ธุรกิจพลังงานทดแทนเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 3 ยักษ์ใหญ่ ขยายกิจการต่อ ส่วนหน้าใหม่อย่าง “วิชัย ทองแตง” โดดเข้าลงทุน มั่นใจเป็นธุรกิจแห่งอนาคต ด้านสภาอุตฯ ชี้ไทยมีศักยภาพ “ผู้นำ” พลังงานทดแทนในอาเซียน แนะใช้ราคามาตรฐานสากล ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญคาดกลางปียอดใช้น้ำมันสูงขึ้น หลังรถคันแรกส่งครบ ขณะที่โบรกฯ ชี้ปี 56 หุ้นพลังงานแสงอาทิตย์-เอทานอลโต น่าลงทุน จับตา SPCG, RATCH, SOLAR, DEMCO ล้วนขานรับนโยบายพลังงานของรัฐ และสอดคล้องกับกระแสโลก!
ล่าสุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ออกมาคาดการณ์ปริมาณการใช้พลังงานโดยรวมปี 2556 ว่าจะมีอัตราเติบโตที่ลดลง หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 จากปี 2555 อยู่ที่ระดับ 121,000 ล้านลิตร อัตราเพิ่มในปี 2555 อยู่ที่ร้อยละ 6.7 ในส่วนของแก๊สหุงต้มคาดว่าจะมีการใช้ที่ 7.7 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 น้อยกว่าอัตราการเพิ่มปี 2555 อยู่ที่ร้อยละ 6.7
ในส่วนของแก๊สภาคครัวเรือนจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.4 ภาคยานยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.9 ภาคอุตสาหกรรมคาดใช้เพิ่มร้อยละ 2.5 และภาคปิโตรเคมีใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 ขณะที่ผลจากนโยบายรถคันแรกทำให้อัตราการใช้น้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 21.9 ล้านลิตรต่อวัน
จากการขยับตัวของภาครัฐในปี 2556 เริ่มจากการ “ยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 91” ถือว่าเป็นสัญญาณแรกของรัฐบาล “ปู” ในการเดินหน้าแผนพลังงาน จากการประกาศยกเลิกจริงตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 ที่ผ่านมา แต่หลายฝ่ายก็ให้ความกังวลในเรื่องของภาพรวมการส่งเสริมพลังงานที่ยังไม่ชัดเจน แม้จะหันมาส่งเสริมแก๊สโซฮอล์ 91 และ 95 แทน แต่ยังไม่มีท่าทีของเบนซิน 95 แต่ส่งผลให้ยอดขายสูงขึ้น
อีกทั้งกระทรวงพลังงานได้จัดทำแผนการพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2553-2573 และแผนการพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2555-2564 ได้กำหนดให้มีสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นจาก 7,413 ktoe ในปี 2555 เป็น 25,000 ktoe ในปี 2564 หรือคิดเป็น 25% ของการใช้พลังงานรวมทั้งหมด
ประกอบกับกระทรวงพลังงานออกมาเผยช่วงปลายปี 2555 ถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการสนับสนุน จากให้ส่วนเพิ่มรับซื้อไฟฟ้า หรือแอดเดอร์ มาเป็นราคารับซื้อไฟฟ้าตามต้นทุนจริง (ฟีด อิน ทาริฟฟ์) และยืนยันจะรับซื้อพลังงานทดแทนต่อไป
ขณะที่กลุ่ม ปตท.ได้เก็บสต็อกน้ำมันปาล์มดิบ และเสนอสร้างโรงกลั่นที่จะสามารถนำมาผลิตน้ำมันดีเซลประเภท DHD คาดว่าประมาณ 2-3 ปี จะสามารถผสมกับไบโอดีเซลได้ถึงร้อยละ 10
จากข้อมูลบ่งชี้ถึงทิศทาง และสะท้อนให้เห็นถึงการสนับสนุน “พลังงานทดแทน” ที่เด่นชัด และเป็นรูปธรรม ส่งผลให้ภาคเอกชนมองเห็นอนาคตของพลังงานทดแทนที่สดใสขึ้น ทั้งเทรนด์ของภาครัฐไทย และกระแสโลก ประกอบกับจำนวนน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ฯลฯ ที่มีจำนวนลดลง ราคาสูงขึ้น ผู้ประกอบการด้านพลังงานรายใหญ่ของไทยจึงเห็นช่องทางในการเดินหน้าเข้าสู่ธุรกิจพลังงาน และพลังงานทดแทน เพื่อวางรากฐานสู่อนาคตด้านนี้มากขึ้นเช่นกัน
บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานเผยแผนลงทุน
นายสหัส ประทักษ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป บอกถึงเป้าหมายว่าจะมีการลงทุนด้านพลังงานทดแทนประมาณ 300 เมกะวัตต์ ภายในปี 2558 โดยปีที่ผ่านมา มีการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ มากกว่า 100 เมกะวัตต์ และขณะนี้ เอ็กโก กรุ๊ป กำลังศึกษาด้านโรงไฟฟ้าพลังงานลมเพิ่มเติม และหากภาครัฐเปิดการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มเติม ก็จะหาโอกาสเข้าไปดำเนินการ
อย่างไรก็ตาม การผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทนยังมีต้นทุนที่สูงกว่าการผลิตไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงฟอสซิล รวมถึงยังมีความไม่มั่นคงในการผลิตไฟฟ้า เพราะความไม่แน่นอนของแหล่งเชื้อเพลิงจากธรรมชาติ เช่น แสงแดด และลม ดังนั้นภาครัฐควรมุ่งเน้นไปที่การจัดหาเชื้อเพลิงอื่นๆ เช่น ขยะ หรือชีวมวล ที่สามารถทำให้โรงไฟฟ้าเดินเครื่องได้อย่างมั่นคง เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ลงทุน
“ส่วนในสายตาของนักลงทุนรายใหม่จะเลือกการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ และให้ผลตอบแทนสูง แต่ขณะนี้นโยบายของรัฐบาลยังไม่ต้องการให้ประชาชนแบกรับภาระค่าไฟฟ้ามากขึ้น จึงอาจจะเป็นปัจจัยทำให้การลงทุนหน้าใหม่มีความน่าสนใจน้อยลง” กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป ระบุ
สำหรับ บริษัท เอ็กโก กรุ๊ป นั้นเป็นผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ มีที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว จำนวน 20 แห่ง และมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา จำนวน 9 แห่ง คิดเป็นกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น รวมทั้งสิ้น 6,191 เมกะวัตต์ สัดส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนภายในประเทศ ประมาณ 130 เมกะวัตต์ โดยมาจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าชีวมวลจากแกลบและเศษไม้ยางพารา โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม และโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ
ชี้รัฐปรับวิธีส่งเสริมพลังงานทดแทน
นายสหัสยังระบุถึงแนวโน้มนโยบายภาครัฐ ในส่วนของพลังงานทดแทนปี 2556 ว่า ภาครัฐจะให้ความสำคัญกับสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเน้นส่งเสริมด้านการพัฒนาพลังงานอย่างยั่งยืน และการพึ่งตนเองของชนบทที่สามารถผลิตไฟฟ้าด้วยตนเองได้ อีกทั้งภาครัฐยังจะให้การสนับสนุนการลงทุนด้านพลังงานลม และพลังงานชีวมวลมากขึ้น หลังจากที่ให้การสนับสนุนพลังงานที่ได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งหลายแห่งเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ และมีผู้เสนออยากจะเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมากกว่าที่ภาครัฐกำหนดไว้
ดังนั้น ในส่วนพลังงานแสงอาทิตย์อาจจะมีการชะลอตัว เพื่อจัดการปัญหาให้แล้วเสร็จเสียก่อน เช่น การตรวจสอบจำนวนผู้ประกอบการและกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์โดยรวมของประเทศ หรือการสรุปราคาและรูปแบบการสนับสนุนใหม่ จากการให้ Adder เป็น Feed in Tariff ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของภาครัฐ เป็นต้น
นอกจากนี้ เขาเชื่อว่าแผนการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทนในปีที่ผ่านมาของภาครัฐยังได้ผลไม่มากนัก และมีข้อขัดข้องในทางปฏิบัติอยู่หลายประการ เช่น การประกาศหยุดรับซื้อขายใบอนุญาตการลงทุนในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ของกระทรวงพลังงาน เพื่อตรวจสอบจำนวนผู้ประกอบการและกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์โดยรวมของประเทศ
ดังนั้น คาดว่าในปี 2556 กระทรวงพลังงานคงแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านั้น เพื่อส่งเสริมให้มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้อย่างสะดวกในจำนวนที่เหมาะสม
ราชบุรีฯ เพิ่มเป้าหมายพลังงานทดแทน
ด้าน นายนพพล มิลินทางกูร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตามแผนธุรกิจ บริษัทฯ จะเน้นลงทุนใน 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจผลิตไฟฟ้า, ธุรกิจพลังงานทดแทน, ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตไฟฟ้า จะเน้นลงทุนในธุรกิจที่ต่อเนื่องหรือเกี่ยวพันกับการผลิตไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบัน บริษัทฯ มีการลงทุนในโรงไฟฟ้ารวม 26 โครงการ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ กำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุนรวม 6,263.40 เมกะวัตต์ และในปี 2556บริษัทฯ ยังคงยึดการลงทุนใน 3 ธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่อง โดยเป้าหมายการลงทุนจะครอบคลุมทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ได้แก่ ลาว กัมพูชา พม่า อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย
ในส่วนของพลังงานทดแทน บริษัทฯ ได้ปรับเพิ่มเป้าหมายกำลังผลิตพลังงานทดแทนเป็น 200 เมกะวัตต์ จากเดิมที่ตั้งไว้ 100 เมกะวัตต์ โดยกำหนดจะต้องทำให้สำเร็จในปี 2559 ซึ่งเป้าหมายใหม่นี้จะเริ่มดำเนินการในปี 2556 หลังจากที่เป้าหมายเดิมทำได้สำเร็จตั้งแต่ปี 2555 สำหรับทิศทางการลงทุนจะยังคงเน้นโครงการพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานชีวมวล เพราะมีแหล่งพลังงานที่เพียงพอและมีศักยภาพที่จะพัฒนานำไปใช้ในการผลิตไฟฟ้าเสริมระบบไฟฟ้าของประเทศได้
บางจากชูจุดยืนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ส่วน นายยอดพจน์ วงศ์รักมิตร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านธุรกิจการตลาด บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เผยแผนการลงทุนของบางจากฯ ในปี 2556-2558 จะใช้เงินลงทุนปีละ 1,000 ล้านบาทในการพัฒนา ซึ่งในปี 2556 จะแบ่งสัดส่วน 70% ในการพัฒนาสถานีใหม่ เพิ่มจำนวนให้มากขึ้น ในทำเลหลักๆ ที่มีอยู่ โดยขยายปั๊มอี 85 จาก 51 แห่ง เป็น 100 แห่ง ฯลฯ ส่วนที่เหลืออีก 30% จะใช้เสริมธุรกิจ อย่างคาร์แคร์จะเพิ่มจาก 100 แห่ง เป็น 300 แห่ง ฯลฯ รวมถึงการหาพันธมิตร ขณะนี้ร่วมกับ mini Big c และปรับปรุงสถานีเดิม ฯลฯ
ด้านภาพรวมของบางจากฯ ยังคงให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมด้านพลังงานทดแทน ซึ่งปัจจุบันบางจากฯ มีธุรกิจด้านพลังงานหลากหลาย เช่น โรงกลั่น, ธุรกิจการตลาด, ธุรกิจใหม่ โดยมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ 170 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย โครงการที่บางปะอิน, โครงการบำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ และโครงการบางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา กำลังผลิตติดตั้งรวม 50 เมกะวัตต์ ในส่วนของไบโอดีเซลมีแผนขยายการผลิตจาก 3 แสนลิตรต่อวัน เพิ่มเป็นอีกเท่าตัวในปีนี้ และขยายโรงกลั่นน้ำมันแห่งที่ 2 กำลังผลิต 150,000 บาร์เรลต่อวัน ส่วนของเอทานอล บางจากฯ ร่วมกับบริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด ในการลงทุน และยังมีพลังงานที่ได้จากสาหร่ายที่กำลังดำเนินการอยู่ ฯลฯ
ครึ่งปีหลังยอดพลังงานพุ่ง “รถคันแรก” ส่งครบ
ขณะที่ภาพรวมแนวโน้มพลังงานทดแทนในประเทศไทย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บางจากฯ บอกอีกว่า จะเป็นเทรนด์ที่นิยมมาก จะมีผู้ใช้มากขึ้น รถยนต์จะมีขนาดเล็ก แต่มีประสิทธิภาพสูง ส่วนแนวโน้มราคาน้ำมันในปีนี้จะสูงขึ้นกว่าปี 2555 เล็กน้อย และมองว่าในโซนเอเชียจะมีอัตราการใช้น้ำมัน พลังงานที่สูงขึ้น เมื่อเทียบกับประเทศโซนยุโรป และอเมริกาที่มีแนวโน้มการใช้ไม่มาก ไม่ว่าจะเป็นประเทศจีน, อินเดีย ฯลฯ ขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันในประเทศคาดว่าจะสูงขึ้น สืบเนื่องจากนโยบายรถคันแรก และจะเห็นปริมาณการใช้ที่เพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงประมาณกลางปีนี้ เนื่องจากรถยนต์ที่จองไว้จะส่งถึงเจ้าของอีกประมาณ 4 แสนคัน
อย่างไรก็ดี บางจากฯ ซึ่งเน้นธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงให้ความสำคัญกับพลังงานทดแทน ซึ่งสอดคล้องกับการที่ภาครัฐยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 91 และส่งเสริมให้ใช้แก๊สโซฮอล์ พร้อมยืนยันว่าจะไม่กลับไปจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 95 อย่างแน่นอน เนื่องจากเห็นว่ามีส่วนผสมของสาร MTBE เป็นสารที่ใช้เพิ่มค่าออกเทนในน้ำมันเบนซิน ที่มีสารก่อให้เกิดอันตราย อาจเป็นมะเร็งได้ และยังเป็นสารที่ต้องนำเข้า ทำให้เสียดุลการค้า และไม่สอดคล้องกับแผนพลังงานทดแทน และพลังงานทางเลือกของภาครัฐที่ออกมา
“ปัจจุบันมีปริมาณการใช้เอทานอลประมาณ 1.5-1.6 ล้านลิตรต่อวัน คาดว่าปีนี้จะมากกว่า 2-2.2 ล้านลิตรต่อวัน และอยากให้คนหันมาใช้แก๊สโซฮอล์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้รถ สามารถนำรถมาปรับให้ใช้แก๊สโซฮอล์ได้ และช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในระยะยาว และอยากให้ผู้ขายหันมาส่งเสริมมากขึ้น เนื่องจากจะเป็นการลดการนำเข้า และส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า อีกทั้งพืชที่นำมาใช้ก็สามารถผลิตได้ในประเทศ”
เป้า “ผู้นำ” พลังงานทดแทนในอาเซียน
สำหรับ นายหิน นววงศ์ รองประธานคณะกรรมการบริหารสถาบันพลังงานเพื่ออุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวถึงสถานการณ์พลังงานในปีนี้ว่า ราคาพลังงานโดยรวมในโลกจะสูงขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากสหรัฐอเมริกาพบเชลล์แก๊สจำนวนมาก จึงคาดว่าอเมริกาจะลดการนำเข้า อีกทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าพลังงานที่ได้จากถ่านหิน ส่วนในภาพรวมพบกระแสการตื่นตัวของการพัฒนาพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้น
“การส่งเสริมด้านพลังงานทดแทนถือเป็นกระแสของโลก จึงมีหลายประเทศให้ความสำคัญ และได้ทำการวิจัย พัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเยอรมัน, ญี่ปุ่น, เกาหลี เช่น แผงโซลาร์เซลล์ราคาถูกลง และมีประสิทธิภาพสูงขึ้น”
ส่วนภาพในประเทศไทย จากการที่รัฐบาลกำหนดแผนการพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2555-2564 จะส่งผลให้เกิดการลงทุนเพิ่มมากขึ้น แต่ขณะนี้ยังถือว่าไม่มากพอ เมื่อเทียบกับเป้าที่วางไว้ในปี 2564 รัฐจึงควรส่งเสริมให้มีการลงทุนในส่วนของพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นอีก มิฉะนั้นอาจไม่ได้ตามแผน ส่วนพลังงานที่เด่นๆ และเข้ามามีบทบาทในปีนี้ก็คือ เอทานอล ซึ่งเป็นผลจากการยกเลิกเบนซิน 91 เป็นการลดการนำเข้าน้ำมันดิบ และกระตุ้นให้เกิดการใช้แก๊สโซฮอล์
ทั้งนี้ แม้พลังงานทดแทนจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่พลังงานที่ได้จากถ่านหินก็ยังคงจำเป็นต้องใช้ เพราะมีต้นทุนที่ต่ำ ซึ่งยังมีแนวโน้มใช้สูงขึ้น
“ประเทศไทยพยายามจะก้าวเป็นผู้นำเรื่อง พลังงานทดแทนในอาเซียน แต่เมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะต้องปรับให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ควรยึดราคาตลาดโลก ไม่ควรบิดเบือน มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาการลักลอบเหมือนตามชายแดน”
ระยะยาวพลังงานทดแทนโดดเด่น!
สอดคล้องกับนักวิชาการด้านพลังงาน นายมนูญ ศิริวรรณ ที่คาดว่าในปีนี้ “แก๊สโซฮอล์” ที่เกิดจากการผสม “เอทานอล” ซึ่งได้จากพืชผลทางการเกษตร เช่น มันสำปะหลัง อ้อย กากน้ำตาล จะโดดเด่น สืบเนื่องจากมาตรการของรัฐที่ยกเลิกเบนซิน 91 แต่ในส่วนของการลงทุนเพิ่มโรงงานเอทานอลในประเทศไทยคาดว่ายังคงไม่เพิ่มขึ้น เนื่องจากโรงงานเอทานอลในประเทศไทยมีกำลังการผลิตที่มากเพียงพอต่อความต้องการ แต่จากเดิมที่ต้องส่งออก ก็กลับมาจำหน่ายในประเทศเพิ่มขึ้นแทน ซึ่งพืชที่นำมาใช้ทำเอทานอลเป็นพืชที่สามารถผลิตได้ในประเทศ
จากปัจจัยดังกล่าวย่อมส่งผลให้หุ้นในกลุ่มพลังงานทดแทน พลังงานหมุนเวียนในปีนี้ดูจะมีแนวโน้มที่ดี โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ที่ในช่วงแรกรัฐเคยให้การสนับสนุนอัตราส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า หรือค่าแอดเดอร์ (Adder) สูงถึง 8 บาทต่อหน่วย ผู้ที่ได้ในช่วงนั้นก็จะยิ่งได้เปรียบ ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่ดีมาก และเป็นที่สนใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังพบว่ามีผู้ขอบางส่วนยังไม่ได้ดำเนินการ ขณะที่พลังงานลมยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เนื่องจากหาพื้นที่เหมาะสมยาก
ส่วนภาพรวมทิศทางราคาน้ำมันในโลกช่วงครึ่งแรกของปีนี้จะไม่ค่อยมีความผันผวน หรือไม่หวือหวามากนัก ไม่ต่างจากปีที่แล้ว เนื่องจากตลาดโลกยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว โดยเฉพาะเศรษฐกิจในประเทศแถบยุโรป และในอเมริกาก็ค่อนข้างชะลอตัว
“วิชัย” เข้าสู่ธุรกิจพลังงานทดแทน เชื่อเป็นธุรกิจแห่งอนาคต
อีกหนึ่งสัญญาณหลังจากการเดินหน้าของภาครัฐ ในการส่งเสริมพลังงานทดแทน ที่ดูเหมือนปีนี้และปีต่อๆ ไป อาจจะ “สดใส” กว่าที่แล้วมา เมื่อ วิชัย ทองแตง อดีตทนายความคดีซุกหุ้นของ ทักษิณ ชินวัตร เข้าซื้อหุ้นจำนวน 60,000,000 หุ้น ของบริษัท ตงฮั้ว คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TH อย่างมีนัย โดยบริษัท ตงฮั้วฯ ได้แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์ว่ามีความสนใจ และอยู่ระหว่างศึกษาเพื่อเข้าลงทุนใน บริษัท อีสเทอร์น รีนิวเอเบิ้ล เอ็นเนอจี้ จำกัด (ERE) บริษัทรับกำจัดขยะให้กับเทศบาลและอบต. ในเขตพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ
ขณะเดียวกัน นายวิชัยบอกถึงการเข้าซื้อหุ้น ตงฮั้ว เพราะบริษัท ตงฮั้วฯ จะเข้าสู่ธุรกิจพลังงานทดแทนซึ่งถือเป็นธุรกิจแห่งอนาคต และเมื่อสังเกตจะพบว่าผู้ที่ลงทุนในกลุ่มพลังงานทดแทนเดิมในตลาด อย่างผู้ลงทุนด้านโซลาร์ฟาร์มล้วนประสบความสำเร็จทั้งสิ้น อีกทั้งเทคโนโลยีก็มีความพร้อมมากยิ่งขึ้นด้วย
คาดปี 56 หุ้นแสงอาทิตย์รุ่ง
ด้านนักวิเคราะห์ของ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด คาดการณ์หุ้นในกลุ่มพลังงานทดแทนในปี 2556 ว่าจะค่อยๆ โต อีกทั้งบางตัวก็จะโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากนโยบายภาครัฐให้การสนับสนุน ด้านพลังงานทดแทน จากเดิมที่ในกลุ่มนี้บางส่วนมีปัญหาเรื่องเงินทุน และบางกลุ่มที่ได้ลงทุนไปแล้ว ทั้งนี้กลุ่มพลังงานจะมีความเกี่ยวข้อง เชื่อมโยงกับเงื่อนไขของภาครัฐเป็นสำคัญ หากมีนโยบายเปลี่ยนทิศก็จะส่งผลกระทบ
ปีนี้ธุรกิจกลุ่มพลังงานแสงอาทิตย์อยู่ในช่วงน่าสนใจ มีแนวโน้มในทิศทางที่ดี เนื่องจากเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ หลังจากที่ลงทุนไปแล้ว ประกอบกับพื้นที่ประเทศไทยมีศักยภาพ ปัจจัยทางธรรมชาติ ในด้านการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์
ขณะที่กลุ่มเอทานอลจะดีขึ้นบ้าง แต่ไม่มาก แม้ภาครัฐจะประกาศยกเลิกเบนซิน 91 ส่งเสริมให้หันมาใช้แก๊สโซฮอล์ แต่ผู้ใช้บางกลุ่มก็หันไปใช้เบนซิน 95 แทน
“หุ้นกลุ่มพลังงานทดแทนที่ค่อนข้างน่าสนใจคือ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เนื่องจากมีธุรกิจหลากหลายในกลุ่มพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นโรงกลั่น, โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์, ศูนย์ไบโอดีเซล ฯลฯ”
หุ้น “เอทานอล-แสงอาทิตย์” น่าลงทุน
ด้าน วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้จัดการสายงานวิจัยลูกค้าบุคคล บมจ.หลักทรัพย์ บัวหลวง วิเคราะห์ภาพรวมของตลาดพลังงานในส่วนของพลังงานที่ได้จากฟอสซิล ตั้งแต่ต้นน้ำ คือ ธุรกิจที่เกี่ยวกับการขุดเจาะน้ำมัน ส่วนกลางน้ำ ธุรกิจที่เกี่ยวกับปิโตรเลียม และปลายน้ำ ธุรกิจที่สืบเนื่องจากการนำปิโตรเลียมมาแปรสภาพว่า ในกลุ่มนี้จะมีความผันผวนเปลี่ยนแปลงไปตามเศรษฐกิจโลก หากเศรษฐกิจโลกมีทิศทางที่ดี กลุ่มธุรกิจนี้ก็จะดีตามไปด้วย เนื่องจากเป็นสินค้าที่ต้องใช้ แต่ขณะนี้เศรษฐกิจโลกยังไม่แน่นอน จึงคาดว่าหุ้นในกลุ่มนี้จะยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับที่เป็นอยู่ อาจมีการปรับขึ้นบ้าง แต่จะไม่ค่อยมีการลงทุนเพิ่มในระยะนี้
ในส่วนของกลุ่มโรงงานไฟฟ้า จะมีความแน่นอนมากกว่ากลุ่มแรก และจะขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากเป็นสาธารณูปโภคที่จำเป็นต้องใช้ และคาดว่าจะเห็นการเปิดประมูลสร้างโรงไฟฟ้าในปีนี้ โดยยังเน้นที่ก๊าซธรรมชาติใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า รองลงมาเป็นถ่านหิน แล้วถึงจะเป็นพลังงานทางเลือก หรือพลังงานทดแทน ส่วนการเกิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทยคิดว่าเกิดยาก
ขณะที่พลังงานทางเลือก หรือกลุ่มพลังงานทดแทนมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีได้ระยะหนึ่งแล้ว และมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง ถือว่าน่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อรัฐให้การสนับสนุน อย่างกลุ่มพลังงานแสงอาทิตย์ที่น่าสนใจก็คือ บริษัท SPCG จำกัด (มหาชน), บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) : RATCH, บริษัทโซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) : SOLAR ส่วนของหุ้นพลังงานลมที่น่าสนใจคือ หุ้นบริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ DEMCO
ในส่วนของเอทานอลปีนี้จะมีแนวโน้มที่ดี หลังจากรัฐบาลยกเลิกเบนซิน 91 ก็จะส่งผลให้ความต้องการแก๊สโซฮอล์เพิ่มสูงขึ้น หุ้นกลุ่มนี้จึงมีปัจจัยเป็นบวก อย่าง ปตท.เองก็เตรียมรองรับเอทานอลไว้แล้ว และอีกหุ้นคือ LANNA ทั้งนี้ ภาวะของวงจรหุ้นจะไม่ขึ้นตลอดทั้งปี หุ้นในกลุ่มพลังงานทดแทนอาจซื้อในรูปของการสะสม ซื้อเฉลี่ย
แม้พลังงานทดแทนจะเป็นที่น่าสนใจ แต่ต้องใช้เวลา 10-20 ปี เนื่องจากพลังงานทดแทนจะมีความไม่แน่นอน และขึ้นอยู่กับธรรมชาติ แต่การที่ผู้ประกอบการด้านพลังงานเข้าลงทุนในกลุ่มพลังงานทดแทนนั้น เชื่อว่าผู้ประกอบการรู้ดีว่าฟอสซิล หรือแหล่งพลังงานที่ใช้ผลิตไฟฟ้าจะมีจำนวนลดลง และหมดในที่สุด
รัฐออก “เอ็ม เอ ไอ” เอื้อโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน
ด้าน นายนพพล มิลินทางกูร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์รับหลักทรัพย์ใหม่ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) สําหรับธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อสนับสนุนการระดมทุนของผู้ประกอบการในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน โดยหลักเกณฑ์ใหม่จะช่วยให้ผู้ประกอบการธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทุกชนิด เช่น แสงอาทิตย์ ลม นํ้า ชีวภาพ ชีวมวล เป็นต้น สามารถระดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อพัฒนาโครงการได้เร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม หุ้นพลังงานในภาคการผลิตไฟฟ้าเป็นหุ้นประเภท defensive stock หรือราคาหุ้นเคลื่อนไหวไม่หวือหวา แต่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ จึงเหมาะสมสำหรับผู้ลงทุนที่ชอบลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำและลงทุนระยะยาว
“พลังงานทดแทน จึงถือเป็นเป้าหมายสำคัญที่ภาครัฐต้องการผลักดันให้ประสบผลสำเร็จ ซึ่งในด้านธุรกิจย่อมหมายถึงโอกาสการลงทุนที่มีนัยสำคัญ ไม่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่รวมถึงในต่างประเทศด้วย และจากมาตรการส่งเสริม สนับสนุนของภาครัฐที่ดำเนินการมาถือว่าเป็นประโยชน์ ช่วยให้การลงทุนและพัฒนาโครงการเดินหน้าไปได้ดีขึ้น จะเห็นว่าผู้ประกอบการหน้าใหม่เข้ามาลงทุนในโครงการพลังงานทดแทนมากขึ้น” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าว