเลือกที่จะพึ่งเทคโนโลยี ไม่ออกจากบ้าน ทั้ง “ชอป-เปิดร้าน-อยู่ในสังคมออนไลน์” มากขึ้น อีกทั้งต้องการสินค้าที่สะดวก-รวดเร็ว-คุ้มค่า ขณะที่ “ห้างสรรพสินค้า-ซูเปอร์มาร์เกต” ลดบทบาทลง เข้าสู่การแข่งขันเดือดระดับโกลบอล แนะกลยุทธ์ด้านตลาดต้องสร้างกระแสถึงจะดัง! หวั่นเด็กยุคใหม่ขาดทักษะในการแปลภาษากาย พร้อมเจาะลึกพฤติกรรมคน “3 ยุค” Baby Boom แสวงหาความสุข ไม่ติดแบรนด์ Generation x หาข้อมูลก่อนซื้อ ด้านเจนวายลงมามีความอดทนต่ำ-ติดออนไลน์-แคร์สังคมที่ไม่รู้จัก-ต้องการสินค้าบ่งบอกตัวตน
แบรนด์สินค้า และผู้ประกอบการกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน เร่งปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคที่ส่งสัญญาณชัดเจน เมื่อเข้าสู่ยุคดิจิตอลรายบุคคลอย่างเต็มรูปแบบ
เพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลายค่าย หลายแบรนด์มีการปรับยกองค์กรใหม่ โดยเฉพาะการใช้สื่อออนไลน์ เนื่องจากอัตราการขยายตัวที่มากขึ้น จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ต่อคนไทยอายุตั้งแต่ 6 ขวบขึ้นไป จำนวนทั้งสิ้น 62.9 ล้านคน พบว่ามีผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทุกประเภท รวมทั้งสิ้น 21.2 ล้านคน คิดเป็น 33.7% ของทั้งหมด ส่วนผู้ที่ท่องโลกไซเบอร์ หรืออินเทอร์เน็ตในปี 2555 ประมาณ 16.6 ล้านคน คิดเป็น 26.5%
ทั้งนี้ หากภาคธุรกิจไม่สามารถปรับองค์กรได้ทันก็ต้องปิดตัวลงในที่สุด ขณะเดียวกันยังส่งผลให้การเกิดขึ้นของแบรนด์ที่สบช่องจากการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคได้ตรงจุดกลายเป็นสินค้าที่ติดตลาดในเวลาอันรวดเร็ว
ดังนั้นการวิเคราะห์เทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภค จึงเป็นหัวใจสู่ความสำเร็จอย่างแท้จริง
คุณสรินพร จิวานันต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภค กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นไวโรเซล ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคในกลุ่ม Generation Y และ Generation Z หรือกลุ่มคนที่เกิดตั้งแต่ พ.ศ. 2523 เป็นต้นไป กลายเป็นผู้กำหนดกระแสของสังคม เนื่องจากคนกลุ่มนี้ถือว่ามีขนาดใหญ่ ย่อมส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโดยรวมที่โดยธรรมชาติจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามๆ กัน ซึ่งคนยุค Baby Boom จะได้รับผลการเปลี่ยนแปลงน้อยกว่า
โดยเฉพาะการเข้ามาของโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่ส่งผลให้คนตั้งแต่กลุ่ม Generation X หรือคนที่เกิดตั้งแต่ พ.ศ. 2508 เป็นต้นไป มีพฤติกรรมเสพติดความเร็ว ต้องการความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ดังนั้นพบว่าสินค้าที่ผลิตออกมาจะปรับตัวให้ตอบสนองในส่วนนี้ถึงจะอยู่รอด
เทรนด์คนชอป-เปิดร้านออนไลน์
ชี้ “ห้าง-ซูเปอร์” ลดบทบาทลง
อย่างไรก็ตาม การเสพติดความเร็วจากการที่ผู้บริโภคหันมาใช้ชีวิตออนไลน์ที่สามารถเชื่อมต่อข้อมูล ข่าวสารได้ 24 ชม. โดยไม่ต้องรอ ไม่ต้องเดินทางออกจากบ้าน ส่งผลให้คนมีความอดทนที่ต่ำลง และจากความสะดวกสบาย รวดเร็วดังกล่าว ทำให้คนมีนิสัยขี้เกียจมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะพบว่าอัตราการซื้อสินค้าผ่านออนไลน์สูงขึ้น เนื่องจากสะดวก ประกอบกับราคาที่ถูกกว่าหน้าร้าน สามารถเลือกซื้อได้ทั่วโลก ไม่จำกัดเวลานั่นเอง
ดังนั้น ผู้ประกอบการในอนาคตที่จะอยู่รอดได้ต้องปรับตัว เพื่อรองรับการแข่งขันในระดับสากล โดยเฉพาะเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนก็ยิ่งจะเป็นการค้าที่เปิดกว้างมากขึ้น และจากการที่คนหันมาซื้อสินค้าออนไลน์ ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเทรนด์ในอนาคตก็จะมาในทิศทางนี้ ย่อมส่งผลต่อการเช่าพื้นที่ในการเปิดร้านอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นตามศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เกต ฯลฯ ก็จะมีผู้เช่าที่น้อยลง เนื่องจากการเปิดออนไลน์ใช้ต้นทุนที่ถูก จึงขายได้ถูกกว่า และตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในอนาคตอีกด้วย
อีกทั้งยังพบว่า ปัจจุบันมีพื้นที่ขายสินค้าให้ประชาชนเลือกเดินจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบห้างสรรพสินค้าจำนวนมาก ไลฟ์สไตล์มอลล์ ฯลฯ ต่างจากอดีตที่มีให้เลือกน้อย ดังนั้นหากเจ้าของพื้นที่เช่าไม่ปรับกลยุทธ์ หรือหันมาดูแลร้านค้า หรือเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค และเทรนด์ของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปก็มีสิทธิที่จะต้องปิดลงในที่สุด ซึ่งจากอดีตที่ผู้เช่าต้องเป็นฝ่ายเข้าหาเพื่อขอเช่าพื้นที่ในทำเลที่ดี
“คนไทยในปัจจุบันเข้ามาอาศัยอยู่ในตัวเมืองมากขึ้น อยู่คอนโดมากขึ้น มีอัตราการอยู่อาศัยเป็นรายบุคคล หรือมีครอบครัวที่เล็กลง สินค้าจึงมีขนาดเล็กลง กะทัดรัด มีความกระฉับกระเฉง สะดวกสบายมากขึ้น เช่น โทรทัศน์บางลง รถยนต์เล็กลง ตู้เย็นขนาดย่อม ฯลฯ โดยพบว่าสินค้าขนาดครอบครัวจะเล็กลง สินค้าที่เป็นขนาดคนเดียวจะโตขึ้น” ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภค กล่าว
เจาะลึกพฤติกรรมคน “3 ยุค”
คุณสรินพรบอกอีกว่า ได้จัดแบ่งพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคปัจจุบันออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ตาม Generation ประกอบด้วย
Baby Boom (อายุ 67-49 ปี) กลุ่มนี้จะแสดงหาความสุข ไม่ยึดติดแบรนด์ ซึ่งจัดเป็นกลุ่มประชากรที่เกิดในช่วงหลังสงครามโลก ครั้งที่ 2 หรือประมาณปี พ.ศ. 2489-2507 มีอยู่จำนวนมาก เนื่องจากในยุคนั้นมีการส่งเสริมให้มีบุตร เพื่อเป็นกำลังของประเทศชาติ คนกลุ่มนี้ถือว่าเป็นกลุ่มที่ทำงานหนักมาทั้งชีวิต เน้นการทำงาน หาเงิน เพื่อเลี้ยงลูก เลี้ยงหลาน ดังนั้นในวัยนี้ถือว่ามีเงินเก็บ มีกำลังทรัพย์ในการซื้อมาก จึงเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ
ส่วนพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อของคนกลุ่มนี้จะคำนึงถึงการตอบสนอง ความต้องการ ความพึงพอใจเป็นหลัก คนกลุ่มนี้จะไม่ยึดติดที่แบรนด์ ไม่ได้ตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าเพื่อต้องการส่งเสริมบุคลิกภาพ หรือภาพลักษณ์ แต่ซื้อเพื่อแสวงหาความสุขให้กับชีวิต ซึ่งจะพบว่ามีผลิตภัณฑ์ด้านการเกษียณเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก หรือแบรนด์ที่เจาะกลุ่มนี้มักจะเกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์เป็นส่วนใหญ่ เช่น ประกัน สุขภาพ แพกเกจท่องเที่ยว นวด สปา ฯลฯ มากกว่าสินค้าประเภทเสื้อผ้า หน้า ผม เพื่อตอบสนองความต้องการของคนกลุ่มนี้ ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่เปลี่ยนยาก
“คนกลุ่มนี้จะมองเรื่องคุณภาพของสินค้า เมื่อใช้แล้วรู้สึกชอบ ก็จะใช้ต่อไป ไม่เลือกซื้อ เพราะเพียงต้องการบ่งบอกความเป็นตัวตน หรือสร้างภาพในสังคม”
Generation x (อายุ 48-34 ปี) เป็นกลุ่มที่หาข้อมูลก่อนซื้อ เลือกสิ่งที่คุ้มค่า จะเป็นกลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2508-2522 เติบโตมาจากพ่อ แม่ในยุค Baby Boom ที่เน้นให้ลูกช่วยเหลือตัวเอง และเห็นว่าพ่อแม่ทำงานหนัก จึงเป็นกลุ่มที่สร้างสมดุลในชีวิต ไม่ทำงานหนักเท่าคนกลุ่มแรก เพราะรู้แล้วว่าการทำงานมากอาจไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว แต่ก็ยังถือว่าเป็นกลุ่มที่ทำงานเยอะอยู่
ส่วนพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อจะเน้นการหาข้อมูลเยอะ เช่น หารีวิวผ่านบล็อก ผ่านอินเทอร์เน็ต ฯลฯ เพื่อให้ได้สิ่งที่คุ้มค่าที่สุด เลือกใช้แบรนด์เนมในระดับสากลที่เป็นที่รู้จักในสังคม
อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมผู้บริโภคระหว่าง Generation X กับ Generation Y จะมีพฤติกรรมบางอย่างที่สอดคล้องกัน มีการรวมตัว และมีวัฒนธรรมที่เชื่อมกัน หรือทรานซิชัน (Transition Zone) ดังนั้นพฤติกรรมจึงไม่ได้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ระหว่าง Generation Y กับ Baby Boom จะต่างกันมากกว่า เห็นชัดกว่า
สำหรับ Generation Y เป็นต้นไป อายุตั้งแต่ 33 ปีลงมา คนกลุ่มนี้จะมีความอดทนต่ำ-ติดออนไลน์-แคร์สังคม-ต้องการมีตัวตน จัดเป็นกลุ่มคนที่เกิดตั้งแต่ พ.ศ. 2523 ถือว่าเป็นคนกลุ่มใหญ่ เริ่มเข้าสู่ยุคใหม่ ถูกเลี้ยงมาค่อนข้างสบาย พ่อแม่มีฐานะดี จึงส่งผลให้มีความอดทนค่อนข้างต่ำ ดังนั้นจะสังเกตพบว่าคนกลุ่มนี้เมื่ออยู่ในวัยทำงานจะทำงานในที่เดิมได้ไม่นานมากนักก็จะออกจากงาน โดยเฉพาะเมื่อไม่พอใจกับการทำงาน อีกทั้งยังมีความเป็นตัวตนสูง และเกิดมากับสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ จึงขี้เบื่อ มุ่งแสวงหาความแปลกใหม่ในชีวิต
“คนกลุ่มนี้จะค่อนข้างตามกระแส แคร์สังคม กลัวว่าจะไม่เข้ากลุ่ม กลัวจะแตกแยก เช่น หากเพื่อนในกลุ่มใช้สินค้าแบรนด์ใดก็จะเลือกใช้เหมือนกัน จำเป็นต้องมี ซึ่งเป็นไปตามกลุ่ม โดยเฉพาะเริ่มใช้สื่อออนไลน์”
เมื่อคนรุ่นนี้เข้าสู่สังคมออนไลน์ ซึ่งสังคมที่กว้างออกไปมาก เชื่อมต่อทั่วโลก ไม่ใช่แค่เรื่องระหว่างบุคคลต่อบุคคลอีกต่อไป จึงพบว่าเมื่อทำอะไรก็จะนิยมแชร์ให้เพื่อนในสังคมออนไลน์รับรู้ ดังนั้นการใช้สินค้าไม่ใช่แค่เพื่อนที่เจอกันถึงจะเห็น แต่คนในสังคมออนไลน์เห็นทั่วโลก การเลือกใช้สินค้าจึงต้องการบ่งบอกถึงตัวตนให้สังคมรับรู้ ต้องทำให้ตนเองดูดี มีความพิเศษ
สำหรับแบรนด์ที่กลุ่มนี้เลือกใช้จะไม่ใช่แบรนด์เนมในระดับสากล เหมือนในกลุ่ม Generation X ที่จะเลือกใช้ LOUIS VUITTON, CHANEL, GUCCI ฯลฯ แต่จะเลือกแบรนด์ที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวตนมากกว่า จึงพบว่าปัจจุบันมีแบรนด์แปลกๆ เกิดขึ้นมาจำนวนมาก ทั้งนี้ทั้งนั้นก็จะไม่เลือกใช้สินค้าคนเดียว จะติดอยู่กับสังคมที่อยู่ เพราะต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มนั่นเอง
“หากมีกระแส หรือประเด็นอะไรในสังคมที่มีการพูดถึง คนกลุ่มนี้จะต้องหามาเสพ เพราะกลัวคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าพวก ดังนั้นการจะประสบความสำเร็จ สร้างแบรนด์ที่ดังให้เป็นที่รู้จัก เข้าถึงคนกลุ่มนี้ จะต้องสร้างกระแส เพราะคนกลุ่มนี้จะเชื่อคนในออนไลน์ แม้ไม่รู้จักกันก็ตาม”
อนาคตคนอยู่แต่ในบ้าน ขาดทักษะความเป็นสังคม
จากข้อมูลข้างต้น ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภค กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นไวโรเซล ประเทศไทย จำกัด ได้วิเคราะห์ถึงลักษณะของสังคมที่เปลี่ยนไปในอนาคตว่า คนรุ่นใหม่จะหันมาทำงานที่บ้านมากขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีในการติดต่อสื่อสาร จะเดินทางน้อยลง เช่น ส่งงานทางอีเมล ประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ซื้อสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ต ให้คนมาส่งถึงบ้าน ซึ่งทุกอย่างจะออนไลน์ถึงกัน
พฤติกรรมที่เกิดขึ้นเหล่านี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากคน Generation ใหม่ ที่โตมากับเทคโนโลยี การสื่อสารด้วยการพูดคุยจะน้อยลง เปลี่ยนเป็นการสื่อสารผ่านการพิมพ์ ผ่านตัวอักษร ทำให้คุ้นกับการเป็นสังคมมนุษย์น้อยลง ต่างจากอดีตที่การทำงานจะมีการพบปะพูดคุยในกลุ่มเพื่อนร่วมงาน มาเจอหน้ากัน อยู่เป็นกลุ่มก้อน แต่ปัจจุบันแม้คนจะยังต้องการอยู่รวมกันเป็นสังคม แต่อยู่ในรูปแบบของสังคมแบบใหม่ หรือสังคมออนไลน์แทน โดยไม่ต้องเจอตัว
“คนรุ่นใหม่จะมีความสามารถในการอ่าน แปลภาษากายน้อยลง และสังคมจะเชื่อมต่อกันน้อยลง อีกทั้งยังพบว่าคนรุ่นใหม่นิยมแยกออกมาอยู่เอง มีกิจกรรมกับครอบครัวน้อยลง การมีปฏิสัมพันธ์ของคนจะน้อยลงเรื่อยๆ คุ้นกับการอยู่คนเดียว แต่เหมือนไม่ได้อยู่คนเดียว เพราะอยู่ในสังคมออนไลน์ จะเห็นว่าสามารถนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ในห้องเป็นวันโดยไม่เบื่อ”
ดังนั้น การจะทำธุรกิจก็จำเป็นต้องวิเคราะห์ถึงการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป พร้อมเทรนด์ที่กำลังจะเกิดขึ้น เพื่อปรับให้ทันต่อความต้องการของมนุษย์ ทั้งนี้เชื่อว่าธุรกิจประเภทบริการจะมีอัตราการเติบโตที่ดี ที่สามารถสร้างความสบาย ความแปลกใหม่ และชวนให้คนรุ่นใหม่ประหยัดได้ด้วย
เห็นได้จากปัจจุบันมีห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เกต หรือแม้แต่เจ้าของแบรนด์สินค้าก็ต้องปรับตัว และหันมาเปิดชอปออนไลน์เสริม เพราะผู้ประกอบการเหล่านั้นมองเห็นเทรนด์ พฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า Central ที่มีเว็บ Shopping Online โดยเลือกดึงดูด จากการนำเสนอสินค้าราคาพิเศษเฉพาะลูกค้าที่ซื้อผ่านเว็บไซต์เท่านั้น ขณะที่ซูเปอร์มาร์เกตขนาดใหญ่อย่าง Big C และTesco Lotus ได้เปิดบริการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ เพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้าเหมือนกัน ส่วนแบรนด์สินค้าเองก็หันมาทำการตลาดออนไลน์ หรือเปิด Shopping Online เอง เช่น เครื่องสำอาง Clinique ที่เลือกทำตลาดออนไลน์โดยการจัดเซตสินค้าพิเศษเฉพาะในออนไลน์ พร้อมสร้างความเป็นผู้นำเทรนด์ให้แก่ผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ โดยให้สิทธิก่อนชอป
ตัวอย่างการซื้อสินค้าออนไลน์ เมื่อซื้อสินค้าผ่าน Big C Shopping Online ครบ 1,500 บาท จะทำการจัดส่งให้ฟรีถึงหน้าบ้าน โดยลูกค้าสามารถกำหนดวันและเวลาได้เอง พร้อมเสริมความสะดวก ความสบายใจให้แก่ลูกค้าในการจ่ายเงินกับพนักงานที่มาส่งของได้โดยตรงด้วยเงินสด หรือรูดบัตรเครดิตยังเครื่องรูดบัตรที่พนักงานนำติดตัวมาให้บริการด้วย ขณะที่ Central Shopping Online ให้ลูกค้าชอปง่ายเพียง 3 ขั้นตอน 1. เลือกสินค้า 2. ลงทะเบียน 3. เลือกวิธีส่งสินค้า และชำระเงิน
ส่วนร้านค้าออนไลน์เล็กๆ ก็พบว่ามีการเปิดขายมากขึ้น ทั้งผ่านเว็บขายของ www.ebay.co.th, www.trarad.com, www.dealfish.co.th, www.lazada.co.th, www.weloveshopping.com ฯลฯ หรือแยกตัวออกมาตั้งเว็บไซต์ขายเองก็มีให้เห็นเป็นจำนวนมาก